ตอนบ่าย ฉันกลับเย่รั่วเซวี่ยมาที่ห้องเอกสารอีกแล้ว ตอนนี้ที่ห้องเรียนไม่มีคาบเรียนแล้ว ภายใต้ผลกระทบของการตายอย่างต่อเนื่อง วิชาส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนให้ศึกษาด้วยตัวเอง ไม่มีคุณครูยินยอมที่จะมาสอนแม้แต่คนเดียว
นอกจากครูประจำชั้น ที่ยังคงอบสั่งสอนพวกอยู่อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เธอกำลังพูดด้วยสีหน้าหนังอึ้งอยู่บนแท่นพูดว่า “นักเรียนทุกคน ถึงแม้ในห้องเรียนยังมีคนตายอยู่ แต่ทว่าพวกเราจะต้องเข้มแข็ง เื่ราวก็ได้ผ่านไปแล้ว ทุกคนควรจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้แล้ว ใกล้จะขึ้นม.6 แล้ว ทุกคนจงอย่าสิ้นหวัง”
“พูดซะดิบดีเชียว ครูไม่ได้อยู่ในกลุ่มของชั้นเรียนนิ” หลี่โม่ฟ๋านที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ตอนนี้คนทั้งห้องล้วนไม่มีใจที่จะเรียนแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่อยากแสวงหาความก้าวหน้า แต่ทว่าความตายได้แผ่คลุมไปทั่วร่างของทุกคนทั้งชั้นเรียน ไม่มีใครรู้ว่าคราวต่อไปจะมีใครตาย ดังนั้นเวลานี้จึงไม่มีคนเรียน
แม้แต่นักเรียนเรียนเก่งสองสามที่ชอบเรียน ณ เวลานี้ก็นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โต๊ะอย่างหละหลวม ครูประจำชั้นก็รู้สึกได้ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ครูก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
คาบนี้เรียนอย่างอึดอัดมาก ไม่มีใครยกมือตอบคำถาม โดยเฉพาะคนที่ชอบตอบคำถามสองสามคน ก็เงียบกริบอย่างน่าประหลาดมาก หลังจากผ่านไปหนึ่งคาบ ครูประจำชั้นทำได้แค่เดินออกไป
“เชี่ย ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเราจริงๆ” หวางอู่ยืนขึ้นแล้วะโไปตรงๆ ว่า “ไป ไปกับฉัน” นักเรียนชายสองสามคนพยักหน้า แล้วเริ่มเดินออกไป
ซึ่งนี่ก็ได้กลายเป็เื่ที่เห็นจนชินชาแล้ว ในเมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว แต่กลับไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ เช่นนั้นหวางอู่และพวกของเขาจึงเลือกที่จะหลีกหนี ทุกวันหากไม่ออกไปเที่ยวก็จะไปร้านกลางคืน
ยังไงหวางอู่ก็มีเงิน สถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่มีชีวิตใช้เงิน ด้วยเหตุนี้ในชั้นเรียน เขาจึงได้ตีสนิทกับเพื่อนในชั้นเรียนไว้ไม่น้อย ในนั้นยังรวมถึงนักเรียนหญิงอีกไม่น้อย เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครที่ไม่ชอบเป็เพื่อนกับผู้มีอิทธิพลในท้องที่
“ถึงแม้ครูประจำชั้นจะน่าเบื่อมาก แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ หากไม่มีครูความเป็ระเบียบในชั้นเรียนก็เกรงว่าจะพังลง” ฉันแสยะยิ้มพูด หลี่โม่ฟ๋านที่อยู่ข้างๆ ตะลึงงันเล็กน้อย “นายพูดไม่ผิด ลูกพี่ ก็เพราะมีครูประจำชั้นอยู่ หวางอู่ถึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานอย่างนั้นไง”
“พอแล้ว พวกเราไปทำอะไรสักหน่อยเถอะ” ฉันพูดกับหลี่โม่ฟ๋าน ถึงแม้หลายคนในชั้นเรียนเลือกที่จะหลีกหนี บางคนก็ยอมรับโชคชะตากรรมแล้ว แต่ฉันกับไม่เป็เช่นนี้
ฉันเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าฉันมีความสามารถที่จะช่วยทั้งชั้นเรียนได้ ถึงแม้ฉันจะไม่สนใจเป็พระผู้ช่วยชีวิตอะไร แต่หากสามารถหลุดพ้นออกมาจากเกมแห่งความตายนี้ได้ ฉันก็จะพุ่งเข้าไปอย่างไม่กลัวอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนนี้แบบสอบถามในกลุ่มยังคงมาอย่างต่อเนื่องอยู่ หากไม่หาวิธีหยุดมัน เช่นนั้นเพื่อนๆ ล้วนจะไม่มีทางรอดพ้นได้ การแข่งเป่ายิ้งฉุบแห่งความตายในครั้งก่อน ก็ได้ก่อให้เกิดการตายของคน 2 คนแล้ว
หากครั้งมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เช่นนั้นคนที่ตาย ก็คงจะไม่ใช่แค่ 2 คนแล้ว จะช้าหรือเร็วต้องมีสักวัน พวกเราล้วนยากที่จะหนีพ้นความตาย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าฉันจะคิดหรือไม่คิด ก็ล้วนจักต้องหาทางหลุดพ้นจากคำสาปนี้
“ไปทำอะไร?” หลี่โม่ฟ๋านอดไม่ได้จะถาม
“แน่นอนว่าไปสืบข่าวตำแหน่งที่ตั้งของห้องเอกสารของโรงเรียน ไม่แน่ว่าที่นั่นจะมีสิ่งที่พวกเรากำลังค้นหาอยู่” ฉันพูดไปตรงๆ
“ตอนเย็นพวกเราจะต้องไปห้องเอกสารจริงๆ เหรอ?” หลี่โม่ฟ๋านมองฉันพลางพูด
“นี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว โรงเรียนแห่งนี้ต้องมีความลับแน่นอน ฉันมีลางสังหรณ์ หากหาพบได้ ไม่แน่ว่าจะแก้ไขเงื่อนงำได้” ฉันพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“ได้ ฉันจะไปกับนาย” หลี่โม่ฟ๋านกัดฟันพูด เวลานี้เย่รั่วเซวี่ยก็วิ่งเข้ามา เธอมองฉันอย่างอ่อนโยน พูดอย่างไม่พอใจว่า “พวกนายสองคนพูดพึมพำอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ปรึกษากันว่าจะไปดูที่ห้องเอกสารสักหน่อย” ฉันมองใบหน้าที่งดงามนั้นของเย่รั่วเซวี่ยพลางพูด วันนี้เย่รั่วเซวี่ยสวมชุดกระโปรง รูปร่างบอบบางน่ารัก ผมสยายประไหล่ มือทั้งคู่ไขว้ไว้ด้านหลัง และดวงตาคู่นั้นจับจ้องฉันอย่างดุดัน “จริงเหรอ?” เย่รั่วเซวี่ยถามด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าเป็เื่จริง” ฉันรีบพูดกับเย่รั่วเซวี่ย
“งั้นก็ดี ฉันก็จะไปด้วย” เย่รั่วเซวี่ยพูด
“ได้สิ” ฉันทอดถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นพวกเราทั้ง 3 คนก็มาถึงที่ห้องเอกสารของโรงเรียน ห้องเอกสารของโรงเรียนอยู่ชั้น 1 ที่นี่ห่างไกลมาก และการป้องกันก็เข้มงวดเช่นกัน
ตอนกลางวันยามของโรงเรียนก็จะมาตระเวนสังเกตการณ์ที่นี่ รวมทั้งที่นี่ยังมีครูเวรด้วย กล่าวได้ว่าหาก้าที่จะเข้าไปก็ยากดั่งเหาะขึ้นฟ้า แล้วพวกเราที่ไม่มีกุญแจของห้องเอกสารอีกยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
แต่ทว่ายิ่งการป้องกันเข้มงวดเท่าไหร่ ก็ยิ่งยืนยันได้ว่าที่นี่มีของมีค่าที่ยิ่งใหญ่ พวกเรา 3 คนแอบมาที่นี่แล้ว กำลังเตรียมที่จะตรวจสอบสักหน่อย เวลานี้ กลับถูกจางต้าหนิวหยุดไว้
เขาเป็ยามของโรงเรียน ร่างกายกำยำล่ำสัน เล่ากันว่าเขาปลดทหารมา จางต้าหนิวมองพวกเราพลางพูดว่า “พวกเธอมาที่นี่ทำไม?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่จะขึ้นตึกเท่านั้น” ฉันรีบอธิบาย
“อืม งั้นก็รีบออกไปจากที่นี่ซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่หรอก” จางต้าหนิวมองพวกเราแวบหนึ่งแล้วพูด พวกเราพยักหน้า ทำได้แค่ต้องออกไป
ตอนที่มาถึงสนามกีฬา พวกเรา 3 คนเริ่มปรึกษากัน
“ทำยังไงกันแน่ถึงจะเข้าไปที่ห้องเอกสารของโรงเรียนได้?”
“ไม่มีกุญแจ โดยเฉพาะถึงมีกุญแจแล้ว กลางวันก็เข้าไปไม่ได้”
“หากพูดถึงกุญแจแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าอยู่ที่ผอ.โรงเรียน”
“หรือว่าต้องไปที่ห้องของผอ. สักรอบน่ะ?”
พวกเราค่อยๆ วิพากษ์วิจารณ์กัน กลับยิ่งแปลกใจกับห้องเอกสารมากขึ้น แต่เื่ตอนนี้เร่งด่วนไม่ควรยืดเยื้อดังนั้นควรจะรีบหากุญแจ และนี่ก็ชัดเจนมากว่าเป็ไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีเข้าจากทางอื่นแล้ว
และกวานเหยาก็เดินเข้ามาในเวลานี้ ใบหน้าเล็กๆ นั้นมองพวกเราพลางพูดว่า “จางเว่ย นายมีอะไรคืบหน้าบ้าง? ตอนนี้ในห้องเรียนล้วนกลายเป็เช่นนี้แล้ว พวกเรารีบเร่งกันหน่อย”
ฉันมองกวานเหยา แล้วพูดข้ออนุมานของฉัน ตอนนี้ทั้งชั้นเรียนก็เป็ดังเช่นที่กวานเหยาพูด คนส่วนใหญ่ก็ยกเลิกการค้นหาความจริงแล้ว และเลือกที่จะใช้ชีวิตในฝันร้ายอย่างไม่รู้อะไร มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่เลือกที่จะหาวิธีหลุดพ้นจากเกม
และกวานเหยาก็คือหนึ่งในนั้น ่หลายวันมานี้เธอก็ได้ดำเนินการสืบหา
“ห้องเอกสารก็เป็สถานที่ที่ดีที่หนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะเจอความจริง อย่างนี้ก็ดี งั้นฉันรับผิดชอบไปเอากุญแจ หลังจากนั้นพวกเธอรับผิดชอบสืบหาดีไหม?” กวานเหยาพูด
“ได้งั้นเอาตามนี้” ฉันรีบพยักหน้า แต่ว่าฉันอยากรู้มากว่า กวานเหยาจะทำยังไงถึงจะเอากุญแจมาจากผอ.โรงเรียนได้ ซึ่งกวานเหยาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก
ครั้งนี้พวกทำได้แค่รอว่ากวานเหยาจะทำสำเร็จไหม ความลับของทั้งโรงเรียน คล้ายว่ามีเพียงแค่จะต้องหาคำตอบจากห้องเอกสารเท่านั้น
ตลอดทั้งบ่าย ฉันอยู่กับเย่รั่วเซวี่ย พวกเราสองคนคล้ายกับว่ายังมีอะไรที่พูดไม่จบ จูงมือเย่รั่วเซวี่ย ฉันกับเธอเดินทั่วทั้งโรงเรียน และคนอื่นๆ ในห้องเรียน เวลานี้ก็ไม่เข้าเรียนกันแล้ว หากไม่ได้ก่อกวนอยู่ในห้องเรียน ก็ไปเล่นที่สนามกีฬา หรือมีบางคนก็ออกไปนอกโรงเรียน
เช่นหวางอู่กับพวกลิ่วล้อ ที่มั่วอยู่ในร้านกลางคืนตลอดทั้งวัน แน่นอนว่า ไม่มีใครเลือกที่จะย้ายชั้นเรียนหรือย้ายโรงเรียน ทุกคนล้วนชัดเจน คำสาปคือสิ่งที่หลีกหนีไม่ได้
ตอนนี้กลุ่มของชั้นเรียนก็ไม่มีใครกล้าถอนออก คล้ายกับว่าทุกคนล้วนรอที่จะให้คนอื่นๆ ถอนออกก่อน แล้วดูว่ามีเื่อะไรเกิดขึ้นไหม หลังจากนั้นตนค่อยถอนออก ด้วยเหตุนี้จนตอนนี้ ยังไม่มีใครกล้าถอนออกจากกลุ่ม
ตอนที่จูงมือเย่รั่วเซวี่ย ฉันพูดด้วยสีหน้าที่หดหู่ว่า “เมื่อก่อนฉันเบื่อที่จะเข้าเรียน แต่ตอนนี้คิดดูแล้ว หากสามารถที่จะเข้าเรียนตามปกติได้ฉันก็ไม่ี้เีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เป็กังวลว่า ตนเองจะต้องตายวันไหน”
“ใช่ พวกเรากลับไปเป็เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว” เย่รั่วเววี่ยส่ายหัว หลังจากนั้นรูปร่างที่บอบได้ตรงเข้ามาพิงที่อ้อมอกฉัน พร้อมด้วยตาที่ยั่วยุคู่นั้นพลางพูดว่า “ใช่แล้ว วันนี้สายตานายที่มองกวานเหยามันไม่ปกติน่ะ นายชอบเธอเข้าแล้วเหรอ?”
“เป็ไปได้ยังไง เธออย่าสงสัยอะไรมากได้ไหม นอกจากเธอแล้วจะมีใครชอบฉันอีกล่ะ?” ฉันพูดด้วยความตลกอยู่บ้าง หลังจากที่เธอตกลงคบกับฉันแล้ว คล้ายกับว่าเกิดความไม่พอใจที่มีผู้หญิงเข้าใกล้ฉัน ถึงจะเป็กวานเหยาก็ไม่ได้
“นายพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หรือว่าจะบอกว่าฉันสายตาแย่เหรอ?” ทันใดนั้นเย่รั่วเซวี่ยก็หรี่ตา พร้อมใบหน้าที่น่ารักนั้น และบิดแก้มฉันดึงขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“พอแล้วพอแล้ว ฉันผิดไปแล้ว” มองเย่รั่วเซวี่ยที่อยู่ในอ้อมอก ฉันพูดอย่างทนไม่ได้ที่จะขอความเมตตา เย่รัวเซวี่ยมีรูปร่างน่ารักตามแบบฉบับ ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู แต่นิสัยกลับเป็แบบอ่อนนอกแข็งใน ตอนที่โกรธก็ทำให้ฉันไม่มีทางเลย
“ใช่แล้ว วันนี้ชุดที่เธอใส่เหมือนกับว่าเป็ถุงน่องสีดำ” ฉันมองขาที่ขาวดั่งหิมะของเธอพลางพูด ขาที่ขาวดั่งหิมะใสแวววาวดั่งหยกของเธอ และใส่ถุงน่องที่เลยเข่าขึ้นมาพอดี ทำให้ขาที่แวววาวดั่งหยกยิ่งอวบอิ่มขึ้น
“เห้อ ไม่พอใจยังไง?” เย่รั่วเซวี่ยบิดหัวแล้วจ้องฉันพลางพูด ใบหน้าน้อยๆ นั้นห่างฉันไม่ถึงเิเ ซึ่งทำให้ฉันปฏิบัติการได้เต็มที่
“อิอิ พอใจแน่นอน” ฉันพูดอย่างยิ้มแย้ม สายตาก็มองขาที่ขาวดั่งหิมะ
“เห้อ ดูรอยยิ้มนายไม่น่าดูอย่างนี้ คงจะคิดอะไรไม่ดีแน่นอน” เย่รั่วเซวี่ยจ้องฉันพลางพูด
“อิอิ จะเป็ไปได้ยังไงล่ะ” ฉันยิ้มแบบเสียงแห้งๆ เมื่อกี้ฉันก็คิดจริงๆ แหล่ะ หากได้ไปเปิดห้องกับเย่รั่วเซวี่ยก็คงดี ซึ่งนี่ไม่ใช่ว่าฉันคิดมาก ในชั้นเรียน คู่รักชายหญิงปกติส่วนใหญ่ก็ไปโรงแรมกันแล้ว
โดยเฉพาะพวกสูงหล่อรวย เช่นจ้าวเฉินเห้อและหวางอู่เป็ต้น ล้วนไม่รู้ว่าพาผู้หญิงไปเปิดพรหมจรรย์ที่ในโรงแรมมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
“ฉันจะบอกนายไว้จางเว่ย นายอย่าคิดไม่ดีกับฉันล่ะ ฉันไม่ได้ง่ายเหมือนพวกผู้หญิงเ่าั้นะ” เย่รั่วเซวี่ยมองฉันพลางพูดอย่างจริงจัง
“อืม ฉันจะทะนุถนอมเธอให้ดี” ฉันโอบเอวบางๆ ของเธอ และรู้สึกถึงกลิ่นหอมหวนของตัวเธอแล้วพลางพูด เวลานี้ฉันรู้สึกว่าตนเองมีความสุขเหลือเกิน จนไม่มีเวลาที่จะคิดถึงเื่อื่นอีก
“เห้อ งั้นก็ดี” เย่รั่วเซวี่ยพูดด้วยใบหน้าที่อวดดี แต่ก็ยังหอมแก้มฉันเบาๆ ทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินออกจากอ้อมอกฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่พาลว่า “พอแล้ว พวกเรากลับห้องเรียนกันเถอะ”
“อืม” ฉันพยักหน้า ฉันได้นัดกันกับเย่รั่วเซวี่ยเรียบร้อยแล้วว่า หากอยู่ในห้องเรียนจะใกล้ชิดกันมากไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จนตอนนี้ นอกจากพวกหยางย่าซินสองสามคนแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครรู้เื่ที่ฉันคบกับเย่รั่วเซวี่ย
ตอนที่เดินเล่นในสนามกีฬาไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย ในเวลานี้ มีเงาของคนคนหนึ่งเดินมาที่ฉัน
“จางเว่ย นายหยุดก่อน ฉันมาหานายมีเื่นิดหน่อย”
“อืม?” ฉันหันไป กลับเป็เฟิ๋งเฉินเฉิน สาวห้าวในชั้นเรียนนี้ ณ เวลานี้เธอมองฉันด้วยสายตาที่ชื่นชม