ฮูหยินเหยียนได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง สายตาของค์หญิงใหญ่แสดงถึงความรำคาญใจอย่างชัดเจน องค์หญิงใหญ่กระชากเสียงฮึเ็าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “ชาติกำเนิดเช่นนี้ความจริงก็มิได้โดดเด่นอันใดมากนัก เลียนแบบผู้อื่นแล้วมิได้ดีอันใดนักหนามาหลายสิบปี ซ้ำยังแสดงท่าทางเช่นนี้อีก นางกำนัลาุโที่คอยอบรมสั่งสอนในวังหลวงมิได้ไปสอนบ้างหรือ? พรุ่งนี้ส่งตัวเข้ามาในวังหลวง และข้าจะช่วยอบรมสั่งสอนเ้าสักสองสามวัน เพื่อมิให้เสด็จแม่ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติหากเื่นี้แพร่งพรายออกไป”
เหยียนรั่วฟางได้ยินแล้วหน้าซีดจนแทบเป็ลม ตอนอยู่ที่เรือนนางเคยวางอำนาจบาตรใหญ่จนชินชา ซ้ำยังรู้ดีอีกว่าไทเฮาไม่ค่อยลงรอยกันกับองค์หญิงใหญ่ หากตนเองตกอยู่ในเงื้อมมือองค์หญิงใหญ่ นี่ไม่เท่ากับจะต้องตกที่นั่งลำบากหรือ?
เพียงแต่นางไม่เข้าใจว่าตนเองทำเื่อันใดให้องค์หญิงใหญ่ขุ่นเคืองจนต้องตกเป็เป้าเช่นนี้ ทั้งใทั้งหวาดกลัว จนไม่อาจหยุดร้องไห้ได้
แม้ว่าฮูหยินเหยียนจะเป็ฮูหยินขั้นหนึ่ง ทว่าตระกูลเหยียนยังคงต้องอาศัยอำนาจของไทเฮาเพื่อช่วยให้บุตรสาวของนางได้เข้ามารับใช้ในวังหลวง และยังมีตระกูลร่ำรวยอีกหลายตระกูล หากแค่เพียงพึ่งพาชาติกำเนิดของฮูหยินเหยียนไม่อาจก้าวหน้าได้เช่นนี้เลย ในเมื่อยามนี้กำลังถูกองค์หญิงใหญ่กดดัน นางจะกล้าขัดขืนได้อย่างไร แม้จะโกรธแค้นอยู่ในใจก็ไม่อาจลุกหนีได้ทันที ทำได้เพียงนั่งนิ่งราวกับถูกเข็มหมุดปักไว้อยู่
โชคดีที่องค์หญิงใหญ่มิได้สืบสาวราวเื่ต่อ หลังจากองค์หญิงเอ่ยกับนางจบพลันหันไปมองจวินอู๋เสียที่อยู่ข้างเหยียนรั่วฟางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์ชายจวิน วันนี้อาหารถูกปากหรือไม่?”
ขณะที่จวินอู๋เสียได้ยินองค์หญิงเอ่ยถึงตัวเขา เขาพลันขมวดคิ้วแสดงท่าทางนอบน้อมทว่าห่างเหิน จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “อู๋เสียอาศัยอยู่ที่ต้าเซวียนมาแปดปีแล้ว และคุ้นเคยกับอาหารของต้าเซวียนมานานแล้ว ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่อารมณ์ดีอย่างน่าประหลาดพลางแย้มยิ้มเอ่ย “ในตำหนักของข้ามีพ่อครัวฝีมือระดับดีเยี่ยม เขามีฝีมือในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก วันหลังจะส่งอาหารสักสองสามอย่างไปให้องค์ชายจวิน ถือว่าเป็น้ำใจในฐานะเ้าของบ้านที่มีต่อแขกที่มาเยือน”
จวินอู๋เสียยืนขึ้นและโค้งคำนับขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ ทว่ามิได้ปฏิเสธ ซึ่งทำให้องค์หญิงใหญ่พึงพอใจยิ่งนัก
เหยียนอู๋อวี้เหลือบมองนางแล้วมองจวินอู๋เสียด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก หรือว่าองค์หญิงใหญ่จะพึงใจจวินอู๋เสียเข้าแล้ว?
จากอุปนิสัยขององค์หญิงใหญ่ ครั้งนี้จวินอู๋เสียคงจะหลบเลี่ยงไปได้ยาก
ขณะที่นางขมวดคิ้วและกำลังครุ่นคิดหาทางช่วยให้จวินอู๋เสียหลบเลี่ยงจากเื่นี้ ป้าโฉ่วพลันโน้มตัวลงถือโอกาสกระซิบบอกเหยียนอู๋อวี้ว่า “คุณหนู ดูเหมือนอู๋เจาหรงจะมีบางอย่างผิดปกติ”
เหยียนอู๋อวี้กวาดสายตามองใบหน้าอู๋เจาหรงที่ดูเหมือนดอกฝูหลงฮวา[1]หลังฝนตกพลางเอ่ยถามเสียงต่ำ “ผิดปกติอย่างไร?”
“คล้ายนางถูกวางยาพิษ” ป้าโฉ่วเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนคล้ายไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา
เหยียนอู๋อวี้นิ่งขรึม ทว่าไม่กล้าสบตากับอู๋เจาหรงนานเกินไป นางคิดว่าตนเองเป็คู่ต่อสู้กัน ยามนี้ซ่งอี้เฉินไม่ปรากฏตัวมาหลายวันแล้ว นางจำเป็ต้องสวมหน้ากากสงบเสงี่ยม
ทันใดนั้น จู่ๆ เสียงของเว่ยหรูไห่พลันดังขึ้นมา “ฮ่องเต้เสด็จ!”
ซ่งอี้เฉินปรากฏตัวในงานเลี้ยงขณะที่ทุกคนได้ยินเสียงนี้ เขาเดินไปนั่งถัดจากองค์หญิงใหญ่ ก่อนจะรับสั่งให้ทุกคนยืนขึ้น ไม่ได้พบหน้าหลายวัน สีหน้าของฝ่าาดูดีขึ้นมาก คาดว่าเป็เพราะได้จัดการกรมโยธาเรียบร้อยแล้ว จึงเป็สาเหตุให้พระองค์อารมณ์ดี
องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้ฝ่าามาสายนะเพคะ”
“เจิ้นออกจากห้องทรงอักษรก็รีบมาที่นี่ทันที” ซ่งอี้เฉินตรัสถามอย่างกลมกลืน “เสด็จพี่บอกว่ามีเื่ที่สร้างความประหลาดใจ เป็เื่อันใดหรือ?”
องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าามาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ยกออกมาได้!”
หลังจากองค์หญิงใหญ่มีรับสั่ง จากนั้นพลันมีคนถือหีบใบใหญ่เข้ามาวางลงบนลานกว้างและถอยออกไป พร้อมกับเสียงดนตรีดังขึ้น หีบใบนั้นแตกออก ดอกบัวค่อยๆ ลอยขึ้นมา สตรีนางหนึ่งเคลื่อนไหวตามดอกบัวที่กำลังล่องลอยขึ้น เมื่อสตรีนางนั้นหันกลับมา จู่ๆ กลับมีคนอีกคนหนึ่งปรากฏกายอยู่ด้านหลังนาง ใบหน้าของนางทั้งสองคนเหมือนกันอย่างยิ่ง ที่แท้ก็เป็แฝดสาวงามคู่หนึ่ง เพียงแต่แม่นางที่อยู่ด้านหลังจะมีไฝสีแดงอยู่ใต้ตา
ซ่งอี้เฉินมิได้สนใจการแสดงฟ้อนรำนี้มากนัก ทว่ายังคงแสร้งทำเป็หลงใหล หลังจากนางรำแสดงเสร็จแล้ว เขาก็อาศัยจังหวะนั้นกวาดสายตามองไปทั่วลานแสดง และส่งสายตามองไปทางเหยียนอู๋อวี้ เผยให้เห็นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล แม้ว่าเหยียนอู๋อวี้จะรู้สึกสะอิดสะเอียนในใจ กระนั้นภายนอกยังคงแสดงท่าทีไม่พึงพอใจ
ซ่งอี้เฉินหันหน้าไปแล้วตรัสกับองค์หญิงใหญ่ว่า “ช่างงดงามน่าทึ่งจริงๆ”
องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “หม่อมฉันเสาะหาทั่วทั้งต้าเซวียน นางเชี่ยวชาญด้านดนตรี หมากรุก อักษรวิจิตร จิตรกรรม กวีนิพนธ์ และยังร้องเพลงเต้นรำเก่ง ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานหรือไม่?”
ดวงตาของซ่งอี้เฉินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เสด็จพี่ จะถวายให้เจิ้นหรือ?”
“หม่อมฉันเสาะหามาเพื่อฝ่าาเพคะ ใต้หล้าเป็ของฮ่องเต้แล้ว จะเรียกว่าหม่อมฉันถวายให้ได้อย่างไร? เพียงแค่นำสิ่งที่เป็ของพระองค์มาถวายให้พระองค์เท่านั้นเองเพคะ”
ซ่งอี้เฉินยอมรับไว้ด้วยความยินดี และรับสั่งให้เว่ยหรูไห่ไปจัดการ
ขณะที่บรรดาแเื่และเ้าภาพกำลังสนุกสนานกัน จู่ๆ อู๋เจาหรงกลับเอ่ยออกมาว่า “เหตุใดน้องหญิงเหยียนจึงมีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นนี้? หรือว่าเป็เพราะฝ่าาทรงรับสาวงามหรือ?”
ระยะนี้อู๋เจาหรงยิ่งเป็ที่โปรดปรานก็ยิ่งโอหังมากขึ้น นางไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าองค์หญิงใหญ่มอบสาวงามทั้งสองคนให้กับซ่งอี้เฉิน อีกทั้งยังเห็นซ่งอี้เฉินและเหยียนอู๋อวี้ส่งสายตาที่ลึกซึ้งต่อกันอีก ยิ่งทำให้นางโกรธมากยิ่งขึ้น นางไม่กล้าพุ่งเป้าไปที่องค์หญิงใหญ่ นางจึงหันไประบายความโกรธกับเหยียนอู๋อวี้แทน
ั้แ่องค์หญิงใหญ่เอ่ยปากถวายหญิงงาม เหยียนอู๋อวี้ก็สังเกตเห็นว่ามีสายตามากมายมองมาที่ใบหน้าของนาง แม้แต่ซ่งอี้เฉินก็แอบมองคราหนึ่งแล้วหลุบตาลงต่ำ กลับไม่คาดคิดว่าอู๋เจาหรงจะพุ่งเป้ามาที่นางอีกครั้ง
เหยียนอู๋อวี้คิดว่าตนเองเคยขัดแย้งกับนางมาหลายครั้ง คล้ายนางจะมีความคับแค้นใจ และ้าใช้ความโปรดปรานของซ่งอี้เฉินที่มีต่อนางมาเป็เวลานานนั้นแก้แค้นนาง
เหยียนอู๋อวี้เยาะเย้ยอยู่ในใจ เช่นเคยในเมื่อซ่งอี้เฉินตัดสินใจใช้นางให้เป็เป้าและ้าปกป้องคนที่เขารักจากการโจมตีของผู้อื่น เขาต้องแสร้งทำเป็ใส่ใจต่อนางมากขึ้น ไม่คาดคิดว่าเขาจะหันไปหาอู๋เจาหรงแทน
หลังจากอู๋เจาหรงกลายเป็กล่องดวงใจของฮ่องเต้ นางก็ดูิ่นางสนมหลายคนในตำหนักหลัง อย่างไรก็ตามบิดาของนางก็เป็กำลังที่ช่วยรักษาสมดุลในกองทัพ นางจึงสามารถนั่งในตำแหน่งปัจจุบันได้ กองทัพนี้จะไม่มีทางยืนอยู่ฝ่ายที่ไร้อำนาจอย่างซ่งอี้เฉินแน่นอน
ซ่งอี้เฉินโปรดปรานอู๋เจาหรง หรือว่าเขามีแผนการอื่น?
นางครุ่นคิดเื่นี้อยู่ในใจหลายครั้ง ทว่าสีหน้ายังคงเผยให้เห็นถึงความเศร้าใจ ดวงตาที่ขุ่นเคืองยังคงมองซ่งอี้เฉินพลางตอบกลับเสียงแ่เบาว่า “ในวังหลวงมีน้องหญิงคนใหม่เข้ามาจะต้องครึกครื้นเป็แน่เพคะ น้องหญิงจะไม่ดีใจได้อย่างไรกัน ไม่เพียงแต่มีความสุขเท่านั้น ยังรู้สึกดีใจจนแทบจะร้องไห้”
คำพูดเหล่านี้ฟังดูสวยหรูอย่างเหนือชั้น ทว่าไม่มีผู้ใดในที่นี้เชื่อนาง พวกเขาต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเวลานี้เหยียนอู๋อวี้มีความหวาดกลัว เนื่องจากซ่งอี้เฉินให้ความโปรดปรานอู๋เจาหรงมาหลายวันแล้ว ยิ่งยามนี้มีฝาแฝดที่สวยงามถึงสองคน เกรงว่านางคงกลัวว่าจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป
นางไม่มีอำนาจสนับสนุนจากตระกูล นางเป็เพียงฉายเหรินเท่านั้น ก่อนหน้านี้หากนางมีปัญหากับผู้ใดก็จะมีฮ่องเต้คอยหนุนหลัง ต่อไปไม่ได้รับความโปรดปรานแล้ว เกรงว่าหนทางข้างหน้าคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างแน่นอน
ทว่าหากแสดงทีท่ายอมรับผิดตอนนี้คงจะสายเกินไปแล้ว
“เกรงว่าจะไม่ใช่ร้องไห้ด้วยความดีใจ หากแต่เป็ความรู้สึกหึงหวงเท่านั้นเอง” อู๋เจาหรงเงยหน้ามองนางด้วยหางตา “วันนี้ดอกไม้บานสะพรั่ง ช่างงดงามจริงๆ เป็เื่น่ายินดีที่องค์หญิงใหญ่จัดงานเลี้ยงเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าน้องหญิงกลับตอบรับด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายเช่นนี้ ช่างเป็เื่ที่น่าเสียดายยิ่งนัก สิ่งนี้ไม่เพียงเป็การไม่ให้เกียรติองค์หญิงใหญ่เท่านั้น ทว่ายังเป็การลบหลู่เทพบุปผาอีกด้วย หากเทพบุปผาพิโรธและลงโทษ ผู้ที่ต้องแบกรับนั้นก็คือผู้คนในแผ่นดินนี้ เ้ารับผิดชอบเื่นี้ได้หรือ!”
แม้เป็การเผยท่าทีที่ไม่พอใจต่อซ่งอี้เฉิน ทว่าอู๋เจาหรงก็สามารถพูดเื่ไร้สาระเพื่อกล่าวหานางได้อย่างหนักแน่น โดยเจตนาจะโยนความผิดให้เหยียนอู๋อวี้ หากวันหน้ามีเื่ผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ คงยากที่นางจะหนีรอดจากความผิดได้
ปกติแล้วเหยียนอู๋อวี้สร้างศัตรูไว้มาก ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่าอู๋เจาหรงพูดเื่ไร้สาระ ทว่าก็ไม่มีผู้ใดออกมาพูดแทนนาง เพียงแค่รอให้เหยียนอู๋อวี้ตอบโต้ด้วยตนเอง และหวังจะได้ชมเหตุการณ์ดีๆ
เหยียนอู๋อวี้ถูกกดดันอย่างหนัก กระนั้นนางกลับไร้ซึ่งทีท่ากังวลใจ นางมองไปที่องค์หญิงใหญ่โดยไม่เอ่ยสิ่งใด และมองซ่งอี้เฉินที่คล้ายจะติดความงามของสตรีคนใหม่ นางยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ จากนั้นจึงยืนขึ้นแล้วทูลกับองค์หญิงใหญ่ว่า “หม่อมฉันขอบังอาจถามองค์หญิงใหญ่สักเื่เพคะ”
องค์หญิงใหญ่ไม่คาดคิดว่านางจะหันมาหาตนเอง นางจึงส่งสายตามองเหยียนอู๋อวี้และเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ถามเื่อันใด?”
“ไม่ทราบว่าวันนี้องค์หญิงทรงมีความสุขหรือไม่เพคะ? ยามนี้มีเื่อันใดที่ต้องกังวลใจหรือไม่เพคะ?”
คำถามของเหยียนอู๋อวี้ไม่ชัดเจนนัก ยิ่งทำให้ทุกคนสับสนในจุดประสงค์ของนางอย่างยิ่ง องค์หญิงใหญ่ไม่รู้ว่านางจะทำอันใด ทว่าเมื่อคิดถึงคำพูดของนางแล้ว พลันจ้องไปที่จวินอู๋เสียจากนั้นจึงตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าจัดงานฉลองร้อยบุปผา ก็ย่อมมีความสุขเป็ธรรมดา ทว่าความกังวลใจนั้นยากจะอธิบายได้”
“ดังนั้น ยามนี้องค์หญิงคงจะทรงอารมณ์ดีมากใช่หรือไม่เพคะ?”
องค์หญิงใหญ่ตอบว่า “มีฮ่องเต้อยู่เป็เพื่อน และยังรายล้อมไปด้วยผู้คนที่สวยงาม เป็สิ่งที่สวยงามที่สุดแล้ว และข้าก็มีความสุขมาก”
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้ม หันไปทางอู๋เจาหรงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่หญิงเจาหรง เทพบุปผานั้นใจกว้างดั่งมหาสมุทร และในขณะนี้อารมณ์ดียิ่งนัก น้องหญิงเป็เพียงมดปลวกตัวหนึ่ง ดังนั้นเทพบุปผาจึงไม่คิดอยากโต้เถียงกับน้องหญิง!”
อู๋เจาหรงรู้สึกงุนงงกับการตอบโต้ที่แปลกประหลาดครั้งนี้ จึงเอ่ยด้วยความโกรธ “เ้ากำลังพูดเื่ไร้สาระอันใด? เทพบุปผาบอกเ้าเมื่อใดกัน!”
ทันทีที่คำพูดถูกเอ่ยนี้ออกมา บางคนก็แอบเยาะเย้ยอยู่ในใจ เหยียนอู๋อวี้หันกลับมามองไปทางองค์หญิงใหญ่ พลางหมอบลงกับพื้นและกล่าวว่า “ผู้เดียวที่สามารถทำให้ดอกไม้เบ่งบานได้คือเทพบุปผา วันนี้องค์หญิงจัดงานฉลองร้อยบุปผาท้องฟ้าแจ่มใสและดอกไม้กำลังเบ่งบาน องค์หญิงก็คือเทพที่ลงมาจุติยังโลก ดอกไม้จึงกลับมาบานสะพรั่ง ปีที่หม่อมฉันเกิดพบผนังที่มีรูปของเทพบุปผา นับเป็บุญกุศลยิ่งนัก!”
เหยียนอู๋อวี้เปรียบองค์หญิงใหญ่เสมือนดั่งเทพบุปผา และรอดพ้นจากความผิดที่อู๋เจาหรงยัดเยียดให้อย่างง่ายดาย ทั้งนางยังได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงใหญ่อีกด้วย
เมื่อเห็นทุกคนโค้งคำนับด้วยท่าทีนอบน้อม และเรียกนางว่าเทพบุปผาอย่างพร้อมเพรียงกัน องค์หญิงใหญ่จึงยิ่งรู้สึกมีความสุขมากและยังตกรางวัลให้เหยียนอู๋อวี้อีกด้วย
มีเพียงอู๋เจาหรงที่โกรธจนหน้าเขียวและดูน่าเกลียดมากเป็พิเศษ ทว่านางยังต้องทนฝืนยิ้มออกมา ในขณะที่ดวงตาจับจ้องไปทางซ่งอี้เฉินอยู่เงียบๆ
ซ่งอี้เฉินมองเหยียนอู๋อวี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย คำพูดนั้นเป็การโต้ตอบที่ดีและองค์หญิงใหญ่ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าถูกใช้ประโยชน์ ทว่ายังมีความสุขมากอีกด้วย หากเป็ผู้อื่นคงทำไม่ได้ถึงเพียงนี้
นางเป็สตรีที่ไร้เดียงสาอย่างที่เขาเห็นจริงๆ หรือ?
เขาปฏิเสธความคิดนี้อยู่ในใจ ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ในตำหนักหลังได้นั้นล้วนไม่ธรรมดา เพียงเห็นนางได้รับรางวัลแทนคำขอบคุณจากองค์หญิงใหญ่อย่างมีความสุข ทว่าทันทีที่หันมามองเขารอยยิ้มกลับแข็งกระด้าง อาจจะถือโทษโกรธเคืองเขาก็ว่าได้ เขารู้สึกคล้ายตนเองจะคิดมากเกินไป
นางไม่ได้ไร้เดียงสา เพียงแค่เป็วิธีการที่ชาญฉลาดและแยบยลเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทว่ากลับมีข้อบกพร่องมากมายเมื่ออยู่ตรงหน้าเขา ไม่รู้เหตุใด เขาจึงค่อยๆ ชอบวิธีการที่ชาญฉลาดและแยบยลเช่นนี้ เมื่อเทียบกับความบ้าอำนาจของอู๋เจาหรง และความอ่อนโยนของฮวารั่วซี คล้ายนี่จะเป็แบบที่ทำให้เขารู้สึกหัวใจเต้นแรง
ทันใดนั้นซ่งอี้เฉินพลันนึกขึ้นได้ว่า ตนไม่ได้ไปเยี่ยมนางที่ตำหนักเฟิ่งชัยเป็เวลานานมากแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่นางจะแสดงความไม่พอใจกับเขา เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ คล้ายว่าเขาจะเป็คนยั่วยุทำให้เกิดเื่ทั้งหมดในวันนี้
เมื่อนึกถึงเื่นี้แล้ว ซ่งอี้เฉินก็อดหัวเราะไม่ได้
ฮวารั่วซีเข้ามาดื่มอวยพรกับเขา หลังจากเขาดื่มไปจอกหนึ่ง เขาก็ไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย