“เ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอไม่ได้ปิดบัง
ถึงอย่างไรก็เป็ผู้ใหญ่กันแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดทำอะไรโง่เขลา ในเมื่อหมอหลวงฉินเชิญนางมาสนทนาที่สำนักแพทย์หลวง เกรงว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วเจ็ดหรือแปดส่วน
“เช่นนั้นชายชราขอถามสักหน่อยจะได้หรือไม่ว่าคุณหนูไป๋เรียนรู้วิชาแพทย์มาจากที่ใดกัน?”
“จากสมุดบันทึกที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้”
เหตุผลนี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกกังขาแต่อย่างใด เพราะแม้แต่หมอหลวงฉินเองก็เคยชินกับการจดบันทึกเช่นเดียวกัน
“ที่แท้เป็เช่นนี้เอง เจียงฮูหยินได้ให้กำเนิดบุตรสาวที่ดียิ่งนัก”
ความรู้สึกดีๆ ที่ไป๋เซี่ยเหอมีต่อหมอหลวงฉินพุ่งพรวดขึ้นทันทีด้วยถ้อยคำนี้
ในยุคโบราณ หลังจากสตรีออกเรือนไปแล้วจะถูกเรียกด้วยแซ่ของสามี เรียกได้ว่าสูญเสียความเป็ตนเองไป
ทว่าหมอหลวงฉินกลับเรียกมารดาของนางว่าเจียงฮูหยินเพื่อแสดงถึงความเคารพ
ที่เป็เช่นนั้นเพราะในสายตาของหมอหลวงฉิน ความสำเร็จของเจียงเยว่เสียนไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋เสียนอันเลย
คนหนึ่งปกป้องบ้านเมืองอยู่ในสนามรบ ส่วนอีกคนช่วยเหลือประชาชนจากโรคภัย
“เช่นนั้นคุณหนูไป๋พอจะบอกตำรับยาให้กับข้าได้หรือไม่?” เขาสงสัยจริงๆ ว่าโรคมีบุตรยากแต่กำเนิดของฮองเฮานั้นมีวิธีรักษาอย่างไร
“ต้องขออภัยด้วย”
ไป๋เซี่ยเหอไม่ได้จงใจที่จะไม่บอก ทว่าโลหิตจิ้งจอกหิมะนั้นแม้จะมีอยู่ ทว่าหาได้ยากยิ่ง เกรงว่าเมื่อแพร่งพรายออกไปแล้ว สกุลไป๋จะต้องตรวจสอบเป็แน่
สตรีนางหนึ่งที่ปกติไม่ออกไปไหน เหตุใดถึงได้มีโลหิตจิ้งจอกหิมะอันเป็ของดีที่หายากเช่นนี้ได้?
“ไม่เป็ไรๆ”
แพทย์ก็เหมือนกับพ่อครัวแม่ครัวตรงที่มีสูตรอาหารจานเด็ดเป็ของตนเอง อันเป็สิ่งที่ล้วนแล้วแต่ไม่อาจแพร่งพรายสู่ภายนอก
“เช่นนั้นท่านรับศิษย์หรือไม่?”
ในเมื่อไม่อาจแพร่งพรายให้คนนอก เช่นนั้นเขาก็ขอเป็ลูกศิษย์กิตติมศักดิ์ก็แล้วกัน
ไป๋เซี่ยเหอร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก นางตระหนักแล้วว่าหมอหลวงฉินนั้นหลงใหลในวิชาแพทย์ยิ่งนัก
เป็อาจารย์หรือ?
นั่นจะไม่ทำให้ลูกศิษย์เสียเปรียบหรือไร?
หากนางไม่ได้มีข้อได้เปรียบตรงที่เป็ผู้โลหิตจิ้งจอกหิมะ แมวสามขา[1]อย่างนางก็ไม่มีอะไรโดดเด่น
“ข้ามิกล้าเป็อาจารย์หรอก แต่ข้ามองว่าเราสามารถสนทนากันเพื่อแลกเปลี่ยนวิชาแพทย์ได้”
“จริงหรือ?”
พูดตามตรง หากจะให้เขาที่อายุปูนนี้คารวะสาวน้อยผู้หนึ่งเป็อาจารย์ ก็ออกจะเสียหน้าอยู่บ้างจริงๆ
ดังนั้น ข้อเสนอนี้ของไป๋เซี่ยเหอจึงย่อมได้รับการสนับสนุนจากเขา
“จริงเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอลอบยินดีเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วนางก็รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ใดกันแน่ที่ได้ประโยชน์
ั์ตาจิ้งจอกคู่หนึ่งเผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ราวกับจิ้งจอกน้อยที่เ้าเล่ห์ตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
วังหลวงกว้างใหญ่ การเดินทางจากสำนักแพทย์หลวงมาถึงหน้าประตูวังใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม
ไป๋เซี่ยเหอพาฝูเอ๋อร์ออกเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย
ฝูเอ๋อร์ขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย ก่อนถามเสียงเบา “คุณหนู สมุดบันทึกที่ฮูหยินทิ้งไว้ให้นี่สุดยอดจริงๆ เ้าค่ะ แม้แต่หมอหลวงฉินยังเลื่อมใสฮูหยินเลยนะเ้าคะ”
สมุดบันทึกที่มีตำรับยาในการรักษาฮองเฮานั้นถือเป็เื่เท็จ ทว่าหมอหลวงฉินที่เผยความเลื่อมใสออกมาทางแววตาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวย่อมเป็เื่จริง
“ฝูเอ๋อร์ มารดาของข้าเป็คนเช่นไรหรือ?”
“ฮูหยินคือพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิต ทั้งงดงามและอ่อนโยน ฮูหยินเป็หมอที่ช่วยเหลือประชาชน เมื่อพบคนที่ฐานะยากจนก็ควักเงินของตนเองเพื่อรักษาให้ กระทั่งตอนนี้ยังมีคนมากมายเดินทางมาสักการะป้ายชะตาของฮูหยิน เพื่ออธิษฐานขอพรให้ฮูหยินเ้าค่ะ”
เสียงของฝูเอ๋อร์แ่เบาลงเรื่อยๆ เป็พระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตแล้วอย่างไร? อธิษฐานขอพรแล้วอย่างไร? ถึงอย่างไรตอนนี้ฮูหยินก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงอยู่ดี
บางทีนางก็อยากจะถามเง็กเซียนฮ่องเต้จริงๆ ว่าเหตุใดถึงได้ไร้ความยุติธรรมเช่นนี้
แม้ว่าไป๋เซี่ยเหอจะไม่มีความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกกับเจียงเยว่เสียน ทว่าก็ยังรู้สึกปวดใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ สตรีที่มีเมตตาและอ่อนโยนไม่ควรมีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้เลย
นางลูบศีรษะของฝูเอ๋อร์ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วางใจเถิด ข้าต้องหาวิธีช่วยให้มารดาของข้าฟื้นได้แน่ จากนั้นเราสามคนจะออกมาอยู่ข้างนอกและซื้อเรือนสักหลัง ใช้ชีวิตกันอย่างอิสระเสรี”
“คุณหนู เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าสตรีนางนั้นดูคุ้นตาเล็กน้อยเ้าคะ?” ฝูเอ๋อร์หรี่ตาลงและพยายามเพ่งมอง
ไป๋เซี่ยเหอมองตามสายตาของนางไป
เฮอะ ไม่ใช่แค่คุ้นตาเท่านั้น
“ฝูเอ๋อร์ เ้าไปรอข้าที่หน้าประตูวังก่อนนะ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีบางเื่ที่ต้องพูดคุยกับฮองเฮา”
เื่บางอย่างกำลังจะเผยออกมาให้เห็น
ฝูเอ๋อร์เป็กังวลเล็กน้อย “ฝูเอ๋อร์ไปกับคุณหนูไม่ได้หรือเ้าคะ?”
ไป๋เซี่ยเหอส่ายศีรษะพลางผลักนางเบาๆ “เ้าขึ้นรถม้าไปเตรียมของกินไว้ให้ข้าเสียก่อน ข้ารู้สึกหิวนิดหน่อยแล้ว เ้าวางใจเถิด ข้าจะกลับมาโดยเร็ว ไม่เกิดเื่ขึ้นแน่นอน”
ฝูเอ๋อร์พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ นางรู้สึกกังวลเป็อย่างยิ่ง
เมื่อฝูเอ๋อร์จากไป ไป๋เซี่ยเหอก็พยายามหลบเลี่ยงองครักษ์ที่ลาดตระเวน นางแนบตัวเข้ากับกำแพง ติดตามเงาร่างที่คุ้นเคยนั้นจนกระทั่งมาถึงประตูของตำหนักแห่งหนึ่ง
สตรีผู้นั้นเคาะประตูอย่างแ่เบา ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกจากด้านใน นางมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ก็เดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ
ไป๋เซี่ยเหอเดินออกมาจากบริเวณริมกำแพงพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
ตอนนี้ไป๋เซี่ยเหออยู่ที่ประตูด้านหลังของวัง นางจึงทำได้เพียงคาดเดาอย่างคร่าวๆ ว่านี่น่าจะเป็ตำหนักขององค์ชายหรือองค์หญิงสักองค์
ทว่าไม่ว่าจะเป็ตำหนักของผู้ใด เหตุใดสตรีผู้นั้นถึงต้องแต่งกายเป็นางกำนัลแล้วลอบเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ ด้วย?
ไป๋เซี่ยเหอปีนต้นไม้ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นก็คลานไปข้างหน้าจนตัวแทบจะแนบไปกับหลังคา นางเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
สตรีผู้นั้นเข้าไปในตำหนักปีกข้าง
ไป๋เซี่ยเหอคลานไปตามหลังคา นางอ้อมไปยังด้านหลังของตำหนักปีกข้าง จากนั้นก็กระโจนลงพื้นแล้วแนบร่างของตนเองเข้ากับกำแพง ก่อนจะหลบอยู่ด้านหลังก้อนหินด้วยท่าทางแปลกประหลาด
หากไม่เดินเข้ามาพิจารณาอย่างละเอียด ก็ไม่มีทางสังเกตเห็นว่านางกำลังหลบอยู่ด้านหลังก้อนหิน
การซ่อนตัวและการสะกดรอยคือหนึ่งในทักษะที่จำเป็ของทหารรับจ้าง
หน้าต่างที่อยู่ด้านหลังตำหนักปีกข้างนั้นแง้มออกครึ่งหนึ่ง เนื่องจากบริเวณนี้เปลี่ยวร้าง จึงไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้ ทำให้คนข้างในไม่ทันระวังว่าหน้าต่างบานนี้เปิดแง้มอยู่
สตรีที่อยู่ในตำหนักปีกข้างสวมชุดกระโปรงสีขาวแกมสีเขียวอ่อนเหมือนนางกำนัลทั่วไป ส่วนเส้นผมเองก็มัดเป็มวยเหมือนนางกำนัลทั่วไปเช่นเดียวกัน มีปิ่นปักผมสีเงินเล่มหนึ่งอยู่บนศีรษะ
หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกัน จะเห็นเพียงว่าสตรีผู้นี้เป็นางกำนัลธรรมดาๆ เท่านั้น
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ นิ้วชี้ทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดกันด้วยความเคร่งเครียด นางก้มศีรษะและกัดฟันแน่น
ไม่นานนางกำนัลผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยชาและของว่าง ก่อนจะเอ่ยด้วยความนอบน้อม “คุณหนูรองสกุลไป๋ ไท่จื่อจะเสด็จมาในไม่ช้า ท่านโปรดรอสักครู่”
“เข้าใจแล้ว”
ไป๋หว่านหนิงรับถ้วยชามาก่อนจะยกขึ้นจิบเบาๆ จิตใจของนางไม่สงบ ทำให้ไม่อาจลิ้มรสของมันได้ จากนั้นนางก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก นางจึงรีบหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมา ก่อนจะเทของที่อยู่ด้านในถุงลงในกระถางธูป
จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก
ไป๋หว่านหนิงรีบลุกขึ้นและเดินไปต้อนรับทันที “พี่เชิน”
สีหน้าของฮั่วิเชินดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูเอื่อยเฉื่อย ทว่าแฝงไว้ด้วยความเ็าและห่างเหิน “ข้าเคยบอกเ้าแล้วว่าหากมีเื่ก็ให้คนมาแจ้ง ข้าจะหาเวลาไปพบเ้าเอง เหตุใดเ้าถึงมาที่นี่?”
เมื่อสังเกตเห็นว่าฮั่วิเชินมีโทสะ ไป๋หว่านหนิงก็มีสีหน้าขมขื่น นางรู้ดีว่าการกระทำของตนในวันนี้ต้องทำให้อีกฝ่ายมีโทสะอย่างแน่นอน ทว่านางอับจนหนทางเสียแล้ว!
“พี่เชิน ข้าคิดถึงท่านเ้าค่ะ”
ใบหน้าเล็กของไป๋หว่านหนิงซีดเผือดและจวนจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ ทำให้นางดูบอบบางขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน ทั้งยังทำให้ผู้คนรู้สึกปวดใจเมื่อเห็นใบหน้านี้
ท้ายที่สุดแล้วฮั่วิเชินก็ยังคงใจอ่อน เขาพยายามระงับโทสะ “เ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้อันตรายเพียงใด?”
หยดน้ำตาสองหยดร่วงลงมาในเวลาที่เหมาะสม ไป๋หว่านหนิงพุ่งเข้าไปกอดเอวของฮั่วิเชิน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจและอาลัยอาวรณ์ “ข้ารู้ ข้ารู้เ้าค่ะ แต่ว่าพี่เชิน ข้าเสียใจจริงๆ ตอนนี้หนิงเอ๋อร์เหลือเพียงท่านเท่านั้นแล้วเ้าค่ะ”
------------------------
[1] แมวสามขา เป็การอุปมา หมายถึง ไม่มีความสามารถ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้