ิหยวนในชาติก่อนเป็คนเฉลียวฉลาดและร่าเริง แต่ด้วยภาระอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับความกดดันอันหนักอึ้งมันทำให้เขาต้องกลายเป็คนดื้อรั้น ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดง่ายๆ แม้แต่ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างเสด็จพ่อ เขายังกล้าโต้แย้ง เสด็จพ่อของเขาโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ด่าเขาว่า “ไอ้เด็กหัวแข็ง” เขามีนิสัยดื้อรั้นเหมือนกับท่านน้าของเขาไม่มีผิด
เสียงสายลมพัดผ่านต้นไผ่สูงเรียงราย ภาพพระราชวังเว่ยหยางหวนคืนมาอีกครั้ง ยามนั้นเว่ยชิงพึ่งกลับมาจากการลาดตระเวนดินแดนทางเหนือ และได้พาเว่ยคั่งเข้าวังเพื่อมาพบหน้าพี่สาวและหลานชาย
ด้านเว่ยจื่อฟู่ได้ข่าวน้องชายจะมาหา ก็สั่งคนเคี่ยวน้ำแกงเนื้อแกะ อุ่นสุราชงชารอ “น้องชิงกินผักเยอะๆ หน่อย อยู่ทะเลทรายตั้งนานยังกินเนื้อแกะไม่พออีกหรือ? เ้าลองกินอันนี้สิ ลองดูว่าพอจะกินได้หรือไม่?”
เว่ยชิงขะมักเขม้นอยู่กับการกิน เคี้ยวเกี๊ยวผักเต็มปากพร้อมขมวดคิ้ว “ไม่เคยกินมาก่อน มันคือสิ่งใด?”
“มันคือหญ้าที่เ้าเอามานั่นแหละ”
“เฮ้ย! นั่นมันอาหารม้านะ” เว่ยชิงใรีบเงยหน้ามองพี่สาว
เว่ยจื่อฟู่เพียงยกยิ้มอย่างแ่เบา ยามนี้นางอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังงดงามมาก “อาหารม้าก็ใช่ว่าคนจะกินไม่ได้ ข้าให้นางในห้องเครื่องเอามาลองทำอาหารดู ในวังมีหญ้าพวกนี้ออกเกลื่อนกลาด ยามนี้ของสดหาได้ยาก ฉะนั้นเ้าอย่าได้เอาเื่นี้ไปทูลฝ่าา เดี๋ยวเขาจะหาว่าข้าปล่อยให้ลูกชายสุดที่รักของเขากินหญ้า”
เว่ยชิงหัวเราะลั่น เหลือบมองหลิวจวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ แถมยังแอบมองเขาเป็ระยะๆ
“วันนี้จวี้เอ๋อร์เป็อันใดไป?”
ั้แ่เล็กจนโต สำหรับหลิวจวี้แล้ว ท่านน้าของเขาเป็คนที่อ่อนโยนและใจดีที่สุดในโลก รับฟังทุกความคิดและความฝันของเขา แม้เหล่าราชครูจะเฝ้าบอกเขาว่าท่านน้าเป็วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ พิชิตดินแดนน้อยใหญ่ นับั้แ่ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นไม่เคยมีผู้ใดปราบปรามพวกซยงหนูได้ แต่ท่านน้าของเขาทำได้ และเป็แม่ทัพผู้ไร้พ่าย ไม่เพียงแต่ทวงคืนดินแดนที่ถูกชาวหูยึดไป แต่ยังสร้างเมืองตั้งรกรากให้ชาวฮั่นอีกด้วย
ท่านน้าเป็คนใจดีอ่อนโยน ยามใดที่เสด็จแม่ของเขาบ่นจู้จี้จุกจิก ท่านน้าก็จะเอาแต่พยักหน้าพลางตอบว่าได้ๆ คำพูดของเสด็จแม่มันน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ?
“ท่านน้า ท่านสู้รบเก่งใช่หรือไม่?”
คนเป็น้ามองหลานด้วยความประหลาดใจ ส่วนเว่ยจื่อฟู่ก็ไม่คิดว่าบุตรชายจะถามคำถามนี้จึงลองถามตามน้ำไป “เ้าพอมีเวลาว่างสอนเขาฟันดาบ ขี่ม้า ยิงธนูอะไรพวกนี้หรือไม่? ฝ่าาคิดว่าเขาใจดีเกินไป แม้แต่กระต่ายเขายังไม่กล้าฆ่าด้วยซ้ำ”
แต่เว่ยชิงไม่เห็นด้วย “ฆ่ากระต่ายแล้วจะกล้าหาญขึ้นหรือ? หรือต่อให้เป็คนที่ฆ่ากระต่ายได้อย่างโเี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะกล้าหาญ ท่านไม่คิดว่าเด็กที่มีนิสัยเช่นนั้นสักวันอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือ? คนกล้าหาญคือคนที่อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ และไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...”
“อีกทั้งการใจดีนั้นไม่ใช่เื่ผิด ต่อไปเขาต้องปกครองบ้านเมืองดูแลทุกข์สุขของราษฎร ไม่ได้โตขึ้นไปเป็แม่ทัพเสียหน่อย บางทีถึงตอนนั้นบ้านเมืองสงบสุข หมดยุคา พวกเราอาจไม่ต้องสู้รบกันอีกต่อไปก็ได้ ทิ้งม้าไว้ที่เขาทางใต้ เก็บเกราะเก็บดาบไว้ในคลัง… “
ท่านน้าหมายความว่าบ้านเมืองในวันข้างหน้าจะต้องสงบสุขร่มเย็นไร้ซึ่งาชัดๆ ท่านน้าของเขาช่างห้าวหาญชาญชัย กล้าหาญเด็ดเดี่ยวเกินจะมีผู้ใดเปรียบ ยิ่งทำให้คนเป็หลานปลาบปลื้มชื่นชม
ตอนนั้นเขายังเป็เพียงเด็กไม่ประสา ต่อมาจึงได้เข้าใจว่าสิ่งใดคือปกป้องดินแดน ขยายเขตแดน ทลายเขาฉีเหลียน ปราบปรามชาวหู ชายผู้หนึ่งแกว่งดาบควบม้าหวังเพียงใต้หล้าไร้ซึ่งา นี่จะเป็ความเชื่อมั่นของผู้ใดได้อีก
หากมิใช่แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพฮั่น ผู้อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
“วันหน้าน้องจวี้เอ๋อร์จะเป็ฝ่าา ข้าจะเป็แม่ทัพใหญ่ปกป้องน้องจวี้เอ๋อร์เอง!” เว่ยคั่งยืดอกอย่างมั่นใจ
“ไร้สาระ เื่นี้ขึ้นอยู่กับเ้าที่ไหนกัน” เว่ยชิงดุบุตรชาย แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยแก้ไขให้ถูก “ต้องเรียกว่าองค์รัชทายาท”
“อืม! น้องชายองค์รัชทายาท!”
“เช่นนั้นข้าจะส่งท่านไปโจมตีเขาฉีเหลียน!”
“น้อมรับบัญชา!”
“พวกเ้าสองคนนี่มัน...”
เว่ยจื่อฟู่เห็นเว่ยชิงจะอบรมเด็กๆ จึงรีบเปลี่ยนเื่พร้อมคีบอาหารให้สองพ่อลูก “คั่งเอ๋อร์เป็คนมุ่งมั่น ง้างสายธนูได้ครึ่งทางั้แ่ยังเด็ก ทั้งยังยิงธนูได้แม่นยำมาก ลุงเขยของเ้ายังบอกอีกว่าจะตกรางวัลให้เ้า”
“ไม่ได้ๆ ฝ่าาคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แค่ฝ่าาพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เ้าเด็กสามคนนั้น ผู้อื่นก็จับตามองเรามากพอแล้ว” เว่ยชิงเริ่มเวียนหัวเพราะเด็กทั้งสองวิ่งไล่ต่อสู้กันวนรอบตัวเขา “คราวหน้าข้าจะทำดาบไม้มาให้พวกเขาเล่น ออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง”
ผ่านไปนานมากแล้วสินะ...
ิหยวนตาร้อนผ่าว นานแล้วที่เขาไม่ได้นึกถึงเื่ราวในอดีต คนกล้าหาญคือคนที่อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ และไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า คิดได้เช่นนั้นก็พลันหมุนข้อมือหันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
ตอบโต้กันอยู่สองสามรอบ ิหยวนรู้ดีว่าถึงอย่างไรโหวอิงก็มีฝีมือสูงส่งกว่าตนมาก แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆถึงแม้จะถูกลำไม้ไผ่ฟาดที่ข้อมือถึงสามครั้ง จนข้อมือเริ่มบวมหนัก แต่ิหยวนก็ยังไม่ยอมแพ้ จับลำไม้ไผ่แน่น โจมตีอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
จนสุดท้ายแม้แต่โหวอิงที่เป็ฝ่ายสั่งสอนก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่คนเป็ศิษย์กลับกวัดแกว่งลำไม้ไผ่ในมือไม่มีลดละ สุดท้ายเป็โหวอิงที่ทนไม่ไหว คว้าข้อมือเขาไว้ ยกขึ้นมาดูแผล ก่อนจะคว้าลำไม้ไผ่ในมือศิษย์มาโยนทิ้ง
“ข้าสั่งสอนเ้า แต่เ้าคับข้องใจหรือ?” โหวอิงขมวดคิ้ว
ิหยวนใ “ศิษย์ไม่กล้า”
“เช่นนั้นเ้าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา!”
“ศิษย์เปล่า” ิหยวนได้สติ รู้สึกได้ถึงอาการปวดเมื่อย ยกมือคารวะอีกฝ่าย “เพราะเป็การประลองดาบ ศิษย์จึงไม่สามารถทิ้งดาบเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ได้ขอรับ”
โหวอิงยืนนิ่งจ้องเขาอยู่นาน ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ แถมยังเอ่ยชื่อสมุนไพรออกมายาวเหยียด ล้วนแต่เป็ชื่อที่ฟังยากไม่คุ้นหู “หวงป้อ โกฐเขมา ใบเฉาก๊วย ผิวส้มแห้ง หญ้าขนหมู เมล็ดผักกาด สาหร่ายไห่ไต้ หนามจ้าวเจี่ยว เมล็ดไป๋เจี้ยจื่อ โหราน้ำเต้า ไส้เดือนดิน และโหราข้าวโพดบดให้ละเอียดแล้วทาบริเวณฟกช้ำ”
ิหยวนเงยหน้ามองเขา แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มให้พร้อมเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็กังวล แค่าแภายนอก ขอบพระคุณท่านอาจารย์ขอรับ”
“ขอบคุณข้าด้วยเหตุใด?”
“ศิษย์รู้ว่าที่ท่านอาจารย์สั่งสอน ก็เพราะหวังดีกับศิษย์”
โหวอิงกล่าวตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “อืม ตำราที่เ้ายืมวันนี้...”
“ศิษย์สำนึกผิดแล้ว! ศิษย์ขอตัว!”
ิหยวนตกตะลึงอ้าปากค้าง รีบเอ่ยลาเสียงดัง ก่อนจะรีบร้อนลนลานวิ่งหนีไปพร้อมกับห่อใบบัว
……
ิหยวนเห็นว่ายังพอมีเวลากว่าฟ้าจะมืด จึงกอดห่อตำราเดินมุ่งหน้าไปตลาดที่อยู่ห่างออกไปอีกสี่ห้าลี้ จับดูเงินที่พึ่งได้มาเพิ่ม พลางคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สิ่งที่จำเป็ต้องใช้ด่วนก็คือป่านดิบ ข้าวสาร แล้วก็ไม้ขีดไฟ
“ท่านลุงจาง ชั่งเนื้อหมูให้ข้าสักสามเหลี่ยง [1] ได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้เลย”
ตอนที่ิหยวนเห็นเขากำลังจะวางมีด เขาก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ท่านลุงๆ เอาแค่สองเหลี่ยง! สองเหลี่ยงขอรับ!”
“ได้” คนจนมีเกลื่อนกลาด เื่แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเสียจนคนขายเนื้อชินแล้ว ส่วนใหญ่จะซื้อเนื้อกันแค่ครั้งละหนึ่งหรือสองเหลี่ยงเป็ปกติ
ิหยวนหยิบเนื้อที่ห่อด้วยกระดาษฟางขึ้นมาแล้วกล่าวขอบคุณ เขาคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจลดเนื้อเพื่อเอาเงินไปซื้อน้ำตาลเคี่ยวราคาหนึ่งเหวินให้น้องๆ
ครอบครัวของิหยวนอาศัยอยู่นอกสุดของหมู่บ้าน ในอดีตสถานที่แห่งนี้มีคนอาศัยอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จึงเป็พื้นที่รกร้าง เต็มไปด้วยูเาและป่าไม้ แต่ต่อมาได้เกิดา ชาวจงหยวนจึงพาครอบครัวย้ายข้ามแม่น้ำหวงมาตั้งรกรากทางใต้ หลายปีผ่านไป คนยากจนลงเรื่อยๆ คนที่พึ่งอพยพมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนจึงมีฐานะต่ำต้อยและยากจนในที่สุด ไม่มีแม้อาหาร มีชีวิตรอดได้ก็เพราะข้าววัด
พวกเขาถูกผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนเรียกว่าเป่ยเหล่า ถูกดูถูกเหยียดหยามสารพัด แต่ิหยวนก็หาได้สนใจ ตั้งใจทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ไม่คิดลักเล็กขโมยน้อยหรือปล้นคนอื่นเหมือนคนบางประเภท ดูสิว่าผู้ใดกันแน่ที่น่ารังเกียจกว่ากัน
เพียงแต่...
ิหยวนมีพี่น้องรวมตัวเขาด้วยเป็ห้าคน มีพี่สาวสองคน พี่สาวคนโตเพิ่งออกเรือนไปเมื่อปีที่แล้ว พี่สาวคนรองจึงต้องเป็คนดูแลงานบ้านต่อ ท่านพ่อท่านแม่อยากให้นางอยู่ช่วยงานอีกสักสองปีก่อน ิหยวนคือลูกชายคนโต เป็คนเดียวในครอบครัวและคนเดียวในหมู่บ้านที่อ่านออกเขียนได้ คนในบ้านจึงมองว่าเขาเป็ผู้ใหญ่แล้ว เื่น้อยใหญ่ในบ้านจะต้องถามความเห็นจากเขาเสมอ แต่สองปีมานี้ส่วนใหญ่ท่านพ่อท่านแม่จะมอบให้เขาเป็คนตัดสินใจ ส่วนน้องชายและน้องสาวทั้งคู่ยังเด็กมาก คนหนึ่งสี่ขวบ อีกคนหนึ่งห้าขวบ ยังเด็กเกินกว่าจะรู้เื่ใดๆ
เขาคำนวณค่าไม่ขีดไฟและข้าวสารในใจอย่างรอบคอบแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ และถือน้ำตาลเคี่ยวในมือให้แน่นขึ้น การใช้ชีวิตในครอบครัวยากจนนั้นไม่ง่ายเลย ช่างต่างกับสหายร่วมสำนักที่มักเล่นเดิมพันเลขคี่เลขคู่ โปรยเงินจำนวนมากทิ้งโดยไม่นับด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทายาทสายตรงของตระกูลิ ลูกปัดบนพู่ห้อยพัดของคนผู้นั้นราคาแพงหูฉี่ จำนวนเงินนั้นเลี้ยงดูทั้งครอบครัวเขาได้หลายปี ยิ่งคิดิหยวนก็ยิ่งสับเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็วิ่งในที่สุด
มาถึงบ้านยังไม่ทันได้ก้าวขาข้ามธรณีประตู นกน้อยสองตัวก็บินโฉบมาหาเขา “ท่านพี่!”
ิหยวนหอบข้าวของมาเต็มไม้เต็มมือ แต่ก็มิวายถูกนกน้อยทั้งสองโถมตัวเข้ามาในอ้อมแขน อาการปวดเมื่อยเนื้อตัวและอาการาเ็จากลำไม้ไผ่ฉายชัดทันที โชคดีที่พี่หญิงรองออกมาช่วยถือของพร้อมใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี “ท่านแม่เพิ่งบอกว่า เ้าออมเงินอีกไม่กี่วันก็จะซื้อป่านดิบได้แล้ว งั้นเ้าเอาเงินมาจากที่ใด?”
“ดูสินี่คืออะไร?” ิหยวนไม่ตอบพี่สาว แต่กอดน้องชายน้องสาวไว้พลางหยิบน้ำตาลเคี่ยวออกมา
“โอ้โห! ท่านพี่” นกสองตัวขันร้องดีใจ กระพือปีกบินวนรอบตัวเขา
“ท่านพ่อท่านแม่กลับมาแล้วหรือ?” ิหยวนปล่อยให้น้องๆ ไปวิ่งเล่นต่อ แล้วหันไปรับน้ำที่พี่รองส่งมาให้ดื่ม
“ท่านพ่อเลิกงานแล้ว ตอนนี้อยู่ในบ้าน ส่วนท่านแม่กลับมาั้แ่ตอนบ่าย ป้าข้างบ้านเรียกไปช่วยงานศพ” พี่หญิงรองรีบรายงานเขาทันที “เ้าซื้อเนื้อกลับมาด้วยหรือ มีน้ำมันเหลืออยู่พอดีเลย ข้าก็กังวลอยู่ว่าเรากินผักป่ามาหลายวันแล้วอาจจะเบื่อ เอ๊ะ! วันนี้เ้าเอาตะกร้าไปเก็บหญ้ามิใช่หรือ แล้วตะกร้าเล่า? หญ้าเล่า?”
“แย่แล้ว! ข้าลืม!” จู่ๆ ิหยวนก็นึกขึ้นได้ตอนที่นางพูดจบ จึงตบต้นขาพร้อมเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น “ท่านอาจารย์ทดสอบกะทันหัน ข้าถูกสหายลากตัวกลับไปด้วยความเร่งรีบ ก็เลยลืมเื่นี้ไปเลย”
“ไหนเ้าชอบโม้ว่าเป็คนรอบคอบ ช่างเถิด พรุ่งนี้ค่อยไปหา” พี่หญิงรองไม่มีทางเลือก ได้แต่ปัดดินปัดฝุ่นบนตัวเขา สำรวจดูเสื้อผ้าที่ถูกปะแล้วปะอีก ซึ่งเป็ตัวที่สะอาดและเรียบร้อยที่สุดเท่าที่มีอยู่ “เหตุใดถึงมีรูเพิ่มอีกแล้ว นี่เ้าไปเรียนหรือไปรบ? ถอดออกเร็ว ข้าจะซ่อมให้เสร็จก่อนที่ฟ้าจะมืดไปเสียก่อน ไม่กี่วันก่อนพี่หญิงใหญ่ส่งผ้ามาให้ นางบอกว่าให้ตัดชุดใหม่ให้เ้าใส่ไปเรียน อย่าปล่อยให้คนอื่นหัวเราะเยาะ เอ้า รีบเข้าไปเปลี่ยนเร็ว”
ิหยวนถูกพี่สาวผลักเข้าไปในบ้าน บ้านที่มีเพียงเสาไม่กี่ต้น กำแพงทำจากดินเหนียว และมุงด้วยฟาง ลมแรงพัดมาแต่ละที พวกเขาต้องวิ่งเก็บหลังคาไปทั่วถนน หากวันไหนฝนตกหนัก หลังคาก็จะรั่ว ถึงจะลำบากหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีที่ให้ซุกหัวนอน
“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
“อืม” ิเฉียวก้มหน้าก้มตาทำงานไม้อยู่ตรงมุมทำงานในบ้าน ส่งเสียงตอบรับสั้นๆ ก็เงียบไป เขาเป็คนโง่เขลา แต่ซื่อตรง ทำงานตลอดเวลา ไม่ค่อยมีปากมีเสียง เป็เหมือนเงาลอยไปลอยมา ั้แ่หนีลงมาทางใต้ สมบัติเก่าก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ยามนี้จึงยากจนข้นแค้น แบกเจ็ดชีวิตไว้บนบ่า ภาระหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก ก่อนหนีมาทางใต้เขาทำงานเป็ช่างไม้ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่งทั้งหมดในบ้านล้วนเป็ฝีมือเขา
ิหยวนชินกับนิสัยพูดน้อยของท่านพ่อแล้ว จึงไม่ได้พูดคุยอันใดให้มากความ เดินไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกมาหาพี่สาว “เหมาะหรือไม่?”
“เหมาะมาก หยวนเก้อเอ๋อร์ของเราหล่อมาก” พี่หญิงรองหัวเราะร่า ในมือยังถือขันน้ำกับผ้าหนึ่งผืนเพื่อมาเช็ดหน้าให้น้องชาย นางถึงได้สังเกตชัดๆ ว่าน้องชายของนางหล่อเหลาเพียงใด รู้สึกราวกับทั้งห้องสว่างไสวเพราะแสงเปล่งประกายจากใบหน้าิหยวน
ไม่ใช่ว่านางยกยอคนของตัวเอง แต่คนรอบข้างล้วนพูดเป็เสียงเดียวกันว่าหยวนเก้อเอ๋อร์หน้าตาดี จมูกเป็สัน ดวงตาคมงาม ไม่รู้แม่นางคนใดจะได้แต่งกับเขา น่าเสียดายที่เขาเกิดในครอบครัวต่ำต้อย ไม่เช่นนั้นด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ เขาจะต้องเข้ารับราชการได้แน่นอน
“จริงสิ เ้านายที่จวนเรียกให้เ้าไปพบวันพรุ่งนี้ ดีเลย เ้าสวมชุดนี้ไป พวกเขาจะได้เห็นว่าเ้าดูดีเพียงใด ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย”
------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เหลี่ยง (两) หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนัก 1 เหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้