“สวยมาก !” โหยวเจียยืนะโดีใจอยู่ข้างสนามด้วยความตื่นเต้น
“ฉันว่านะ” ชวีเสี่ยวปอผู้ทำคะแนนและเซี่ยเจิงเพื่อนร่วมทีมแท็กมือกัน เมื่อสักครู่การร่วมมือกันของทั้งสองคนทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ เข้าขากันขึ้นเรื่อยๆ แล้ว “ให้โหยวเจียไปพักสักแป๊บได้ไหม ทำไมเธอถึงะโได้ครึกครื้นกว่าเด็กสาวกลุ่มนั้นอีกเนี่ย? ”
ทันทีที่พวกเขามาถึงสนามบาสเกตบอลหลังจากเลิกเรียน โหยวเจียก็มาดูการแข่งขันของพวกเขา และทุกครั้งที่ลูกลงห่วงเธอก็จะโดดโลดเต้นพร้อมทั้งะโร้องออกมาด้วยความดีใจ ถ้าดูจากระดับความคึกคักของเธอแล้ว ไม่แน่เมื่อก่อนเธออาจจะเป็เชียร์ลีดเดอร์มืออาชีพมาก่อนก็ได้ใครจะไปรู้
“พวกเราพักแป๊บนึงเถอะ? ” ซือจวิ้นเดินเข้ามาตบไหล่ของเซี่ยเจิงเบาๆ พลางหอบหายใจออกมาด้วย “เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำ พวกนายจะดื่มน้ำอะไรกัน? ”
“พักกันแล้วเหรอ? ” โหยวเจียเห็นพวกเขาเดินออกจากสนามจึงรีบเดินเข้าไปหา พร้อมทั้งยกนิ้วโป้งให้ชวีเสี่ยวปอ “ชวีเสี่ยวปอเธอแอบซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้เองเหรอเนี่ย”
“ธรรมดาครับ” ชวีเสี่ยวปอเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้า ในขณะนั้นเขาหันหน้าไปมองเซี่ยเจิงเข้าพอดี จึงเห็นอีกฝ่ายกำลังขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า “ต๊องสุด”
ชวีเสี่ยวปอยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับใช้นิ้วโป้งขีดไปที่คอแสดงท่าทาง “นายตายแน่” ออกมาแทน
“เมื่อกี้ฉันไปสอดแนมมาแล้ว !” โหยวเจียยืนเอามือไขว้หลังอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ จากนั้นก็เดินไปรอบๆ พวกเขาพลางพูดว่า : “ห้องพวกนั้นดูท่าแล้วไม่ค่อยจะได้เื่เลยสักนิด! ไม่มีสักคนเลยที่ชู๊ตบาสได้แม่นเหมือนชวีเสี่ยวปอ! ”
ชวีเสี่ยวปอเชิดคางขึ้น ท่าทางดูเย้อหยิ่งสุดๆ : “นั่นเพราะว่า ชาติที่แล้วผมเป็ Peashooter” [1]
“แต่ว่าอย่าดีใจจนเหลิงเกินไปล่ะ รักษาระดับนี้เอาไว้ต่อไป” โหยวเจียพยักหน้า “ทุกคนทำได้ดีมาก! เจียงอี้หยาง!”
“ครับ !”
“เดี๋ยวครูเลี้ยงเครื่องดื่มทุกคนเอง” โหยวเจียหยิบแบงก์ร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งใบแล้วส่งให้เขา “ไปเถอะ รบกวนเธอวิ่งไปหน่อยละกันนะ อยากดื่มอะไรเลือกได้เลย ถ้าไม่พอมาขอครูเพิ่ม”
หลังจากที่เจียงอี้หยางซื้อเครื่องดื่มกลับมาแล้ว ในขณะนั้นคนที่อยากกินข้าวก็กำลังกินข้าวอยู่ คนที่อยากกลับไปห้องเรียนก็กลับกันไปบ้างแล้วเช่นกัน ส่วนชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงก็กำลังนั่งเฉยๆ อยู่บนอัฒจันทร์ด้านหนึ่ง นั่นเป็เพราะชวีเสี่ยวปอบอกว่าวันนี้เขาไม่ได้หลับในห้องเรียนเลยทำให้หัวของเขาหนักเกินไป ดังนั้นจึงต้องนั่งเหม่อลอยข้างนอกสักพักเพื่อให้มันได้ผ่อนคลายสักหน่อย ไม่อย่างนั้นมันก็จะหยุดทำงาน แต่ทว่านั่งอยู่คนเดียวมันน่าเบื่อเกินไป เขาจึงดึงเซี่ยเจิงให้มานั่งเป็เพื่อน
ชวีเสี่ยวปอดื่มโค้กเย็นเข้าไปอึกใหญ่ ความรู้สึกเมื่อฟองอากาศแตกในปากอย่างรวดเร็ว มันช่างทำให้เขารู้สึกดีมากจนต้องพูดออกมาว่า : “ฟิน !”
ดวงตะวันในยามสายัณห์ที่มองเห็นได้จากระยะไกลๆ เหลือไว้เพียงส่วนโค้งอันสวยงามเสี้ยวหนึ่ง ลมในตอนเย็นพัดโชยมา และพัดพาเอาหยาดเหงื่อและความเหนื่อยล้าของผู้คนไปอย่างแ่เบา
“นายมองอะไรของนาย? ” ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองเซี่ยเจิงที่นั่งเงียบมาอยู่พักใหญ่
“ขนหน้าแข้งนายยาวมากเลย”
“ฟู่” ชวีเสี่ยวปอมองตามสายตาของเซี่ยเจิงไป วันนี้เขาใสกางเกงบาสเกตบอลขาสั้นที่ค่อนข้างหลวม และขนหน้าแข้งของเขาก็... ยาวขึ้นมาสะเปะสะปะไปทั่วจริงๆ “จุดสนใจของนายนี่แปลกๆ นะ ผู้ชายก็ต้องมีขนหน้าแข่งสิ !” ชวีเสี่ยวปอพูดไปด้วยพลางหัวเราะไปด้วย พร้อมทั้งยื่นขาของเขาไปถูกับขาของเซี่ยเจิง “ให้มันทิ่มนายเลย”
มันไม่รู้สึกเหมือนโดนทิ่ม แต่เซี่ยเจิงที่โดนชวีเสี่ยวปอถูไปถูมาอย่างกวนๆ เช่นนี้มันกลับทำให้รู้สึกจั๊กจี้สุดๆ ทั้งยังรู้สึก... มีความสุขมากด้วย
เซี่ยเจิงรู้สึกเหมือนกับว่ามีสุนัขตัวใหญ่นั่งอยู่ข้างๆ และอ้อนเขาด้วยท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดู แต่คงจะเป็เพราะความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ชวีเสี่ยวปอไม่มีเหมือนสุนัขตัวใหญ่ ซึ่งสิ่งสิ่งนั้นก็คือเขาไม่มีหางที่กระดิกไปมา
“เฮ้อ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอถูอยู่สักพักก็หยุดลง และถอนหายใจออกมา
“เป็อะไร? ” เซี่ยเจิงถาม
“นายก็ดูท่าทางของโหยวเจียสิ” ชวีเสี่ยวปอชี้นิ้วออกไป “ฉันคิดว่าถ้าพวกเราแพ้ เขาคงจะผิดหวังน่าดูเลย”
“ก็จริง” เซี่ยเจิงพยักหน้า “ถึงยังไงเป็เชียร์ลีดเดอร์ก็เหนื่อยไม่น้อยเลยเหมือนกัน”
“ไสหัวไป” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดประโยคนี้จบก็เงียบไปหลายวินาที “ฉันไม่อยากแพ้”
“ทำไม มันกระตุ้นให้นายมีหัวใจที่อ่อนโยนต่อผู้หญิงขึ้นมาแล้วเหรอ” เซี่ยเจิงยื่นมือไปจิ้มที่หน้าผากของชวีเสี่ยวปอ “ถึงกับต้องออกหน้าแทนคุณครูประจำชั้นคนสวยของพวกเราเลย? ”
“จะว่าใช่ก็ใช่ แต่จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอกัดริมฝีปาก พร้อมทั้งแสดงสีหน้าสับสนงุนงงออกมา : “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ถึงยังไงก็เถอะ ฉันแค่รู้สึกว่าอยากเล่นบาสแบบนี้กับทุกคน... จากนั้นก็คว้าที่หนึ่งมาให้ห้องของเรา มันรู้สึกดีมากเลยละ เพราะงั้นฉันเลยไม่อยากแพ้”
“ความรู้สึกที่นึกถึงชื่อเสียงของส่วนรวมงั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงลองคิดดู แล้วจึงหาคำมาสรุปให้ชวีเสี่ยวปอ
“งั้นเหรอ? ” ตัวชวีเสี่ยวปอเองก็สับสนอยู่เหมือนกัน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อก่อนตอนที่เหลาหม่าเป็ครูประจำชั้น เขาก็สร้างปัญหาให้ไม่เว้นแต่ละวัน จนเหลาหม่ามักจะพูดว่า “ชวีเสี่ยวปอเธอนึกถึงชื่อเสียงของส่วนรวมบ้างจะได้ไหม ครูหัวหน้าระดับเอาแต่เรียกห้องเรามันฟังดูดีไหมฮะ” ตอนนั้นชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้าให้พูดจากใจจริงเขารู้สึกว่ามันเป็สิ่งที่มองไม่เห็นไร้ตัวตน ทั้งยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ
“หรือรู้สึกว่า การมุ่งมั่นกับเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งมันสนุกมาก” แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงก็นั่งตัวตรงขึ้นมา น้ำเสียงก็ดูเหมือนจะจริงจังขึ้นมาด้วย
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนเขาจะพูดตรงใจเข้าแล้ว “อ้า ฉันรู้สึกว่าน่าจะแบบนี้มากกว่า”
“ยังมีอีกอย่าง” เซี่ยเจิงขยับเข้าไปด้านข้าง “อาจจะเป็เพราะอะดรีนาลีนหลั่งออกมาเยอะเกินไป แล้วไม่ได้ใช้งาน”
“ตบปากซะ” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นมาตีแขนของเซี่ยเจิงไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กระดกโค้กเข้าปากไปอีกคำ
“เพราะว่านายไม่เคยพยายามมาก่อนไง”
ตอนที่เซี่ยเจิงพูดประโยคนี้ออกมา จู่ๆ ไฟในสนามก็สว่างวาบขึ้นมาทันที ตอนนี้พระอาทิตย์ได้ลับไปทั้งดวงแล้ว ผู้คนในสนามก็น้อยลงกว่าเมื่อครู่ไปมาก แต่ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้เงียบสงบลงเลยสักนิด
“ฉันรู้สึกว่า” ชวีเสี่ยวปอจ้องมองเซี่ยเจิง ภาพของอีกฝ่ายและภาพสีสันภายในค่ำคืนหยุดนิ่งอยู่ในดวงตาของเขา “คำพูดนายมีอะไรแฝงอยู่”
“อ่าฮะ” เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบกลับไป
“ฮะบ้านนายสิ” ชวีเสี่ยวปอฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าเป็เพราะถูกเซี่ยเจิงพูดแทงใจเข้าให้แล้วหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคำพูดเมื่อครู่นี้ของเซี่ยเจิงก็เป็เหมือนลูกธนูที่ยิงเข้าไปยังหัวใจของเขาอย่างแม่นยำโดยที่ไม่พลาดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังวนเวียนอยู่ล้อมรอบ “นายว่า ฉันใกล้จะเข้าวัยทองหรือยังอะ? ”
“อย่างน้อยก็น่าจะต้องอีกสามสิบปีล่ะมั้ง? ” เซี่ยเจิงรู้สึกช็อกกับพฤติกรรมแบบเด็กๆ ที่ชอบหาเหตุผลอื่นมาอ้างและไม่ยอมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาโดยตรงของชวีเสี่ยวปอนี้เข้าให้แล้ว
“ให้ตายเถอะ ฉันนี่พาลสุดๆ เลย” ชวีเสี่ยวปอทุบลงไปที่ขาของเซี่ยเจิงหนึ่งครั้ง เลียนแบบน้ำเสียงของพระเอกในละครน้ำเน่าที่โวยวายอย่างรู้สึกรังเกียจ : “ทำไมฉันถึงได้กลายเป็ไอ้ติ๊งต๊องที่พาลไปเรื่อยอย่างนี้นะ !”
“คุณต๊องท่านนี้ขอถามอะไรหน่อยสิ ที่นายพาลมาทุบขาคนอื่นแบบนี้มันเป็ความเคยชินอะไรของนายกันฮะ? !” เซี่ยเจิงรู้สึกช็อกขึ้นมาอีกครั้ง
“นายช่วยตอบคำถามไขข้อสงสัยให้ฉันเร็วเข้า” สีหน้าของเซี่ยเจิงแสดงออกมาให้เห็นชัดว่า “ฉันรู้หมดทุกอย่าง ฉันแค่ไม่อยากพูด” มันจึงทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกอึดอัดจนคันหยิบๆ ในหัวใจ
“ก็ได้ ที่จริงแล้วมันง่ายมาก” เซี่ยเจิงจับมือของชวีเสี่ยวปอที่วางอยู่บนต้นขาของตัวเองออก “คิดดูให้ดีๆ แล้วก็ตอบคำถามนี้มา”
“นายอยากจะออกจากชีวิตที่เป็อยู่ตอนนี้ไหม? ”
“ออกจาก? ชีวิต? ” ชวีเสี่ยวปอพูดคำสำคัญสองคำนี้ออกมา สายตาเต็มไปด้วยความสับสน “นายสื่อถึงอะไร เอาให้มันชัดเจนหน่อย ฉันหมายถึง... ”
“สภาพแวดล้อม ครอบครัว แล้วก็สถานะของนาย” เซี่ยเจิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา พร้อมทั้งพูดเสียงเบาลง “นายเคยคิดบ้างไหมว่าการออกจากสิ่งที่เป็อยู่ในตอนนี้ นั่นถึงจะเรียกว่าชีวิตของนายเอง? ”
หลังจากที่เซี่ยเจิงพูดจบ ท่าทีตอบกลับแรกของชวีเสี่ยวปอก็คือ
ให้ตายเถอะ
ลึกซึ้ง
.............................
เชิงอรรถ
[1] Peashooter เป็ตัวละครหนึ่งในเกม Plants vs. Zombies เปรียบได้กับเป็หน่วยรบแนวหน้า ซึ่งในตัวของมันจะมีะุเพื่อเอาไว้ยิงซอมบี้