เสียงเล็กแหลมของสตรีนางหนึ่งดังออกมาจากภายในรถม้าหรูด้านหลัง ไม่นานเหล่าผู้คุ้มกันจำนวนมากกว่าสิบคนก็เข้ามาล้อมไป๋จื่อเยว่เอาไว้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฟิงก็ชะงักไปทันที
เหตุใดขบวนรถม้าขบวนนี้จึงออกมาสร้างความวุ่นวายอยู่บนถนนของเมืองหนานหลิงได้กัน?
บนหลังรถม้าที่อยู่ท้ายสุดของขบวนมีสัญลักษณ์รูปพยัคฆ์ดำปรากฏให้เห็นเด่นชัด และพยัคฆ์ดำนี้ก็เป็สัญลักษณ์ของราชวงศ์แห่งอาณาจักรหนานหลิง
นั่นหมายความว่า ขบวนรถขบวนนี้เป็ขบวนรถของราชวงศ์
“เ้าหนู เ้ากล้าดีอย่างไรมาโจมตีพวกเรา”
ชายร่างใหญ่ที่ถูกไป๋จื่อเยว่ดึงลงมาจากหลังอาชาผุดลุกขึ้น เขาเดินเข้ามาหาไป๋จื่อเยว่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ไป๋จื่อเยว่ยกมือขึ้นแตะใบหน้าที่กำลังแดงเถือกจากปลายแส้ ดวงตาของเขาทอประกายวาวโรจน์ขึ้นมาในทันที มือของเขาจับด้ามกระบี่ที่ห้อยตรงเอวเอาไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะลงมือสังหารได้ทุกเมื่อ
ชายผู้นั้นคว้าร่างของไป๋จื่อเยว่ด้วยมือข้างเดียว แต่ขณะที่ไป๋จื่อเยว่กำลังจะชักกระบี่ มู่เฟิงก็เข้ามาจับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ และในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ใช้ขาเตะไปทางชายผู้นั้นอย่างแรง
เปรี้ยง!
แรงเตะของมู่เฟิงนั้นดุดันและหนักหน่วงเป็อย่างมาก เขาเตะไปยังทรวงอกของชายผู้นั้น ทำให้ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายลอยกระเด็นออกไปไกลราวเจ็ดถึงแปดเมตร
“รนหาที่ตาย!”
เหล่าผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ต่างก็เดือดดาลขึ้นมาทันที พวกเขาพากันชักดาบออกมาจากเอว เตรียมพร้อมที่จะลงมือ
แต่ทันใดนั้น ร่างระหงก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเสียก่อน
เด็กสาวในชุดสีม่วงผู้นี้มีใบหน้าดอกท้อ*ชวนให้หลงใหล ดวงตาของนางงดงามสุกสกาวดั่งตากวาง แม้อายุจะเพิ่งย่างเข้าสิบเจ็ดปี แต่ก็สามารถเห็นเค้าความงดงามของนางได้อย่างชัดเจน หากโตขึ้นอีกหน่อยนางต้องกลายเป็หญิงงามล่มเมืองอย่างแน่นอน นางค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาอย่างใจเย็น ฝ่ามือทั้งสองข้างของนางประสานไว้ที่ท้องน้อย ท่าทางของเด็กสาวดูมีสง่าราศีเป็อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสาวใช้หน้าตาหมดจดเดินขนาบข้างมาอีกสองคนด้วย
(*ใบหน้ามีเสน่ห์น่าหลงใหล)
เมื่อพวกผู้คุ้มกันเห็นเด็กสาวเดินเข้ามา พวกเขาต่างก็รีบโค้งคำนับอีกฝ่ายทันที “องค์หญิง!"
คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็องค์หญิง!
ถูกต้องแล้ว นางคือองค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานหลิงนามว่าหนานเวยเอ๋อร์
แวบแรกที่ไป๋จื่อเยว่มองเห็นเด็กสาวผู้นี้ หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
แต่หลังจากที่เห็นนาง ดวงตาภายใต้หน้ากากของมู่เฟิงกลับฉายแววประหลาดใจครู่หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเดินมาถึงแล้วหนานเวยเอ๋อร์ก็เอ่ยถามขึ้น หัวคิ้วของเด็กสาวกำลังขมวดมุ่น ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนางเปี่ยมล้นด้วยความสง่างามสมกับที่เป็องค์หญิง
“เรียนองค์หญิง เ้าเด็กพวกนี้โผล่เข้ามาขวางทางพ่ะย่ะค่ะ ทำให้องค์หญิงต้องตกพระทัยแล้ว ขอองค์หญิงโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้คุ้มกันกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม ขณะชี้นิ้วไปยังไป๋จื่อเยว่และมู่เฟิง
หนานเวยเอ๋อร์กวาดตามองสถานการณ์โดยรอบ เมื่อเหลือบไปเห็นไป๋จื่อเยว่ที่กำลังมองหน้านางด้วยท่าทางโง่งม เด็กสาวก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า ไป๋จื่อเยว่พลันได้สติ เด็กหนุ่มรีบหันมองไปทางอื่นด้วยใบหน้าที่กำลังแดงระเรื่อ
จากนั้นเด็กสาวก็เหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มอีกคนที่สวมหน้ากากสีเงินและมีเส้นผมสีขาว นางอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจอีกฝ่ายหลายครั้ง
“ใครก็ตามที่มาขวางทาง ลากตัวออกไปหักขาทิ้งให้หมด จากนั้นก็เดินทางต่อ”
หลังจากหนานเวยเอ๋อร์เหลือบมองเด็กหนุ่มทั้งสอง นางก็เอ่ยปากสั่งการก่อนจะหันหลังกลับเตรียมเดินกลับไปขึ้นรถม้า
“พ่ะย่ะค่ะ!”
คนของเด็กสาวตอบรับในทันที จากนั้นพวกเขาก็จ้องมองไปทางเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“เฮ้อ เ้าพวกลูกเต่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าล่วงเกินคนของราชวงศ์”
“ถูกต้อง แม้ว่าอำนาจของราชวงศ์จะอ่อนแอลงมาก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหนานหลิงอยู่ดี”
“คงจะเป็พวกบ้านนอกที่ไม่ค่อยรู้เื่กระมัง”
ฝูงชนที่กำลังรายล้อมต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงเื่ที่เกิดขึ้น
“เสี่ยวหนีจื่อ* ไม่พบกันมาสองปี นิสัยของเ้าโตขึ้นไม่น้อย”
(*คำกล่าวเรียกเด็กผู้หญิงในเชิงเอ็นดู)
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังลอยออกมา ทำให้หนานเวยเอ๋อร์ที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้าต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ใบหน้าของนางมีร่องรอยของความใแวบผ่าน จากนั้นนางก็หันกลับไปทางเด็กหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง
“ประโยคเมื่อครู่ใครเป็คนพูด?”
หนานเวยเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“เสี่ยวหนีจื่อ ตอนนี้เ้าเรียนรู้ที่จะหักขาคนเพื่อแสดงอำนาจบารมีของราชวงศ์ที่อยู่ในมือเ้าแล้วหรือ?”
เด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากกล่าวขึ้นอย่างประชดประชัน
“เ้า เ้าเป็ใครกัน เ้าเป็ใครกันแน่?”
หนานเวยเอ๋อร์มองไปยังมู่เฟิงและถามด้วยความตื่นใ
มู่เฟิงยิ้มบาง ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า
“คุ้มครององค์หญิง”
เหล่าผู้คุ้มกันเข้ามาขวางหน้ามู่เฟิงเอาไว้ในทันที แต่คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งก็ปะทุออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มเสียก่อน โดยคลื่นพลังนี้ได้บีบให้เหล่าผู้คุ้มกันต้องเปิดทางออก
ถูกต้องแล้ว เป็คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
เพียงแต่คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไม่ใช่พลังของเขา แต่เป็พลังของเสี่ยวเทียนที่กำลังขดตัวอยู่บนตัวเขาต่างหาก
คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวของอสูรร้ายระดับหนิงกังบีบให้พวกเขาต้องถอยออกไปสองก้าว เวลานี้เหล่าผู้คุ้มกันต่างก็มองมู่เฟิงด้วยสายตาตื่นตระหนก
แต่ทันใดนั้นชายวัยกลางคนในชุดสีดำก็เข้ามาขวางหน้ามู่เฟิงเอาไว้ แม้จะเผชิญหน้ากับคลื่นพลังของเสี่ยวเทียน แต่เขากลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย
คนผู้นี้คือยอดฝีมือระดับหนิงกัง
มู่เฟิงมองคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว
“ท่านอาซ่ง หลีกทางให้เขา”
ทันใดนั้นหนานเวยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก็ออกคำสั่งด้วยตัวเอง
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็หลีกทางในทันที เขาก้าวถอยไปอยู่ด้านหลังของหนานเวยเอ๋อร์
แน่นอนว่าการที่เด็กหนุ่มสามารถเดินมาถึงตรงหน้าของหนานเวยเอ๋อร์ได้ ทำให้ฝูงชนที่คอยสังเกตการณ์อยู่รอบๆ ต่างก็ตื่นตะลึง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกอึ้งมากกว่านั้นก็คือการที่อีกฝ่ายยื่นมือออกมาบีบใบหน้าเล็กของหนานเวยเอ๋อร์ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังหยิกแก้มที่นุ่มนิ่มและบอบบางของหนานเวยเอ๋อร์อีกด้วย
“เสี่ยวหนีจื่อ นิสัยของเ้าโตขึ้นแล้ว”
เด็กหนุ่มพูดขึ้นอย่างติดตลกว่า “แต่ใบหน้าของเ้าเล็กจ้อยกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว”
หนานเวยเอ๋อร์จ้องมองเด็กหนุ่มผมขาวที่สวมหน้ากากตรงหน้าด้วยความใ ั์ตาคู่สวยกำลังสั่นระริก ความรู้สึกที่ฉายออกมาทางแววตาดูซับซ้อนเป็อย่างยิ่ง
ผู้คนรอบข้างต่างก็ตะลึงจนนิ่งค้างไปแล้ว
กลางวันแสกๆ แบบนี้เ้าหนุ่มนี่ยังกล้าลวนลามองค์หญิง!
“จะ เ้ายังไม่ตาย!”
หนานเวยเอ๋อร์เอ่ย ร่างกายผอมบางสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย
คำเรียกนี้ การกระทำเช่นนี้ มีเพียงเ้าโง่เง่านั่นที่กล้าทำกับนาง
มู่เฟิงดึงมือออกด้วยความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “แค่เกือบตายเท่านั้น”
“เ้าคนโง่ หลังเ้าเกิดเื่เหตุใดไม่ติดต่อข้ามาบ้าง เ้ากล้าเมินเฉยข้าเชียวรึ”
ดวงตาคู่สวยของหนานเวยเอ๋อร์แดงก่ำ นางกัดฟันเอาไว้แน่น จากนั้นกำปั้นเล็กๆ ของนางก็ทุบลงบนอกของมู่เฟิงอย่างแรง แต่เนื่องจากกำปั้นนี้ไร้ซึ่งพลัง มันจึงดูเหมือนเป็การหยอกล้อกันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวเพียงเท่านั้น
จากนั้นเด็กสาวก็คว้าร่างของมู่เฟิงเข้ามากอดแน่น พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
ผู้คนโดยรอบต่างก็ตกตะลึงและมึนงงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
มู่เฟิงที่ถูกหนานเวยเอ๋อร์กอดแน่นก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะเช่นกัน ที่ผ่านมาเขาไม่สามารถติดต่อใครได้เลยแม้กระทั่งกับว่านเอ๋อร์ ดังนั้นนับประสาอะไรกับหนานเวยเอ๋อร์
ความสัมพันธ์ระหว่างหนานเวยเอ๋อร์กับเขาคืออะไร? พวกเขาเป็เพื่อนเล่นกันมาั้แ่เด็ก อีกทั้งยังเติบโตมาด้วยกัน แต่นั่นไม่ใช่ความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบชายหญิง เป็เพียงความสัมพันธ์แบบสหายสนิทเท่านั้น
กล่าวกันว่าคนของราชวงศ์นั้นโเี้และใจดำอำมหิต แต่สำหรับหนานเวยเอ๋อร์ นางปฏิบัติต่อมู่เฟิงในฐานะสหายด้วยใจจริง ตอนที่เส้นลมปราณของเขาถูกทำลาย นางยังพยายามจะหาวิธีเพื่อรักษาเขา
“เอาละ เ้าเป็ถึงองค์หญิง จะมาร้องไห้ฟูมฟายในอ้อมกอดของบุรุษกลางถนนได้อย่างไร ทำเช่นนี้เดี๋ยวผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเ้าเอาได้”
มู่เฟิงตบไหล่ของหนานเวยเอ๋อร์เบาๆ
หนานเวยเอ๋อร์รีบเช็ดน้ำตา ดวงตาคู่สวยของนางกวาดมองผู้คนรอบข้างก่อนจะะโขึ้นว่า “หากใครยังมองอีกข้าจะควักลูกตาออกให้หมด!”
ฝูงชนเ่าั้รีบหันหน้าหลบในทันที พร้อมกับแสร้งทำเป็มองไม่เห็น
“พะ พี่เฟิง ท่านรู้จักกับแม่นางผู้นี้ด้วยรึ?”
คราวนี้เป็ไป๋จื่อเยว่ที่เดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยถาม สายตาของเขายังไม่ละไปจากหนานเวยเอ๋อร์เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
“อืม นางคือองค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานหลิงนามว่าหนานเวยเอ๋อร์ เวยเอ๋อร์นี่คือสหายของข้าชื่อไป๋จื่อเยว่ ส่วนนั่นคือมู่ขวง เ้ารู้จักอยู่แล้ว”
มู่เฟิงแนะนำ
“แหะๆ ข้าเคยพบองค์หญิงมาบ้างแล้ว”
“คารวะองค์หญิง"
เด็กหนุ่มทั้งสองรีบทำความเคารพทันที หนานเวยเอ๋อร์คลี่ยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อย ไป๋จื่อเยว่ถึงกับตกตะลึงในรอยยิ้มของนาง
“เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงมีข่าวลือแบบนั้นออกมาได้?”
หนานเวยเอ๋อร์ถามเข้าประเด็น
มู่เฟิงหันมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ที่นี่มีคนมากเกินไป พวกเราหาที่เงียบๆ คุยกันเถิด”
หนานเวยเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะหันไปมองร้านค้ารอบๆ ไม่นานก็พบว่ามีโรงน้ำชาตั้งอยู่ไม่ไกล พวกเขาจึงเดินไปยังโรงน้ำชา และขอห้องส่วนตัว
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงบนที่นั่งของตัวเองแล้ว มู่เฟิงก็เริ่มเล่าเหตุการณ์บางส่วนใน่หลายปีที่ผ่านมาให้หนานเวยเอ๋อร์พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์คร่าวๆ ของมู่เฟิง
หลังจากรู้ว่าเส้นลมปราณของมู่เฟิงได้รับการฟื้นฟูแล้ว หนานเวยเอ๋อร์ก็รู้สึกยินดีกับเขาเป็อย่างมาก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่และราชวงศ์นั้นใกล้ชิดกันไม่น้อย ไม่อย่างนั้นตระกูลมู่จะยอมภักดีต่อราชวงศ์ได้อย่างไร
“เวยเอ๋อร์ สถานการณ์ในปัจจุบันภายในราชวงศ์เป็อย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่เฟิงถาม สีหน้าของหนานเวยเอ๋อร์ก็เคร่งขรึมลงทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้