"เอาล่ะ เื่นั้นพักไว้ก่อนเถอะขอรับ" กู้หลินหลางหันมาให้ความสนใจกับผู้ใหญ่บ้านต่อ
"บุตรชายท่านเฉลียวฉลาด ใฝ่เรียนรู้ หากได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างดี วันหน้าสอบได้ถึงขั้นจิ้นซื่อ [1] ได้เป็ถึงเสนาบดี ความรุ่งโรจน์นั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด" เขามองผู้ใหญ่บ้านแวบหนึ่ง กล่าวต่อ "ข้าบังเอิญผ่านมายังหมู่บ้านท่าน ได้มาเป็ครูสอนก็นับเป็วาสนาต่อกัน ข้าไม่อาจทนเห็นเพชรงามต้องแปดเปื้อนฝุ่นดินได้"
พอผู้ใหญ่บ้านได้ยินคำว่า ‘จิ้นซื่อ’ และ ‘เสนาบดี’ ลมหายใจก็ถึงกับถี่รัว พ่อแม่ทุกคนย่อมหวังให้บุตรหลานได้ดี เขาก็เช่นกัน
"จริงอย่างท่านว่า จางเจิ้นอันผู้นี้ก่อกวนความสงบสุขของหมู่บ้านเราจริงๆ" ผู้ใหญ่บ้านเงยหน้าสบตากับกู้หลินหลาง รีบกล่าวสนับสนุน "จางเจิ้นอันเป็ปัญหาของหมู่บ้านเราจริงๆ ข้าเห็นทีจะต้องไปพูดคุยตักเตือนเขาสักหน่อยแล้ว"
"เช่นนั้นก็ดีขอรับ" กู้หลินหลางพยักหน้าอย่างพอใจ
"ท่านผู้ใหญ่บ้านห่วงใยทุกข์สุขของชาวบ้านเช่นนี้ นับเป็บุญของพวกเราโดยแท้..."
"โครม!"
ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบประโยค ประตูก็พลันถูกใครบางคนถีบพังเข้ามาเสียงดังสนั่น!
"เมื่อครู่เหมือนได้ยินว่ามีใครอยากจะพบข้า?"
เสียงทุ้มต่ำเยียบเย็นดังขึ้น เมื่อทั้งสองหันไปมอง ก็เห็นร่างสูงของจางเจิ้นอันยืนตระหง่านอยู่ที่ประตู แสงตะเกียงสาดส่องจากด้านหลัง ทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ในเงามืด คมสันราวกับสลักเสลา แผ่ไอคุกคามออกมาอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะดวงตาคมกริบคู่นั้น ดำขลับลึกล้ำดุจเหยี่ยว จ้องตรงมายังคนทั้งสองในห้อง พาให้รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง
ผู้ใหญ่บ้านเพิ่งเคยเห็นจางเจิ้นอันโดยไม่มีผ้าคาดตาเป็ครั้งแรก ดวงตานั้นลึกเกินหยั่งถึง ทำให้ใจเขาสั่นระรัวจนต้องหลบสายตาไปโดยไม่รู้ตัว
พอตั้งสติได้กำลังจะอ้าปากพูด กู้หลินหลางกลับชิงตัดหน้าไปก่อน
"จางเจิ้นอัน! มาได้จังหวะพอดี! หลายปีมานี้เ้าก่อเื่เดือดร้อนให้หมู่บ้านมากมาย ท่านผู้ใหญ่บ้านกำลังคิดจะขับไล่เ้าออกจากหมู่บ้านอยู่พอดี!" เขากล่าวเสียงดัง สีหน้าเปี่ยมด้วยความสะใจ ราวกับเห็นภาพจางเจิ้นอันต้องม้วนเสื่อออกจากหมู่บ้านชิงสุ่ยไปอย่างน่าสมเพชในไม่ช้า
"ก็...ก็เป็เช่นนั้น จางเจิ้นอัน ท่านมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเรานานกว่าสองปี ก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านไม่น้อย เพื่อความสงบสุขของส่วนรวม ข้าหวังว่าท่านจะย้ายออกไปเสีย" ผู้ใหญ่บ้านที่อยู่ข้างๆ จำต้องพูดคล้อยตามเพื่ออนาคตของบุตรชาย แต่ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนลงกว่ากู้หลินหลางมากนัก ออกจะสุภาพเสียด้วยซ้ำ
"จริงหรือ?" จางเจิ้นอันหัวเราะหึ กล่าวว่า "บ้านหลังนี้ข้าซื้อมาด้วยเงินของข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังมีชื่อในทะเบียนบ้านที่ทางราชสำนักรับรอง ท่านเป็เพียงผู้ใหญ่บ้านตัวเล็กๆ ไม่มีสิทธิ์มาไล่ข้า ส่วนเ้า...กู้หลินหลาง ยิ่งไม่มีสิทธิ์มาพูดเื่นี้กับข้า!"
กล่าวจบ เขาก็ก้าวเข้ามาข้างหน้าสองก้าว ร่างกายสูงใหญ่กำยำแผ่แรงกดดันมหาศาลเข้าใส่กู้หลินหลาง จนอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว ร้องถามเสียงหลง
"เ้า...เ้าจะทำอะไร?"
"วางใจเถิด ข้าไม่สนใจคนอย่างเ้า!" เขาเหลือบมองด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะยื่นมือออกไป คว้าข้อมือกู้หลินหลางไว้มั่นแล้วบิดอย่างรวดเร็ว!
"อ๊ากกกก…!"
เสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบน่าสยดสยอง ชายหนุ่มรูปงามพลันส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด พอจางเจิ้นอันปล่อยมือ หน้าผากกู้หลินหลางก็เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโป้ง ร่างกายทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น หมดแรงแม้แต่จะครางออกมา
เมื่อจัดการกู้หลินหลางเสร็จ จางเจิ้นอันหันกลับไปมองผู้ใหญ่บ้านที่ยืนตัวสั่นอยู่ ผู้ใหญ่บ้านถูกจ้องด้วยสายตาคู่นั้นก็ถึงกับผงะถอยหลังไปหลายก้าว ร้องว่า "จางเจิ้นอัน! เ้าจะทำอะไร! บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่นะ!"
"มีขื่อมีแป?" จางเจิ้นอันยกมุมปากยิ้มเยาะ "ท่านผู้ใหญ่บ้านอัน ท่านเคยบอกข้าไม่ใช่หรือว่า... ท่านนั่นแหละคือขื่อแป?"
พอผู้ใหญ่บ้านได้ยิน ก็หน้าซีดเผือด ถอยหลังไปอีกสองก้าว เขามองสภาพน่าเวทนาของกู้หลินหลางที่นอนอยู่บนพื้น อ้าปากพะงาบๆ แต่กลับหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก
"วางใจเถอะ ท่านก็แซ่อันเหมือนซิ่วเอ๋อร์ ได้ยินว่าเป็ญาติกันด้วย ข้าย่อมไม่ทำอะไรท่าน แต่คนเราควรรู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าได้ริษยาเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อย จนไปสร้างศัตรูที่ไม่ควรสร้าง"
น้ำเสียงของเขาเนิบช้า แต่กลับดังก้องในใจราวเสียงกลอง พอได้ยินว่าจางเจิ้นอันจะไม่ทำอะไรตน ความกังวลของผู้ใหญ่บ้านก็คลายลง เขามองกู้หลินหลางที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น มือเท้าอ่อนแรง แม้แต่จะคลานยังทำไม่ได้ แต่จางเจิ้นอันกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับมองไม่เห็นสภาพน่าสมเพชนั้นเลย
"เ้าทำอะไรข้า?"
กู้หลินหลางะโถามจางเจิ้นอันอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อครู่เขาแค่บิดข้อมือ "กร๊อบ" ไม่กี่ที แขนเขากลับไร้ความรู้สึกไปเลย พอความเ็ปแล่นเข้ามาจนได้สติอีกครั้ง เขาก็นอนแผ่อยู่บนพื้น แขนขาไร้เรี่ยวแรง ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
"ก็แค่ขยับข้อต่อของท่านนิดหน่อยเท่านั้น"
จางเจิ้นอันกล่าวเสียงเรียบ พลางหยิบถ้วยชาขึ้นมาเล่นในมือ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนบ่าย อันซิ่วเอ๋อร์เพิ่งทุบถ้วยชาในห้องนี้ทิ้งไปจนหมด ไม่คิดว่าเขาจะหาชุดใหม่มาแทนได้เร็วขนาดนี้
ความเ็ปมักทำให้คนชาไปชั่วขณะ พอจางเจิ้นอันพูดจบ ความเ็ประลอกใหม่ก็ถาโถมเข้าใส่ กู้หลินหลางรู้สึกราวกับแขนขาถูกควักออกมาทั้งเป็ เ็ปทรมานอย่างยิ่ง เขากัดฟันแน่น พยายามเงยหน้ามองจางเจิ้นอัน
"เ้า้าอะไร?"
"ข้า้าอะไร?"
จางเจิ้นอันมองเขาจากมุมสูง กู้หลินหลางในยามนี้รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง แต่เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนกล้าหาญอะไร พอถูกสายตาเ็าคู่นั้นจ้องมอง จิตใจก็พลันสั่นสะท้าน ไม่กล้ามีความคิดต่อต้านใดๆ
"ข้าให้เ้าเลือกสองทาง ทางแรก อาศัยที่ท่านผู้ใหญ่บ้านยังอยู่ตรงนี้ จงเล่าความจริงเื่ที่เ้าวางแผนใส่ร้ายหรงเหอออกมาให้หมด และพรุ่งนี้ ต่อหน้าศิษย์ทุกคน จงกล่าวขอโทษหรงเหอเสีย ส่วนทางเลือกที่สอง... ข้าคงไม่ต้องพูดกระมัง"
"ข้า..." กู้หลินหลางเพิ่งอ้าปากได้คำเดียว ความเ็ปแสนสาหัสก็จู่โจมจนเขาแทบหายใจไม่ออก
เมื่อเห็นท่าทีของเขา จางเจิ้นอันก็หัวเราะเยาะ เดินเข้าไปใช้เท้าเหยียบลงบนกระดูกเชิงกรานของเขาสองสามครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือจับแขนทั้งสองข้างแล้วกระชาก!
"อ๊าก! อ๊าก!"
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง ในพริบตา แขนขาทั้งสี่ของเขาก็ถูกต่อกลับเข้าที่ดังเดิม
เพียงแต่ความเ็ปจากการถูกถอดและต่อข้อต่อกลับเข้าไปนั้น มีแต่ผู้ที่ประสบด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจ อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้กู้หลินหลางจดจำไปชั่วชีวิต
"เ้ารู้ดีว่าข้าเป็คนใจร้อน ไม่มีความอดทนมากนักหรอก" จางเจิ้นอันกล่าวเสียงเ็า
กู้หลินหลางหวาดกลัววิธีการของเขาจนตัวสั่น เขาคิดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คน แต่เป็ปีศาจ ความเ็ปราวกับแขนขาขาดวิ่นยังคงฝังลึกอยู่ในกระดูก ตอนนี้เขาสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ขยับไม่ได้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดผวา พอลองขยับแขนขาดู ก็พบว่ากลับมาเคลื่อนไหวได้เป็ปกติแล้ว
เขาเป็คนรักษาภาพลักษณ์ยิ่งชีพ หากเป็ไปได้ เขาย่อมอยากเลือกทางเลือกที่สอง แต่จางเจิ้นอันสามารถหักแขนเขาได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมทำได้เป็ครั้งที่สอง เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตา แล้วจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร?
เดิมทีคิดจะใช้วิธีประวิงเวลา แต่พอถูกจางเจิ้นอันจ้องมองด้วยสายตาเย็นเยียบอีกครั้ง กู้หลินหลางก็กัดฟัน รู้สึกว่าชีวิตตนเองสำคัญกว่า จึงยอมเล่าความจริงออกมาทั้งหมด
ที่แท้ เพราะวันนั้นถูกอันซิ่วเอ๋อร์หักหน้า เขาจึงจงใจยกย่องอันหรงเหอขึ้นมา เพื่อรอเล่นงานในวันนี้ พู่กันด้ามนั้นเขาก็เป็คนสั่งให้เด็กรับใช้ของตนแอบเอาไปใส่ไว้ในโต๊ะของอันหรงเหอเอง
ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ถึงกับตกตะลึง แม้เื่นี้กู้หลินหลางจะพูดออกมาเพราะถูกข่มขู่ แต่ก็น่าจะเป็ความจริง เพราะลึกๆ แล้วเขาก็ยังเชื่อในความบริสุทธิ์ของอันหรงเหอ เขาเพียงไม่อยากเชื่อว่า คุณชายกู้ผู้สูงส่งราวกับหยก เื้ักลับเป็คนต่ำช้าถึงเพียงนี้
เขาเริ่มสงสัยแล้วว่า การให้บุตรชายเรียนหนังสือกับคนเช่นนี้ จะได้อะไรดีๆ กลับไปบ้าง
"ท่านอาจารย์กู้ หากเื่นี้เป็ความจริง ข้าเกรงว่าต่อไปท่านคงไม่อาจสอนหนังสือในหมู่บ้านของเราได้อีก" น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านเ็าลงทันที ตอนแรกเขาอาจจะมองว่ากู้หลินหลางรูปงามน่ามอง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่า อาจารย์ที่อายุมากหน่อยน่าจะไว้ใจได้และมีคุณธรรมสูงส่งกว่า
"เมื่อเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ไม่ต้องรอให้ท่านผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปาก ข้าก็ไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว"
กู้หลินหลางหัวเราะอย่างขมขื่น เขาไม่มีหน้าอยู่ในหมู่บ้านชิงสุ่ยนี้อีกต่อไป แม้ตอนจากไปอาจจะดูน่าสมเพชไปบ้าง แต่พอกลับบ้านเกิดไป ก็ไม่มีใครรู้เื่น่าอับอายนี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถหนีจากฝันร้ายในวันนี้ และรักษาภาพลักษณ์ของตนเองไว้ได้
"ในเมื่อเป็เช่นนั้น ก็ตกลงตามนี้ ข้าหวังว่าพรุ่งนี้ท่านจะทำตามที่พูดอย่างจริงใจ"
จางเจิ้นอันลุกขึ้นยืน พอเดินเข้าไปใกล้กู้หลินหลาง เขากลับยื่นมือออกไปบิดอีกครั้ง! แขนซ้ายของกู้หลินหลางถูกถอดออกพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอีกครา เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าดังขึ้นข้างหู "หวังว่าพรุ่งนี้ ท่านอาจารย์กู้จะ 'เล่าเื่' ได้สมบูรณ์แบบนะ" กล่าวจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
กู้หลินหลางใช้มือขวาที่ยังดีอยู่ปาดเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก การถูกกระชากเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกว่าแขนขวาอ่อนแรงไปหมด ไม่รู้ว่าจางเจิ้นอันใช้วิธีการอะไรกันแน่
อันที่จริง กู้หลินหลางเพิ่งคิดได้ว่า พรุ่งนี้เขาแค่หาเหตุผลให้อันหรงเหอกลับมาเรียน จากนั้นก็พูดอะไรส่งเดชไป พอพูดจบก็จะรีบจากไปทันที จางเจิ้นอันมีหรือจะรู้เื่ได้? แต่ไม่คิดว่าจางเจิ้นอันจะเล่นงานเขาแบบนี้ ตอนนี้ความคิดที่จะตุกติกของเขาแตกสลายไปหมดสิ้น หากพรุ่งนี้การแสดงของเขาไม่เป็ที่พอใจ คิดว่าแขนข้างนี้คงไม่มีวันกลับมาเป็เหมือนเดิมได้อีก
วิธีการทำร้ายคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เขามองกู้หลินหลางที่แขนห้อยร่องแร่ง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ สภาพน่าสมเพช ก็รู้สึกเพียงว่าเขาสมควรแล้ว ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อครู่ตนเองเกือบจะร่วมมือกับเขาทำเื่ไม่ดีไปแล้ว
ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก ผู้ใหญ่บ้านไม่กล่าวอะไรสักคำ เพียงเอามือไพล่หลังแล้วเดินจากไป กู้หลินหลางอย่างไรเสียก็เป็บัณฑิต ถึงจะทำผิดไป แต่ก็เคยเป็อาจารย์ของลูกชายตน เขาจะไม่ซ้ำเติม แต่ก็ไม่จำเป็ต้องเข้าไปปลอบใจ
กระท่อมน้อยทรุดโทรมของบ้านตระกูลจาง
อันซิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พอนึกถึงเหตุการณ์ก่อนจะหมดสติไป ก็ถึงกับสะดุ้งใ เมื่อมองไปรอบๆ เห็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ก็รู้ว่าตนเองกลับมาถึงบ้านแล้ว จิตใจจึงค่อยคลายกังวลลง แต่กลับรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งเนื้อทั้งตัว ในชั่วขณะนั้น ความหวาดหวั่นก็แล่นเข้าจับใจ
แสงตะเกียงในห้องริบหรี่ อันซิ่วเอ๋อร์กวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นจางเจิ้นอัน นางลองส่งเสียงเรียกชื่อเขาสองสามครั้ง แต่ไร้เสียงตอบกลับ นางเริ่มคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา หรือว่า...หรือว่านางเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วจริงๆ เขาจึงรังเกียจและทิ้งนางไป?
พอนึกถึงตรงนี้ น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนก็ไหลอาบแก้ม นางซบหน้าลงกับหมอน เริ่มสะอื้นไห้ออกมาอย่างเงียบงัน
เชิงอรรถ
[1] จิ้นซื่อ คือผู้ที่สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางระดับสูงสุดในสมัยโบราณของจีน
