บทที่ 7:ตำรับยาแห่งความหวัง
ฤดูฝนแห่งเทือกเขาฮูหลงชายแดนใต้นั้นของเมืองซีหยางนั้น โหดร้ายกว่าที่ถังเหมยหลินเคยจินตนาการไว้ในตำราประวัติศาสตร์ใดๆ บางครั้งเมฆฝนสีเทาเข้มก็เข้าปกคลุมท้องฟ้าเป็เวลานานต่อเนื่อง...ฝนตกนานถึงสิบวันสิบคืนเลยทีเดียว เสียงฝนที่กระหน่ำหลังคาใบจากดังซ่าๆ ไม่ขาดสายราวกับเสียงคร่ำครวญของท้องฟ้า
หมู่บ้านจิ่งสุ่ยที่ตั้งอยู่ ณ เชิงเขาฮูหลง แทบจะกลายสภาพเป็แอ่งโคลนขนาดย่อม เส้นทางดินที่เคยใช้สัญจรบัดนี้เปียกแฉะและลื่นจนแทบเดินไม่ได้ ความหนาวเย็นและความชื้นแฉะแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของกระท่อมดิน ก่อเกิดเป็ไอเย็นที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยได้โดยง่าย
ถังเหมยหลินยืนมองสายฝนที่โปรยปรายอยู่ริมหน้าต่าง นางรู้ดีว่านี่คืออำนาจของพายุหมุนเขตร้อนที่พัดผ่าน ไม่ใช่เพราะพญาัพิโรธดังที่ชาวบ้านหวาดกลัว และนางก็รู้ด้วยว่า สภาพอากาศเช่นนี้คือสภาวะที่เหมาะเจาะที่สุดสำหรับการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจและไข้หวัด
"แค่กๆ ...แค่ก..." เสียงไอของผู้เฒ่าฝานดังมาจากกระท่อมที่อยู่ไม่ไกลนัก ตามมาด้วยเสียงเด็กร้องไห้กระจองอแงเพราะพิษไข้จากบ้านใกล้เรือนเคียง หมู่บ้านในชนบทที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยกันตามยถากรรม ความทุกข์ทรมานที่เคยเป็เื่ปกติ บัดนี้กลับมีจุดศูนย์กลางแห่งความหวังแห่งใหม่เกิดขึ้น
และศูนย์กลางแห่งนั้นก็คือกิจการ "ร้านยา" เล็กๆ ในกระท่อมของตระกูลซู
"ท่านพี่ขอรับ...ผงหญ้าเกล็ดับดเสร็จแล้ว" ซูก๋วนในวัยหนุ่มน้อยที่บัดนี้กลายเป็ผู้ช่วยปรุงยาเต็มตัว เดินถือถ้วยหินที่บรรจุผงยาสีน้ำตาลอ่อนเข้ามาอย่างระมัดระวัง
ซูเหยียนหันกลับมาจากหน้าต่าง รับถ้วยนั้นมาพิจารณา "ดีมาก บดได้ละเอียดดี" นางกล่าวชมเชย "จำไว้นะซูก๋วน หัวใจสำคัญของยาแก้ไข้ตำรับนี้คือความสมดุล"
นางจัดแจงส่วนผสมต่างๆ ที่เตรียมไว้บนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ซึ่งบัดนี้กลายเป็โต๊ะทำงานประจำของนางไปแล้ว ในถ้วยกระเบื้องหลายใบ มีผงสมุนไพรที่ผ่านการแปรรูปอย่างพิถีพิถันวางเรียงรายอยู่
"นี่คือเหง้าหญ้าเกล็ดัที่เ้าบด...มันคือแม่ทัพใหญ่ มีฤทธิ์ลดไข้ ขับความร้อน" นางชี้ไปยังผงสีน้ำตาล "ส่วนนี่...ดอกสายน้ำผึ้งแห้งบด" นางชี้ไปยังผงสีเหลืองนวล "มันคือนายกองคนสำคัญ ช่วยลดการอักเสบในลำคอ แก้เจ็บคอ"
จากนั้นนางก็หยิบใบสะระแหน่ป่าแห้งที่ส่งกลิ่นหอมเย็นสดชื่นขึ้นมา "และนี่...ใบสะระแหน่ป่า มันคือทหารเลวผู้ส่งสาร มีหน้าที่นำพาสรรพคุณยาให้ขึ้นสู่ส่วนบนของร่างกาย ทำให้ศีรษะที่หนักอึ้งโปร่งโล่งสบาย และยังช่วยให้รสชาติของยาดีขึ้นด้วย"
นางใช้ช้อนไม้เล็กๆ ที่เหลาขึ้นเอง ตักส่วนผสมแต่ละอย่างลงในชามผสมใบใหญ่ในสัดส่วนที่แม่นยำ การกระทำของนางสงบนิ่งและมั่นคงราวกับกำลังประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
"เราต้องใช้เหง้าหญ้าเกล็ดัสามส่วน ดอกสายน้ำผึ้งสองส่วน และใบสะระแหน่ป่าเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น" นางอธิบายให้น้องชายฟัง "หากใส่แม่ทัพใหญ่มากเกินไป ฤทธิ์ยาจะแรงเกินจนเป็อันตรายต่อกระเพาะของคนป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก แต่หากใส่น้อยไปก็จะไม่สามารถเอาชนะไข้ได้"
ซูก๋วนพยักหน้าอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาเป็ประกายด้วยความทึ่งและใฝ่รู้ "ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพี่! มันเหมือนการจัดทัพไปออกศึกเลย!"
"ถูกต้อง" ซูเหยียนยิ้ม "การรักษาโรคก็คือการทำากับความเจ็บป่วยนั่นแหละน้องพี่"
ขณะที่สองพี่น้องกำลังง่วนอยู่กับการปรุงยา เสียงเรียกที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นหน้าประตู "แม่นางซู...แม่นางซูอยู่หรือไม่"
เป็ป้าหลี่ที่อุ้มเสี่ยวถูลูกชายตัวน้อยมายืนตัวเปียกปอนอยู่หน้าประตู "ลูกข้าตัวร้อนอีกแล้วแม่นาง ทั้งยังไอไม่หยุดเลย" นางกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
"เข้ามาข้างในก่อนสิป้าเมิ่ง ตากฝนแบบนั้นเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน" ซูเจินที่กำลังเย็บผ้าอยู่รีบเชื้อเชิญอย่างมีน้ำใจ
ซูเหยียนเดินเข้าไปตรวจดูอาการของเสี่ยวถู นางวางหลังมือลงบนหน้าผากของเด็กน้อย...ร้อนเหมือนไฟจริงๆ "ไม่ต้องกังวลไปหรอกเ้าค่ะ" นางกล่าวอย่างใจเย็น "เป็เพียงไข้หวัดจากลมฝนเท่านั้น"
นางหันไปหยิบห่อยากระดาษสีน้ำตาลที่ปรุงเสร็จแล้วจำนวนหนึ่งยื่นให้ป้าเมิ่ง "นี่คือยาแก้ไข้ตำรับใหม่ที่เพิ่งปรุงเสร็จ นำไปต้มกับน้ำหนึ่งชาม ให้เหลือครึ่งชาม ให้เสี่ยวถูดื่มตอนอุ่นๆ วันละสองครั้ง เช้าเย็น เดี๋ยวอาการก็จะดีขึ้นเอง"
"ขอบคุณมากแม่นางซู...ขอบคุณจริงๆ" ป้าหลี่รับห่อยามาด้วยมือที่สั่นเทา นางยื่นตะกร้าเล็กๆ ที่มีไข่ไก่สดใหม่สี่ฟองเป็การตอบแทน "ข้ามีเพียงเท่านี้...โปรดรับไว้ด้วยเถิด"
"ขอบคุณเช่นกันเ้าค่ะป้าเมิ่ง" ซูเหยียนรับตะกร้ามาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อป้าเมิ่งจากไป ไม่นานนักลุงหวังที่ไอโขลกๆ มาหลายวันก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา เขาไม่ได้มาเพื่อขอรับยา แต่กลับนำฟืนแห้งสนิทมัดใหญ่มที่เขาอุตส่าห์เก็บสะสมไว้ก่อนฝนจะตกหนักมาให้ "ข้าได้ยินว่าฟืนที่บ้านเ้าใกล้จะหมดแล้ว นี่...ข้าเอามาให้"
"ขอบคุณมากลุงหวัง" ซูเหยียนกล่าว ก่อนจะจัดยาแก้ไอที่ทำจากรากชะเอมและผลมะแว้งให้เขาเป็การแลกเปลี่ยน
การค้าขายด้วยระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของ (Barter System) ของนางได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็รูปธรรม มันคือวงจรแห่งน้ำใจที่หมุนเวียนไปทั่วทั้งหมู่บ้านจิ่งสุ่ย ผู้คนต่างนำผลผลิตเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนมีมาแลกกับยาที่เปรียบเสมือนหลักประกันของชีวิตในยามเจ็บป่วย พวกเขาต่างดีใจอย่างสุดซึ้ง เพราะในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลเช่นนี้ ยาสำหรับแก้อาการไข้นั้นจำเป็อย่างยิ่งและหาได้ยากเย็นแสนเข็ญ
ชื่อเสียงของ หมอหญิงเทวดาซูเหยียน และยาของนางไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในรั้วของหมู่บ้านจิ่งสุ่ยอีกต่อไป
ณ หมู่บ้านลำธารน้ำใส ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวครึ่งวันเดินทาง ชายหนุ่มนาม "อาเฉิน" กำลังนั่งมองภรรยาที่นอนซมด้วยพิษไข้บนเตียงด้วยความกลัดกลุ้ม หมอสมุนไพรในหมู่บ้านของเขาก็ได้แต่ให้ยาต้มรสขมที่ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นเลย
"เ้าต้องทนหน่อยนะอาเหมย" เขากล่าวเสียงเศร้า..ในขณะเดียวกันป๋าจาง หญิงชราข้างบ้านที่แวะมาเยี่ยมกล่าวขึ้น
"ข้าได้ยินข่าวมา...ว่าที่หมู่บ้านจิ่งสุ่ย มีหมอหญิงสาวคนหนึ่งที่รักษาคนป่วยเก่งราวกับเทพเซียน นางมียาแก้ไข้ที่ชะงัดนัก เพียงดื่มแค่ชามเดียวไข้ก็ลดแล้วเ้าน่าจะลองไปหานางดูนะอาเฉิน"ป้าจางพูดในขณะที่มองอาเหมยที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้
"จริงรึป้าจาง!" อาเฉินลุกพรวดขึ้นด้วยความหวัง
"จริงสิ...หลานข้าที่แต่งงานไปอยู่หมู่บ้านนั้นเพิ่งส่งข่าวมาบอก"
ความหวังนั้นจุดประกายให้อาเฉินตัดสินใจ เขาไม่รอช้าอีกต่อไป ฝากให้ป้าจางช่วยดูแลภรรยา ส่วนตนเองก็คว้าเสื้อกันฝนที่ทำจากใบไม้แห้งและหมวกใบลาน มุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านทันที
หนทางนั้นยากลำบากกว่าที่คิด สายฝนที่ตกหนักทำให้ทางดินกลายเป็ทะเลโคลน เขาต้องลื่นล้มหลายครั้ง ต้องเดินเท้าเปล่าลุยน้ำที่เย็นเฉียบจนเท้าชา แต่ภาพของภรรยาที่นอนป่วยอยู่ทำให้เขามีกำลังใจที่จะไปต่อ
ในที่สุด...หลังจากที่เดินทางอย่างทุลักทุเลมานานหลายชั่วยาม เขาก็มาถึงหมู่บ้านจิ่งสุ่ยจนได้ เขาสอบถามหาบ้านของ "แม่นางซู" จากชาวบ้านคนแรกที่พบ ซึ่งชาวบ้านคนนั้นก็ชี้ทางไปยังกระท่อมเชิงเขาอย่างเต็มใจ
อาเฉินมาหยุดยืนอยู่หน้ากระท่อมตระกูลซูในสภาพที่เปียกปอนและมอมแมมไปทั้งตัว เขารวบรวมความกล้าเคาะประตู
ซูเจินเป็ผู้มาเปิดประตู เมื่อเห็นชายแปลกหน้าในสภาพน่าเวทนาก็ใเล็กน้อย
"เ้า...เ้ามาหาใครรึ"
"ข้า...ข้ามาจากหมู่บ้านลำธารน้ำใส" อาเฉินกล่าวเสียงสั่นด้วยความหนาวและความเหนื่อย "ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของแม่นางซู...ภรรยาของข้าป่วยหนัก เป็ไข้สูงมาสามวันแล้ว ข้า...ข้ามาเพื่อขอความเมตตา...ขอเพียงยาที่จะช่วยชีวิตนางได้" เขากล่าวพลางคุกเข่าลงกับพื้นโคลน
ซูเหยียนที่ได้ยินเสียงดังมาจากในบ้านก็รีบเดินออกมาดู เมื่อเห็นภาพนั้นนางก็รีบเข้าไปประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้น "ลุกขึ้นเถิดพี่ชาย อย่าทำเช่นนี้เลย"
นางเชิญเขาเข้ามาในกระท่อม ซูก๋วนรีบนำน้ำอุ่นและผ้าแห้งมาให้ ชายหนุ่มเล่าอาการป่วยของภรรยาให้ฟังอย่างละเอียด ซูเหยียนซักถามอาการเพิ่มเติมอย่างเป็ระบบ...ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไม่มีอาการไอหรือเจ็บคอ...
"ท่านไม่ต้องกังวลไป" นางกล่าวสรุป "ข้าจะจัดยาให้"
นางจัดยาแก้ไข้ตำรับเดียวกับที่ให้เสี่ยวถูให้เขาไปสี่ห่อ พร้อมกับกำชับวิธีการต้มและดื่มอย่างละเอียด
อาเฉินน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ เขารีบล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา มันคือตุ๊กตาไมแกะสลักรูปนกตัวเล็กๆ ที่แกะสลักอย่างประณีตงดงาม "ข้า...ข้าไม่มีเงินทองหรือของมีค่าอะไรติดตัวมาเลย ข้ามีเพียงฝีมือแกะสลักไม้เล็กๆ น้อยๆ ...นี่คือของที่ดีที่สุดที่ข้ามี...ข้าขอมอบให้ท่านเพื่อเป็การแลกเปลี่ยน"
ซูเหยียนรับตุ๊กตานกตัวน้อยนั้นมาถือไว้ มันถูกแกะสลักอย่างมีชีวิตชีวาจนราวกับจะโบยบินได้ทุกเมื่อ นางยิ้มอย่างอ่อนโยน "มันงดงามมาก...ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน เดินทางกลับดีๆ เถิด"
ชายหนุ่มจากหมู่บ้านลำธารใสโค้งคำนับนางครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะจากไปพร้อมกับยาและความหวังเต็มเปี่ยม
ซูเจินมองตามไปอย่างอดเป็ห่วงไม่ได้ "เหยียนเอ๋อร์...เขามาจากที่ไกลนัก แล้วถ้าหากยาของเรา..."
"ท่านแม่" ซูเหยียนหันมาจับมือนางไว้ "ความรู้ที่ข้ามีคือความจริง มันตั้งอยู่บนเหตุและผล ไม่ใช่โชคลาง ยาของข้าจะต้องช่วยภรรยาของเขาได้อย่างแน่นอน"
นางมองสายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำอยู่ด้านนอก แต่ในใจของนางกลับรู้สึกสงบนิ่งอย่างประหลาด นางไม่ได้กำลังต่อสู้กับสายฝน แต่กำลังใช้ความรู้ของตนเองเพื่อเป็เกราะกำบังให้ผู้คนที่ต้องทนทุกข์อยู่ภายใต้มัน
กิจการเล็กๆ ของนางไม่ได้เป็เพียงแหล่งจุนเจือครอบครัวอีกต่อไปแล้ว...แต่มันกำลังจะกลายเป็ตะเกียงดวงเล็กๆ ที่ส่องสว่างนำทางผู้คนให้ผ่านพ้นค่ำคืนอันมืดมิดและเหน็บหนาวของฤดูฝนนี้ไปได้.!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้