มู่จื่อหลิงเห็นคนชุดดำค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้นางอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางอยากเข้าใกล้แต่ก็มิกล้าเข้าใกล้ นางจึงเริ่มร้อนรนแทนเขาแล้ว เ้านี่อย่าได้ป้องกันนางจนกลายเป็เช่นนี้ได้หรือไม่ นางไม่กินคนเสียหน่อย
หากยามนี้คนชุดดำได้ยินเสียงความคิดในใจมู่จื่อหลิง ไม่รู้ว่าจะส่งค้อนปะหลับปะเหลือกไปให้นางหรือไม่ ไม่กินคนก็ใช่อยู่ แต่น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่ากินคนอีก!
คนชุดดำมีเวลามาอืดอาดชักช้า แต่มู่จื่อหลิงไม่มีเวลามายื้อยุดกับเขาแล้ว หากปล่อยให้นักฆ่าข้างนอกบุกเข้ามาอีก เช่นนั้นก็น่าอนาถแล้ว
ยามนี้คนชุดดำอยู่ไกลนางเกินไป ให้สาดยาพิษอีกนางก็สาดได้ไม่ไกล ถ้าสาดไปได้ มิต้องพูดก็รู้ว่าคนชุดดำที่เตรียมการไว้ทุกเวลาคงสามารถหลบไปได้ แต่หากสาดพลาดไป เช่นนั้นผู้โชคร้ายก็คงเป็นางเอง เื่ที่ไม่มั่นใจนางมิอาจเดิมพันได้
ทว่า ลูกไม้โยนสิ่งของนี้โยนได้ไม่แม่นยำ แต่ว่าแค่เปลี่ยนวิธีก็สามารถใช้ได้แล้ว สุนัขเห่าไม่กัด!
มู่จื่อหลิงหยิบวัตถุรูปร่างทรงกลมสีดำขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากแขนเสื้อ คลำไว้ในมือ จากนั้นมุมปากก็ฉีกออกเป็รอยยิ้มประหลาดที่สวยงาม ลูกทรงกลมสีดำในมือก็ลอยเป็เส้นโค้งไปยังคนชุดดำ แล้วร้องเสียงดัง “ะเิ มันะเิได้ รีบหมอบลงเร็วเข้า!”
คนชุดดำที่อยู่ไม่ไกลจากมู่จื่อหลิงเห็นว่ามีวัตถุลอยมาหาเขา แล้วก็ได้ยินเสียงะโของมู่จื่อหลิง จึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
ะเิ? สิ่งใดกัน?
คนชุดดำชะงักงันไปชั่วพริบตา ไม่ได้หมอบลงอย่างเชื่อฟัง แต่ก้มตัวลงไปครึ่งหนึ่ง เอนตัวหลบการจู่โจมของลูกกลมสีดำลูกนั้น!
ะเิอันใด ที่มู่จื่อหลิงโยนก็เป็แค่สมุนไพรที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น นางเคยเห็นะเิ แต่ไม่รู้วิธีทำเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าคนชุดดำจะหมอบลงตามคำพูดหรือไม่ ขอเพียงทำให้คนชุดดำสติหลุดไปก็พอ และสิ่งที่นางรอก็คือชั่วขณะที่คนชุดดำสติหลุดออกไปนี่เอง!
เห็นเพียงนางพุ่งเข้าไปหาชายชุดดำอย่างรวดเร็ว กระโปรงมีกลีบทรงแคบที่เรียบง่ายไม่ฉูดฉาดพลิ้วไหวราวกับสายลมพัดผ่าน
ความเร็วในการวางยาพิษของมู่จื่อหลิงนั้นทั้งฉับไวและแม่นยำ เพียงครู่เดียวยาพิษน้ำกรดหนึ่งขวดเต็มก็รินรดไปบนร่างของคนชุดดำ
เมื่อคนชุดดำได้สติกลับมา กำลังจะใช้กระบี่ค้ำตัวขึ้นมา ก็ช้าไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว
“อ้าก!!!” ภายในตำหนักอวี่หานก็มีเสียงร้องที่น่าสังเวชกว่าเมื่อครู่หลายเท่าปะทุออกมา ดังกลบเสียงต่อสู้ของกุ่ยเม่ยอีกด้านเสียมิด
‘ฉ่าฉ่าฉ่า’
ด้านหลังคนชุดดำยังคงเกิดเสียงร้องที่ทำให้คนทุกข์ทรมานยากทานทนเหมือนเมื่อครู่ และดูเหมือนจะเพิ่มความน่าสยดสยองเข้าไปอีก
มุมปากของมู่จื่อหลิงยกขึ้นเป็รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ยามสะบัดเมื่อครู่นี้สะบัดพิษน้ำกรดออกไปได้ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น แต่ครานี้เทลงไปตรงๆ ย่อมต้องเพิ่มความเ็ปมากอีกเท่าตัว ไม่เจ็บจนตายสิถึงจะแปลก
นางก้มเอวลงไปหยิบกระบี่บนพื้นขึ้นมา โน้มตัวเตรียมจะทำให้คนชุดดำที่กอดศีรษะโหยหวนอยู่บนพื้นทรมานน้อยลง
เพียงแต่ ครานี้มู่จื่อหลิงเหมือนจะประเมินคนชุดดำผู้นี้ต่ำไป
ถึงแม้จะเ็ปจนยากทานทน คนชุดดำกัดปากข่มกลั้นความเ็ป ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเื รวบรวมกำลังภายในมาไว้ที่ฝ่ามือสุดชีวิต ในชั่วขณะที่มู่จื่อหลิงโน้มตัวแทงดาบมาที่หน้าอกเขา เขาก็ลุกขึ้นมาโดยทันที ซัดฝ่ามือจู่โจมไปที่หัวไหล่ของมู่จื่อหลิงอย่างแรง!
ความรุนแรงของฝ่ามือนี้จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่สำหรับมู่จื่อหลิงที่ไม่มีวรยุทธ์แล้วเจ็บเหลือประมาณ
กระบี่ในมือมู่จื่อหลิงเพิ่งแทงเข้าไปได้ครึ่งหนึ่ง นางก็ได้รับฝ่ามือที่คนชุดดำซัดเข้ามาโดยไม่ทันได้ปัดป้อง ส่งเสียงครางขึ้นมาทันใด ถอยหลังติดกันไปสองสามเก้า แต่ก็ยังต้านแรงเสียดทานไว้ไม่อยู่ เซล้มนั่งลงไปกับพื้น ก้นจ้ำเบ้าไถลออกไประยะหนึ่ง ดูหมดสภาพยิ่งนัก!
“ซี้ด เจ็บ!” มู่จื่อหลิงเบ้ใบหน้าเล็ก กุมหัวไหล่ข้างที่ถูกโจมตีด้วยมือข้างเดียวส่งเสียงร้องอย่างเ็ป
สมควรตาย! เ็ปจนกลายเป็สภาพนั้นแล้ว เหตุใดยังมีเรี่ยวแรงมากเพียงนั้นอยู่อีก!
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ในตัวนางนอกจากเสี่ยวไตกูแล้วก็ไม่มียาพิษร้ายแรงที่ทำให้คนตายม่องเท่งได้ในทันที มิเช่นนั้นจะได้รับความเ็ปโง่เง่านี้หรือ!
มู่จื่อหลิงมองคนชุดดำที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังร้องโหยหวนด้วยความเ็ปอยู่บนพื้นผู้นั้นอย่างโกรธเคือง แล้วลุกขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ หยิบกระบี่ยาวขึ้นมาจากพื้น
นางกุมไหล่ข้างที่เจ็บไว้ ก้าวไปด้านข้างคนชุดดำอย่างเชื่องช้า ก้มตัวลงไปมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม ยกมือขึ้นสูงแล้วแทงซ้ำเข้าอีกหนึ่งกระบี่อย่างแรง และคนชุดดำก็ได้จากลาโลกนี้ไปตลอดกาล
ทว่ามู่จื่อหลิงยังไม่ทันผ่อนลมหายใจ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกประตูเป็่ๆ มู่จื่อหลิงหันไปมองนอกประตูตามสัญชาตญาณ ในใจภาวนาอย่างเงียบๆ แต่ว่า
เพียงแวบแรกที่เห็นมู่จื่อหลิงก็เจ็บหน้าอกขึ้นมาโดยพลัน
‘เวรแล้ว!’ มู่จื่อหลิงสบถในใจ กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมมาจริงๆ
นางเห็นคนชุดดำที่ปกปิดใบหน้ากำลังรีบวิ่งมาทางนี้อีกห้าคนแล้ว
จวนฉีอ๋องอันยิ่งใหญ่ยังสามารถบุกเข้ามาได้ตามอำเภอใจ สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าจวนฉีอ๋องอารักขาไม่แ่าพอ หรือว่านักฆ่าเยอะจนเกินไป คนผู้นั้นส่งนักฆ่ามากี่คนกันแน่ ดูท่าวันนี้คง้าเอาชีวิตให้ได้
มู่จื่อหลิงเหลือบมองการต่อสู้ของกุ่ยเม่ย กุ่ยเม่ยจัดการคนชุดดำไปได้สามคนแล้ว แต่บนตัวเขาก็มีาแจำนวนไม่น้อย เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี ท่าจะไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะรับมือเพิ่มอีกห้าคน
นาทีนี้จบเห่จริงๆ แน่!
มู่จื่อหลิงคร่ำครวญในใจพลางมองไปที่กุ่ยเม่ย แล้วก็มองคนชุดดำที่กำลังเข้ามาอีกห้าคน พลันบังเกิดความรู้สึกอยากจะร่ำไห้แบบไม่มีน้ำตานัก
ตนเองมือเปล่าไร้อาวุธ หลบก็หลบไม่ได้ หนีก็หนีไม่พ้น เผชิญหน้ากับนักฆ่ารูปร่างสูงใหญ่ราวกับม้ามีวรยุทธ์สูงส่ง แล้วยังมีกระบี่ยาวอำมหิตเืเย็นอีกห้าเล่ม นางควรหลบหลีกไปเช่นใดดี?
หรือว่าจะต้องยืนรอความตายอย่างโง่งม?
ไม่มีทาง! แม้นางจะมีชีวิตมาสองโลกแล้ว แต่ก็ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย ไม่อาจมาตายแบบนี้ได้ อาการป่วยของมารดายังรอให้นางไปรักษาอยู่
ยังไม่ถึง่เวลาสุดท้ายก็มิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้เด็ดขาด มู่จื่อหลิงรีบกวาดสายตาไปรอบกาย กำจัดสิ่งที่ใช้ไม่ได้ออกจนหมด สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงโต๊ะข้างๆ ตัวเท่านั้น!
ยืนอยู่ที่สูงจะปาได้ไกล
มู่จื่อหลิงบีบไหล่ที่าเ็เบาๆ สองที กัดฟันเงียบๆ รวบรวมเรี่ยวแรงปีนขึ้นไปบนโต๊ะ เมื่อแน่ใจว่ากุ่ยเม่ยไม่ได้สนใจฝั่งนางก็นำพิษน้ำกรดขวดใหญ่ออกมาจากระบบซิงเฉิน เตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะจิต!
และเวลานี้เองคนชุดดำปกปิดหน้าตาห้าคนนั้นก็พุ่งเข้ามาจากข้างนอก ชี้กระบี่เล่มยาวไปทางมู่จื่อหลิงที่ยืนมองพวกเขาอยู่บนโต๊ะ
มู่จื่อหลิงครุ่นคิดในใจว่า คนชุดดำห้าคนนี้เพิ่งเข้ามา จึงไม่รู้ว่านางใช้พิษได้ จะต้องไม่ระแวดระวังนางเป็แน่
เพียงแต่ ต้องวางยาพิษห้าคนในคราเดียวกัน ระดับความยากก็มากอยู่เสียหน่อย!
ทางนี้มีการเคลื่อนไหวใหญ่โตจึงทำให้กุ่ยเม่ยที่จดจ่อกับการต่อสู้มาแต่เดิมค้นพบว่ามีคนชุดดำเข้ามาเพิ่มอีกห้าคน
“หวางเฟย!” ใบหน้ากุ่ยเม่ยเต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย คิดจะพุ่งเข้าไปหามู่จื่อหลิง แต่สองในห้าคนชุดดำพลันเข้ามาสกัดฝีเท้าเขาไว้ ต้องรับมือสี่คนในคราเดียวกัน กุ่ยเม่ยก็ไม่มีเวลาแยกร่างมาได้แล้ว
ในใจมู่จื่อหลิงยินดีขึ้นมาทันที สามคนที่เหลืออยู่จัดการได้ง่ายแล้ว ชั่วขณะที่คนชุดดำแทงกระบี่มาที่นางนั้น
“ระวัง สิ่งที่อยู่ในมือฉีหวางเฟยมีพิษ!” คนชุดดำฝั่งของกุ่ยเม่ยผู้หนึ่งฉวยจังหวะชุลมุนร้องเตือนเสียงดัง
แต่ว่าเสียงเตือนนี้มาสายไปแล้ว!
ริมฝีปากมู่จื่อหลิงแย้มรอยยิ้มราวกับดอกไม้ที่เปล่งประกายพร่างพรายตา ใน่เวลาวิกฤตินั่น นางตาไวมือเร็วรีบยกพิษน้ำกรดในมือขึ้น สาดไปยังใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้ของคนชุดดำทั้งสามอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’
“อ๊าก อ๊าก อ๊าก”
เสียงกระบี่ตกลงพื้นสามครั้งและเสียงร้องโหยหวนน่าสยดสยองสามเสียง ดังอื้ออึงกึกก้องไปทั่วตำหนักอวี่หาน
แม้แต่ทางกุ่ยเม่ยที่กำลังโรมรันกับคนชุดดำทั้งหมดก็ยังตื่นตระหนก ในใจคนชุดดำที่เหลืออยู่สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ฉีหวางเฟยผู้นี้โเี้อำมหิตยิ่งนัก!
กุ่ยเม่ยเผลอยกนิ้วโป้งให้มู่จื่อหลิงในใจ เขาฉวยโอกาสนี้ จัดการคนชุดดำทั้งสี่ให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วในคราวเดียวกัน
คนชุดดำที่ถูกพิษน้ำกรดทั้งสามคน กัดฟนทนต่อความเ็ป ร้องคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง ทุบตีมั่วซั่วไปหมด
แม้พิษน้ำกรดในครั้งนี้จะเพิ่มปริมาณขึ้นมามากจากสองครั้งก่อนหน้า แต่มีบทเรียนจากครั้งก่อน มู่จื่อหลิงมิกล้าชะล่าใจอีก ขณะที่ไตร่ตรอง นางก็ตั้งท่าจะลงมาจากโต๊ะด้วยความระมัดระวัง
แต่ว่า นางเพิ่งยกเท้าขึ้น ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เพราะนางรับรู้ว่าโต๊ะกำลังสั่นะเืจึงหันศีรษะไปมอง คนชุดดำด้านหลังผู้หนึ่งกำลังใช้แรงดันโต๊ะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นโต๊ะก็ถูก พลิก คว่ำ
จากนั้นอีก
“อ๊า ซวยแล้ว!” มู่จื่อหลิงอุทานออกมาทันที เงาร่างโคลงเคลงไปมาอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นทั้งตัวก็ถลาลอยละลิ่วไปข้างหน้า
“หวางเฟย!” กุ่ยเม่ยร้องขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกในคราเดียวกัน เพียงแต่อยู่ห่างจนเกินไปจึงมิอาจไปยับยั้งได้ทันกาล
เพียงชั่วพริบตา เกิดเสียงดังขึ้น ปังปังปัง สามเสียง คนชุดดำที่กำลังคลุ้มคลั่งล้มลงกับพื้นโดยไม่ทราบสาเหตุทันที แน่นิ่งไม่ไหวติง
จากนั้นก็มีเสียง ‘กึก!’ ดังขึ้น
การััแนบชิดกับพื้นดินที่มู่จื่อหลิงคาดยังไม่มาถึง แต่ความเจ็บที่จินตนาการไว้มาถึงแล้ว
ทว่า ทว่าบริเวณที่เจ็บดูเหมือนไม่ใคร่จะถูกต้อง
ราวกับว่าเป็จมูกและฟันที่ปะทะเข้ากับอะไรสักอย่าง?
มู่จื่อหลิงเบิกตากว้างด้วยความใ จ้องดวงตาเ็าสีดำขลับราวกับหยดหมึกคู่หนึ่งที่ใหญ่ใกล้กับนางเสียจนมิอาจใกล้ได้อีกแล้ว
สายตาไล่จากบนลงล่าง
ดวงตาสองคู่สอดประสาน
ปลายจมูกชนปลายจมูก
ริมฝีปาก? ทั้งเย็นเยียบ! ทั้งนุ่มนิ่มนัก!
ชั่วเวลานี้ ในอากาศที่ชะงักค้างไว้
“อ๊า!” มู่จื่อหลิงร้องเสียงดังอย่างใตามสัญชาตญาณ มือผลักบุคคลเบื้องหน้าออก
เพียงแต่ผลักไม่ออก ศีรษะนั้นถอยห่างออกได้ ทว่ากายกลับถูกกอดรัดแน่นอยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนี้ มู่จื่อหลิงก็ลืมความเจ็บบริเวณจมูก ลืมความเจ็บของฟันที่ถูกกระแทก ลืมความเ็ปบริเวณหัวไหล่ ลืมความเ็ปไปตลอดทั้งร่าง
นางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ขยายใหญ่อยู่เบื้องหน้าอย่างตะลึงตะลาน
ใบหน้านี้เลอโฉมจนสะท้านฟ้าะเืดิน คิ้วกระบี่ที่มีสีดั่งหมึก ขนตาสีดำสนิทเส้นเล็กเรียวและดกหนา ั์ตาเ็าที่ลุ่มลึกดุจบึงธาราอันหนาวเหน็บ ริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูอ่อน โครงหน้าคมเป็สัน ราวกับประติมากรรมที่สรรค์สร้างโดยประติมากรผู้มีชื่อเสียง เลอโฉมล้ำเลิศ หยิ่งทระนงทว่าก็สูงส่งทรงอำนาจ
มู่จื่อหลิงมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้อย่างตกตะลึง คนผู้นี้มิใช่หลงเซี่ยวอวี่แล้วยังจะเป็ใครได้อีก!
สะ ์!
นางจูบหลงเซี่ยวอวี่? นางเพิ่งจูบฉีอ๋องที่เป็โรครักสะอาดขั้นรุนแรงผู้เ็าไร้ความรู้สึก?
ช่างน่าเวทนา น่าเวทนานัก ตนเองสูญเสียจูบแรกของทั้งสองโลกไปไม่พอ ยัง...
และหลังจากนี้อีกนานมู่จื่อหลิงถึงได้รู้ว่าจูบแรกของตนเองมิได้เพิ่งเสียไปตอนนี้ แต่เสียไปั้แ่ยามที่ไม่ได้สติมาตั้งนานแล้ว จะรู้สึกเช่นใดกัน?
ก่อนหน้านี้หลงเซี่ยวเจ๋อเคยพูดกับนางว่ามีสตรีที่คิดเป็ฝ่ายจู่โจมหลงเซี่ยวอวี่ก่อน สภาพอนาถเช่นนั้นนางไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็พอจะจินตนาการได้
หมอนี่คงไม่โยนนางออกไปใช่หรือไม่! หรือว่า...
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจมู่จื่อหลิงก็เกิดความหวาดกลัวสุดขีด โบกไม้โบกมือไปตามจิตใต้สำนึก เอ่ยปากอย่างโง่เขลา “ข้ามิได้ตั้งใจ!”
สิ้นเสียงพูด นางก็ยื่นมือรวบรวมเรี่ยวแรงผลักคนตรงหน้าออก ทว่าผลักเช่นไรก็ผลักไม่ออก ราวกับว่าต่อให้ตนเองใช้เรี่ยวแรงทั้งร่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่แล้วก็เหมือนกับมดสั่นะเืต้นไม้ใหญ่ ยืนต้นอย่างสง่างามไม่สั่นไหว
มู่จื่อหลิงใจนกระวนกระวาย แทบอดยกมือขึ้นมาสาบานไม่ไหว “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ! เมื่อครู่นั่นเป็เหตุการณ์ไม่คาดคิด ท่านอย่าโยนข้านะ รีบปล่อยข้าลง ปล่อยข้าลง......”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้