เหอชูซานเป็คนตรงไปตรงมา พูดแล้วทำจริง เขาจึงเริ่ม ‘คบหาดูใจ’ กับเสี่ยวเหอจริงๆ ในบ่ายวันเสาร์ พวกเขานัดเจอกันที่หน้าหอถานเซียง เหอชูซานสวมแว่นตาเก่าๆ ที่ดูทำให้เหมือนคนมีการศึกษา ถือกระเป๋าเอกสารมือสองที่ซื้อมาจากตลาดมือสอง สวมสูทและกางเกงราคาถูก ยืนตัวตรงท่ามกลางหญิงสาวมากมาย—— ดูโดดเด่นท่ามกลางเสียงหัวเราะและหยอกล้อของบรรดาพี่น้อง เขาจับมือเสี่ยวเหอด้วยรอยยิ้มเขินอายและพาเธอออกไปอย่างเปิดเผย
“นี่ถือว่าเธอการลาหยุดโดยไม่ได้รับเงินเดือน หรือเป็การออกไปข้างนอกพร้อมได้รับเงินเดือนกัน?” ผู้จัดการถามชุยตงตง
“แน่นอนว่าถือเป็การออกไปข้างนอก” ผู้จัดการชุยพูด “บริการพิเศษสำหรับแขก VIP ค่าบริการเพิ่มเป็สองเท่า ลงบัญชีของหัวหน้าใหญ่!”
ลูกพี่ใหญ่ชย่าที่อยู่ในสำนักงานใหญ่ของบริษัทจามออกมากะทันหันด้วยเสียงอันดังสนั่น! เขาหยิบทิชชูมาเช็ดน้ำมูกอย่างลวกๆ แล้วขยี้จมูกแดงๆ ของเขาด้วยความหงุดหงิดใจ
ลูกพี่ใหญ่ชย่ามั่นใจในสุขภาพของตัวเอง แม้ในวันคริสต์มาสที่มีอากาศหนาว เขายังกล้านอนบนโซฟาโดยใส่แค่เสื้อเชิ้ตเพียงตัวเดียว ทว่าพอเช้าวันรุ่งขึ้นเขากลับถูกคนไร้ค่าเหอทำให้โมโห เพราะอย่างนั้นภายในร่างของเขาจึงร้อนแม้อากาศภายนอกจะหนาวก็ตาม ตกบ่ายเขาจึงเริ่มมีไข้ เขาไม่ได้บอกลูกน้องและไม่ไปโรงพยาบาล แม้แต่ยาเขาก็ยังี้เีกิน เขานอนคลุมโปงอยู่บ้านสองวันเต็มๆ เหงื่อออกจนร่างกายชุ่มโชก พอไข้ลด เขาก็รู้สึกว่าตัวเองหายดีแล้วแปดถึงเก้าส่วน จึงมาตรวจงานที่บริษัทอย่างสบายใจ ระหว่างตรวจงานก็สั่งน้ำมูกไปด้วย
ลูกน้องคนหนึ่งโทรศัพท์รายงานสถานการณ์อย่างกระตือรือร้น “ลูกพี่ครับ! ไอ้หมอนั่นที่แซ่เหอไปออกเดตกับเสี่ยวเหอจริงๆ”
ชย่าลิ่วอีสูดหายใจลึกอย่างโกรธจัด “ส่งคนไปจับตามองเขาให้ดี ฉันจะดูว่าตัวเขาจะเดตยังไง—— ถ้ากล้าเล่นลิ้นหรือทำตัวแปลกๆ ก็ให้รีบลากเขากลับมา!”
“ครับ!”
เสี่ยวหม่ารู้เื่ซุบซิบเกี่ยวกับวันคริสต์มาสเป็คนแรก แต่เขาไม่ฉลาดเท่าชุยตงตงจึงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง เขาแค่คิดว่าลูกพี่ชย่าเชิญเขาไปงานเลี้ยงและเหอชูซานเป็คนสร้างปัญหา เขาจึงประจบประแจงลูกพี่ชย่าอย่างไม่ลดละ พร้อมทั้งเสนอตัวจัดการกับเหอชูซานให้แทนเขา
“พี่ใหญ่ ผมเห็นแล้วว่าหมอนี่มันไม่ใช่คนปกติ! พี่ใหญ่ใจดีพาเขาไปที่หอถานเซียงให้เห็นโลก แต่ไอ้เวรนี่กลับไม่รู้จักซาบซึ้ง ยังคิดจะพรากคนของพี่ไปอีก! ผมว่าเอามันใส่กระสอบแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินให้พวกสาวรัสเซียจัดการกับมันดีกว่า!”
“ไปตายซะ!” ชย่าลิ่วอีะโด้วยความดุดันแม้เสียงจะขึ้นจมูกก็ตาม “ใครบอกแกว่าเสี่ยวเหอเป็ของฉัน?! หลับนอนด้วยไม่กี่คืนก็กลายเป็ของฉันแล้วอย่างนั้นหรือ?! ถ้าคืนนี้ฉันนอนกับแก แกก็จะคิดว่าตัวเองเป็ของฉันด้วยอย่างนั้นหรือ?! แถมยังจะพูดถึงสาวรัสเซียอีก! ฉันเกลียดสาวรัสเซียที่สุด! ถอดเสื้อผ้าออกมามีแต่ขน รู้ไหมว่ามันใช้การไม่ได้?! เสนอแต่ความคิดบ้าๆ... อ๊ะ! ชิ!”
เสี่ยวหม่าถูกน้ำลายกระเด็นใส่หน้าผ่านทางโทรศัพท์ เขาถูกโมโหจนสายถูกตัดไป จึงหันไประบายอารมณ์ใส่ลูกน้องที่นั่งฟังอยู่ตรงโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างๆ “แม่ง! เมื่อกี้ใครแอบพูดอะไรวะ?! ลุกขึ้นมาเปลี่ยนกับฉันเดี๋ยวนี้!”
บ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาวที่แดดอบอุ่น ผู้จัดการเสี่ยวหม่ากำลังนั่งเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ที่ลานหน้าโต๊ะสนุกของเขาพลางคิดในใจอย่างหงุดหงิด—— ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเื่ชาวบ้านอีกแล้ว! ลูกพี่ใหญ่รักเด็กนั่นเหมือนลูกในไส้ แทบจะให้ขึ้นไปนั่งบนหัวอยู่แล้ว น่าจะเปลี่ยนนามสกุลให้เป็ชย่าชูซานไปเลย ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะหลบหน้ามันก็ยังไม่ได้!
ในความเป็จริงผู้จัดการเสี่ยวหม่าไม่สามารถทำอะไรเหอชูซานได้เลย ไม่ว่าเหอชูซานจะทำอะไรเขาก็ต้องรายงานลูกพี่อย่างตรงไปตรงมา “พี่ครับ เด็กนั่นพาเสี่ยวเหอไปห้างสรรพสินค้าครับ”
“ฮัดชิ่ว! ซื้ออะไรมาหรือ?”
“ก็แค่ซื้อการ์ดอวยพรให้เธอ ของกระจอก!”
“พูดมาก เฝ้าดูต่อไป”
ไม่นานนักก็มีโทรศัพท์เข้ามาอีก “พี่ครับ เด็กนั่นพาเสี่ยวเหอไปโรงหนังแล้วครับ”
“ดูเื่อะไร?”
“น่าจะเป็เื่《วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า》นะครับ”
“ฮัดชิ่ว!” ไม่ใช่ว่าดูไปแล้วหรือ “ตามต่อไป”
คราวนี้ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าโทรศัพท์สายต่อไปจะดังขึ้น “พี่ครับ เด็กนั่นกำลังซื้อของกินให้เสี่ยวเหออยู่ข้างทางครับ”
“ซื้ออะไร?”
“ลูกชิ้นปลากับวาฟเฟิลฮ่องกง ไอ้เด็กจนนี่!”
“ฮัดชิ่ว!”
ลูกพี่ใหญ่ชย่าวางสายแล้วพยายามรวบรวมสมาธิอ่านบัญชีต่อ จนกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ ฟ้าสาดแสงสีส้ม และเขาเริ่มรู้สึกเวียนหัว ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เขาขมวดคิ้ว ควานหาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกองทิชชูใช้แล้ว แล้วรับสาย “ไปไหนอีกล่ะ?”
“ร้านน้ำแข็งไสอาหัวครับ ไอ้เด็กนั้นพาเสี่ยวเหอเข้าไปในครัวอย่างมีพิรุธ หายเข้าไปเป็ชั่วโมงแล้วครับ”
“ทำอะไรกันข้างใน?”
“ไม่รู้ว่าทำอะไรครับ แต่ดูเหมือนไอ้เด็กน้อยจะทำอาหารให้เธอทานทั้งโต๊ะเลยครับ…”
“ฮัดเช้ย——!”
ลูกพี่ใหญ่ชย่าจามอย่างแรงเสียงดังจนบ้านแทบแตก หัวของเขาหนักและรู้สึกมึนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขว้างโทรศัพท์มือถือออกไปอย่างแรง!
“เวร!”
ให้การ์ดอวยพร ดูหนัง ซื้อขนม และทำอาหารด้วยกัน ทุกขั้นตอนเหมือนกันหมด แล้วยังมีประโยคนั่นอีก ‘การออกเดตคือจุดเริ่มต้นของความรัก’
—— ไอ้เด็กเวรนั่นรู้ว่ามีคนสะกดรอยตาม มันจึงจงใจบอกเป็นัยๆ ว่าสิ่งที่พวกเขาทำด้วยกันนั้นก็เหมือนกับ ‘การออกเดต’!
ลุกพี่ใหญ่ชย่าเอนหลังพิงไปด้านหลังแล้วเตะโต๊ะอย่างแรง! กองทิชชูที่ใช้แล้วกระจัดกระจายเกลื่อนทั่วพื้น!
ไอ้เหอชูซาน! ไปตายซะ!
“ฮัดเช้ย!”
ลูกพี่ใหญ่ชย่าโกรธจนไฟโทสะลุกโหม ในคืนนั้นไข้ก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงกลับบ้านไปอย่างเงียบๆ กินหนิวจ๋าสองชาม แล้วก็เข้านอน หวังว่าจะหายป่วยได้ด้วยการนอนหลับยาวๆ อีกครั้ง แต่ผลที่ได้กลับเกือบทำให้เขาไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เหล่าบอดี้การ์ดรอเขาอยู่ข้างล่างจนถึงเที่ยงก็ยังไม่เห็นเขา ต่างพากันคิดว่าลูกพี่ใหญ่ถูกฆ่าในห้องนอนจึงได้พังประตูเข้าไปแล้วพบว่าลูกพี่ใหญ่ตัวร้อนเหมือนถ่านห่ออยู่ในผ้าห่ม แต่ถึงลูกพี่ใหญ่จะอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเขาก็ยังสามารถคว้าปืนและปลดเซฟตี้ได้อย่างแม่นยำ พร้อมที่จะยิงทุกคนที่กล้าเข้าใกล้ โชคดีที่บอดี้การ์ดของเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเสี่ยวหม่ามาเป็อย่างดี พวกเขารู้จักหลบหลีกเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจต้องเสียสละโดยไม่จำเป็
ชุยตงตงรีบพาหมอส่วนตัวมาทันที เธอไล่บอดี้การ์ดที่ยังใกลัวออกไป แล้วจัดการปลดอาวุธและจับลูกพี่ใหญ่ชย่าให้นอนลงเพื่อทำการรักษา—— ไม่ใช่ว่าเธอมีฝีมือดีกว่าบอดี้การ์ด แต่มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่กล้าใช้ฝ่ามือสับเข้าที่ต้นคอของลูกพี่ใหญ่อย่างไม่ปรานี อีกทั้งยังกล้าด่าลูกพี่ใหญ่อีกว่า “ไอ้สารเลว! อยู่นิ่งๆ ซะ!”
เมื่อชย่าลิ่วอีตื่นขึ้นมา ก็เห็นชุยตงตงกำลังนั่งไขว่ห้างอย่างผ่าเผยอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เธอพ่นควันบุหรี่เป็วงกลมไปยังรูะุใหม่เอี่ยมที่เรียงรายอยู่บนผนัง
“ฉันบอกหัวหน้านะ นายรู้ไหมว่าความหมายของ ‘ไม่สามารถดูแลตัวเองได้’ คืออะไร? นายนี่แหละ ตัวอย่างเลย” รองหัวหน้าชุยพูดอย่างจริงจังท่ามกลางกลุ่มควัน “ก่อนที่นายจะเผลอทำให้หัวหน้าของเราตายเข้าสักวันหนึ่ง ขอร้องล่ะ ไปหาใครสักคนมาดูแลตัวเองทีเถอะ!”
ชย่าลิ่วอีรู้สึกเบื่อหน่าย จึงใช้มือที่มีเข็มฉีดยาปักอยู่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวของเขา
“ฉันว่านายเหอคนนั้นก็ใช้ได้นะ ฉลาดแล้วก็รอบคอบ อย่างน้อยถ้ามีเขาอยู่ด้วย นายก็จะไม่อดตายหรือไม่สบายหรอก ยังไงก็ลองคบดูหน่อยไหม?”
“หุบปากแล้วไสหัวไป” เสียงแหบพร่าของลูกพี่ใหญ่ชย่าดังลอดออกมาจากใต้ผ้าห่ม
รองหัวหน้าชุยไม่พูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ เธอสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างเท่ๆ แต่ในคืนนั้นตอนใกล้เวลาอาหารเย็น เสี่ยวหม่าก็รีบถือกล่องอาหารขนาดใหญ่มาเยี่ยมลูกพี่ชย่าพร้อมกับนำอาหารมาส่งให้ และที่น่าประหลาดใจก็คือเหอชูซานที่สะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กก็ตามมาด้วยเช่นกัน!
ชย่าลิ่วอีนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง เขาโยกตัวไปมาขณะสูบบุหรี่และดูโทรทัศน์ เมื่อเห็นทั้งสองคนเข้ามา เขาก็หันไปมองเสี่ยวหม่าด้วยความเคียดแค้น
เสี่ยวหม่ารีบหดคอ “พี่ใหญ่! เื่นี้ผมไม่เกี่ยวเลยนะ! นี่เ้าหนุ่ม อธิบายเอาเองแล้วกัน!” เสี่ยวหม่ารีบวางกล่องอาหารลงแล้วเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็ว
“ผมได้ยินเสี่ยวเหอพูดว่าพี่ไม่สบาย” เหอชูซานพูดพลางก้มหน้าลง “เลยมาเยี่ยมพี่สักหน่อย พี่ลิ่วอี”
ชย่าลิ่วอีมองเขาด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายและไม่อยากสนใจ เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้เื่ที่เขานอนป่วยอยู่บนเตียงจึงมีเพียงคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เื่นี้ เสี่ยวเหอยังไม่ถึงระดับที่จะรู้เื่นี้ได้— แน่นอนว่าคงเป็ชุยตงตงที่เป็คนจัดการเื่นี้อยู่เื้ั
เหอชูซานก้มหน้าก้มตาหยิบกระติกน้ำร้อนขนาดใหญ่ที่ห่อด้วยผ้าฝ้ายออกมาจากกระเป๋าใบเล็กอย่างระมัดระวัง เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมของโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าก็อบอวลไปทั่วทั้งห้อง เขาตักโจ๊กใส่ชามแล้ววางลงบนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก็เปิดกล่องอาหารขนาดใหญ่ที่เสี่ยวหม่านำมา ข้างในมีกับข้าวหลากหลาย แถมยังมีโจ๊กขาวอีกหนึ่งชามใหญ่ด้วย
“พี่หลิวอี พี่จะกินโจ๊กขาวหรือโจ๊กไข่เยี่ยวม้าดีครับ?”
ชย่าลิวอีไม่แม้แต่จะมองเขา ทำแค่เพียงหยิบชามโจ๊กไข่เยี่ยวม้ามาไว้ตรงหน้าตัวเอง—— ไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจจะเอาใจเหอชูซานหรอกนะ แต่ถ้ามีเนื้อแล้วใครจะไปกินโจ๊กขาวกันล่ะ
เหอชูซานล้วงหยิบห่อกระดาษไขเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าอีกใบ เมื่อเปิดออกก็พบหัวไชเท้าดองหน้าตาเหี่ยวๆ ชิ้นหนึ่ง “พ่อดองเองครับ ดูไม่น่ากินเท่าไร แต่หอมมาก ลองชิมดูสิครับ”
ชย่าลิ่วอีไม่สนใจเหอชูซาน เขาทำเพียงใช้ตะเกียบคีบผักกาดขาวผัดไข่จากจานของเสี่ยวหม่ามากินเท่านั้น
เหอชูซานนั่งเฝ้าเขาอย่างสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง รอจนชย่าลิ่วอีซดโจ๊กหมดชาม เขาจึงเดินเข้าไปตักโจ๊กเพิ่มให้ชย่าลิ่วอีอีกหนึ่งชาม เมื่อเห็นว่าลูกพี่ชย่าอิ่มไปกว่าครึ่งแล้ว อารมณ์น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม จึงพูดขึ้น “พี่ลิ่วอี ผมขอโทษครับ คืนนั้นผมไม่น่าไปเถียงกับพี่เลย”
ชย่าลิ่วอีวางตะเกียบลง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองเหอชูซานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่สิ่งที่เขา้าสื่อออกไปนั้นชัดเจน—— ปัญหาของพวกเขาทั้งสองเป็เื่ของการโต้เถียงกันอย่างนั้นหรือ? อย่ามาเสแสร้งทำเป็ไม่รู้ไปหน่อยเลย เหออาซาน!
เหอชูซานมองเขากลับไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใบหน้าของเขาไร้เดียงสา คำพูดเองก็จริงใจและซื่อตรงราวกับสำนึกผิดแล้วพร้อมที่จะแก้ไข “เสี่ยวเหอเป็ผู้หญิงที่ดี ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเธอ ขอบคุณพี่ลิ่วอีนะครับ”
ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกวาดสายตามองเขาขึ้นลงหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบพิรุธใดๆ จากนักแสดงคนนี้เลย ในที่สุดเขาก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาจากจมูก ถือว่าเป็การยอมรับคำขอโทษและขอบคุณของเหอชูซาน
—— ถ้าไอ้เด็กเหลือขอนี่กลับตัวกลับใจ ไม่คิดฟุ้งซ่านเื่ไร้สาระ เขาก็ยังพอจะทนเป็พี่ใหญ่ให้มันต่อไปได้
—— เพียงแต่เขาสงสัยเป็อย่างมากว่าไอ้เด็กนี่จะกลับตัวกลับใจเป็คน ‘ปกติ’ ได้จริงหรือเปล่า