จางเจิ้งเต้าสลบเหมือด หวังเค่อรีบเข้าไปตรวจอาการก่อนพบว่ามันเพียงแค่สลบไป ไม่ได้ถูกพิษ!
“เหม็นขนาดนั้นเลยรึไง? ประสาท!” หวังเค่อถ่มน้ำลายใส่จางเจิ้งเต้า
หวังเค่อนั่งขัดสมาธิ ขับเคลื่อนสัจปราณขุ่นออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็สูดเข้าเต็มปอด! แต่เป็เพราะว่าร่างของหวังเค่อเป็แหล่งผลิตสัจปราณขุ่นออกมา ดังนั้นจึงมีภูมิต้านทานดีเยี่ยม
“เหม็นตรงไหน? ก็ปกติดีนี่!” หวังเค่อรำพึงอย่างงุนงง
แต่พอมองจางเจิ้งเต้าที่ยังคงพ่นฟองขาวออกจากปากไม่เลิก หวังเค่อก็ยอมรับความจริงข้อนี้ในท้ายที่สุด
หวังเค่อปิดตาเพ่งสมาธิลงไปที่ตันเถียน เข้าไปส่องดูชุดอักษรขนาดจิ๋วที่เรียงกันเป็พืดอยู่เหนือ《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》
“สัจปราณขุ่น! ปราณที่ขุ่นมัวที่สุดแห่งฟ้าดิน มีกลิ่นพิลึกพิลั่น สามารถลุกไหม้ได้!” หวังเค่อท่องบรรทัดนั้นออกมา
“อากาศขุ่น? ลุกไหม้? นี่ต่างจากบ่อก๊าซชีวภาพบนโลกตรงไหนกัน? แก๊สเชื้อเพลิงที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของฟางข้าวและสิ่งสกปรก? มีเทนCH4 ไฮโดรเจนซัลไฟด์ แอมโมเนียอะไรเทือกนั้น...เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญที่ข้าฝึกไฉนถึงผลิตของเล่นปาหี่อย่างนี้ออกมาได้?” หวังเค่อจ้องมองสัจปราณขุ่นสีทองที่เอ่อล้นออกมาจากฝ่ามือของตัวเองด้วยความตกตะลึง
มีกลิ่นพิลึกพิลั่น ลุกไหม้? เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ มหาสุริยันมิดับสูญที่ว่า...อย่าบอกนะว่าความหมายของมันก็คือการเผาไหม้? นี่ นี่จะหยิบหย่งเกินไปแล้วมั้ง! เห็นร่างของผู้ฝึกตนเป็อะไร? เป็บ่อหมักปุ๋ยคอกหรือ?
“เป็ไปไม่ได้《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》ของข้าคือสิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมา เป็เคล็ดวิชาสำเร็จเซียนที่มีตัวอักษรถึงสองร้อยล้านตัว จะไปเป็ของเล่นปาหี่แบบนั้นได้อย่างไร? นี่จะต้องเป็เพราะข้าเข้าใจผิดไปเองนั่นแหละ นานวันไปจะต้องไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้แน่!” หวังเค่อสะกดจิตตัวเอง
ขณะกำลังสะกดจิตตัวเอง หวังเค่อก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านตัวอักษรเล็กจิ๋วที่อยู่เหนือ《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》ต่อ ไม่นานก็มาถึงอีกบรรทัดหนึ่ง
“สัจปราณขุ่นมีอานุภาพกลืนกินพลังทุกชนิดพร้อมกับเปลี่ยนสี สีทองคืออ่อนสุด สีดำคือแกร่งสุด! เมื่อเป็สีดำสนิทแล้วก็จะลุกไหม้ขึ้นมาเอง! อาศัยกุศลจรรโลง เปลี่ยนดำเป็ทอง!” หวังเค่ออ่าน
ขณะที่อ่าน หนังตาของมันก็กระตุกอย่างรุนแรง
สัจปราณขุ่นสีทองเมื่อกี้ยังไม่ใช่กลิ่นที่รุนแรงที่สุด? ยิ่งดำยิ่งเหม็น? แล้วก็พอเปลี่ยนเป็สีดำปี๋ก็จะลุกไหม้ขึ้นมาเอง นี่หมายถึงอะไร? เมื่อฝึกสัจปราณขุ่นไปถึงจุดที่เป็สีดำสนิทก็จะเกิดปรากฏการณ์คนไฟลุก? หมายถึงตัวข้าไฟลุก? บ้านเ้าสิ เกิดข้าไฟลุกขึ้นมา งั้นไม่เท่ากับว่าข้าตายโหงไปแล้วรึไง? เป็ไปไม่ได้ จะต้องเป็ความเข้าใจผิดของข้าเองแน่ๆ!
หวังเค่อพลันระลึกถึงประโยคเกริ่นนำบทนั้นขึ้นมา “หาก้าฝึกวิชานี้ จำต้องสั่งสมกุศลบ่มเพาะกรรมดี! หากเล่นกับไฟ มีแต่จะเผาผลาญตนเอง!”
หวังเค่อ “…!”
ตนเองไม่ได้เข้าใจผิดไป นี่เป็เื่จริง หากสัจปราณขุ่นเปลี่ยนเป็สีดำเมื่อไหร่ก็จะเกิดปรากฏการณ์คนไฟลุกขึ้นมา? จำต้องใช้กุศลเข้าจรรโลงจึงจะรอด
“นี่คือวิชาเทพสำเร็จเซียนหรือว่าวิชาเทพพิฆาตตนเองกันแน่!?” หวังเค่อตาโต
สิ้นเปลืองศิลาิญญาไปตั้งล้านกว่าชั่ง แต่วิชาที่ตนฝึกกลับเป็ของเล่นปาหี่พรรค์นี้? เคล็ดวิชาที่อาจไฟลุกคลอกร่างตัวเองขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้? ถ้าเกิดว่าฝึกๆ อยู่แล้วเกิดการลุกไหม้ขึ้นมาล่ะ? แผดเผาตนเองจนเหลือแต่ขี้เถ้า ถือกำเนิดใหม่จากนิรวาณเหาะเหินขึ้นสรวง์ไป?
หวังเค่อยกมือปาดเหงื่อบนใบหน้า
“ไม่ได้การ เคล็ดลมปราณบ้าบอคอแตกนี่ฝึกได้เสียเมื่อไหร่กัน ฝึกไม่ได้แล้ว! ล้วนต้องโทษตัวข้าเอง เพ้ย ล้วนต้องโทษท่านอาจารย์ที่มาฝังหัวข้าว่าให้อ่านไปฝึกไป ถ้าเกิดว่าข้าอ่านเคล็ดวิชาจนจบก่อนเริ่มฝึกละก็ ข้าก็คงจะไม่เลือกวิชาที่ฝังกลบตัวเองเยี่ยงนี้หรอก!” หวังเค่อขณะวิตกกังวลก็เหลือบตาลงอ่านต่อ
“ปราณขุ่นเมื่อกำเนิดขึ้นแล้วก็จะฉุดไม่อยู่อีกต่อไป ตัวเ้าได้แปดเปื้อนไปแล้วทั้งตัว ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีก คิดทำลายเพื่อเริ่มใหม่ มีแต่ต้องประชุมเพลิงกลับชาติมาเกิดเท่านั้น ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว!”
อ่านมาถึงตรงนี้หวังเค่อก็แน่นิ่งไป นี่มันใช่สิ่งที่มนุษย์ควรพูดออกมารึ? แค่คิดทำลายวิชา จำต้องเผาศพตัวเองก่อนด้วยรึ?
หวังเค่อปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนกระแทกตัวลงกับพื้นอย่างแรง คนนั่งนิ่งอยู่ข้างบ่อเป็เวลานาน “นี่เท่ากับว่าข้าขึ้นเรือโจรเสียแล้วหรือนี่?[1] ลงไม่ได้แล้ว? บรรพบุรุษจ๋า! บรรพชนตระกูลหวังของข้า! พวกท่านทิ้งเคล็ดลมปราณกลบฝังลูกหลานอันใดไว้ให้ข้ากันแน่!”
หวังเค่อหดหู่อยู่นานสองนานจนจางเจิ้งเต้าที่อยู่ด้านข้างก็ลืมตาได้สติขึ้นมา
“จางเจิ้งเต้า เ้าเป็อย่างไรบ้าง?” หวังเค่อมองดูจางเจิ้งเต้า
ใบหน้าของจางเจิ้งเต้ายังออกจะแข็งๆ อยู่บ้าง ราวกับว่ากลิ่นกระตุ้นเมื่อครู่ส่งผลไปถึงเส้นประสาทของมันจนบอบช้ำ จำต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายดี
“หวังเค่อ เ้า เ้าฝึกวิชาบ้าบออันใดอยู่กันแน่? เ้า เ้า...!” จางเจิ้งเต้ามองหวังเค่อด้วยสีหน้าแววตาประหวั่นพรั่นพรึง
“ข้า...? บางทีอาจเป็อุบัติเหตุมากกว่า...!” หวังเค่อยิ้มเฝื่อน
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว เทพวิชานี้ เ้าจะสอนให้ข้าด้วยได้หรือไม่?” แต่จางเจิ้งเต้ากลับกลายเป็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมากะทันหัน
“อะไรนะ?” หวังเค่อผงะไป
“เ้าเป็เซียนเทียนขั้นแรก สัจปราณที่ใช้ออกมากลับทำให้ดวงธาตุทองคำเช่นข้าสลบเหมือดไปเลย งั้นต่อไปเ้าไม่กลายเป็ไร้คู่ต่อสู้กันพอดีรึ? ใครจะมาสู้เ้าได้? ขอแค่ปล่อยลมเหม็นนี่ออกไป ตลอดระยะสิบจั้ง คนร่วงม้านอนตะแคง ไม่มีใครเข้าใกล้เ้าได้แน่! ถูกใจข้านัก ไม่รู้แหละเ้าต้องสอนข้าให้ได้ ข้าจะทำลายวิชาตัวเองเพื่อเริ่มฝึกใหม่ ข้าเองก็อยากเรียนเทพวิชานี้เหมือนกัน!” จางเจิ้งเต้าวาดมือวาดเท้ากล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
“เ้าถูกรมควันจนเสียสติไปแล้วรึไง?” หวังเค่อมองจางเจิ้งเต้าด้วยสายตาตื่นตะลึง
“ตอนนี้สติข้าแจ่มชัดเป็ที่สุด!” จางเจิ้งเต้ายังคงไม่หายตื่นเต้น
“วิชาที่ข้าฝึกคือ《เคล็ดเทพอัคคี》ของพรรคเทพหมาป่า์ เ้าก็ไปคัดลอกเอาที่หอคัมภีร์ยุทธ์เองก็แล้วกัน!” หวังเค่อเบิ่งตาใสซื่อกล่าวคำ
“ผายลม เคล็ดเทพอัคคีข้ามีหรือจะไม่รู้จัก วิชานั่นจะไปมีลักษณะแบบนี้ได้อย่างไร?” จางเจิ้งเต้าทำหน้าไม่เชื่อเลยสักนิด
“อาจเป็เพราะว่าข้ามีสรีระที่พิเศษกว่าชาวบ้านก็เลยเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา!” หวังเค่อเถียงคำไม่ตกฟาก
เกิดการกลายพันธุ์ทางเคล็ดวิชา? เ้าก็ยังจะคิดออกมาได้นะ
“ไม่ยอมบอกก็ไม่ต้องบอก! ไอ้ไก่ขนเหล็กเอ๊ย!” จางเจิ้งเต้าหดหู่สุดประมาณ
“จำให้มันดีๆ ล่ะ ที่ข้าฝึกคือ《เคล็ดเทพอัคคี》พ้นรั้วประตูไปแล้วอย่าได้ไปปากบอนเลยเชียว!” หวังเค่อถลึงตาคาดโทษ
“ข้าปากบอนแล้วเ้าจะทำไม?” จางเจิ้งเต้าไม่กลัวเลยสักนิด
หวังเค่อหน้าแข็งกระด้าง ใจกลางฝ่ามือปรากฏะุสัจปราณขึ้นมาอีกหนึ่ง “หากเ้าปากบอน เจอเ้าครั้งใด เ้าก็จะได้รับประทานะุควงสว่านของข้าเป็ของแถม!”
ใบหน้าของจางเจิ้งเต้ากลายเป็แข็งทื่อ กลิ่นเมื่อกี้น่ะนะ? เจอครั้งหนึ่งต้องเจอดมกลิ่นนั่นหนึ่งรอบ?
“ฮ่าฮ่า วิชาที่เ้าฝึกอยู่ก็ต้องเป็《เคล็ดเทพอัคคี》อยู่แล้วซี ข้าจะไปจำผิดได้ยังไง?” จางเจิ้งเต้าเปลี่ยนสีหน้าทันที กลับกลายเป็มาดขรึมขึ้นมาทันตาเห็น
“อืม!” หวังเค่อรั้งสัจปราณกลับลงไปอย่างพึงพอใจ
ระหว่างที่คุยกันอยู่ ทั้งสองก็กำลังจะออกมานอกตัวตำหนัก
“ปง!”
บานประตูตำหนักผลักเปิดออก ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนในชุดป้องกันกรูกันเข้ามาภายในห้อง แต่คนพวกนี้ก็คือลูกกระจ๊อกของหวังเค่อ ท่าทางคล้ายเพิ่งถูกคนทุบตีมา ร่ำร้องโอดโอยกันอย่างเ็ป
“โอ๊ยโหย!”
“ท่านประมุข? ท่านออกด่านแล้วหรือนี่ วิเศษไปเลย!”
“ท่านประมุข มีคนคิดบุกเข้ามาในตำหนักขอรับ!”
“หากไม่ใช่ว่าองค์หญิงโยวเยว่ช่วยต้านเอาไว้ก่อน เมื่อครู่พวกมันก็คงจะขัดขวางการกักตนของท่านได้สำเร็จไปแล้วขอรับ!”
.........
......
...
ลูกน้องบนยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ลุกขึ้นทรงตัวกันอย่างยากลำบาก
“มันเป็ใคร? ใครมันช่างไร้ั์ตาถึงกับกล้ามาก่อความวุ่นวายภายในพรรคเทพหมาป่า์อย่างนี้?” จางเจิ้งเต้าถลึงตา
หวังเค่อหลังตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าคนของตนไม่ได้รับาเ็ร้ายแรง เมื่อนั้นถึงค่อยหันใบหน้าเคร่งขรึมออกไปทางนอกตำหนัก
แต่ที่เห็นกลับเป็ภาพขององค์หญิงโยวเยว่ผู้สวมผ้าปิดหน้ากับลิ่วล้อของตนที่มีสีหน้าอาทรร้อนใจกำลังช่วยกันต้านคนสองคนที่ดึงดันจะบุกเข้าตำหนักมาให้ได้ คนหนึ่งคือมู่หรงลวี่กวง อีกคนคือสตรีในวัยกลางคนสีหน้าตึงเครียดท่าทางเหมือนก้อนน้ำแข็ง ชวนให้ผู้พบเห็นพลันรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย
“จางเจิ้งเต้า เ้าว่าใครไม่มีั์ตานะ?” สตรีวัยกลางคนนางนั้นทักขึ้นเสียงเย็น
พอเห็นสตรีนางนี้ชัดเต็มสองตา จางเจิ้งเต้าต้องหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
“อา นั่นหมายถึงข้า ข้ากำลังว่าตัวเองอยู่ต่างหาก! เ้าตำหนักเนี่ย ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ข้ากำลังว่าตัวเองอยู่ต่างหาก! ข้ามันไร้ั์ตา! ่นี้ข้ารู้สึกว่าดวงตาของข้าเล็กลงอีกแล้วล่ะ!” จางเจิ้งเต้าขนหัวลุกรีบพลิกลิ้นทันที
“สายตาของเ้ายิ่งมายิ่งเล็กแคบเข้าไปทุกวัน! ฮึ่ม!” สตรีวัยกลางคนแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง เห็นชัดว่าไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจเอาความ
“หวังเค่อ เ้าต้องบันยะบันยังหน่อยนะ คนผู้นี้ก็คือเ้าตำหนักหมาป่าบูรพา เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย! ในพรรคเทพหมาป่า์ ใครก็คุมนางไม่อยู่! นางคือมือปราบมารที่เหี้ยมเกรียมที่สุดของพรรคเทพหมาป่า์ ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าสังหารพลาดหนึ่งร้อยศพยังดีกว่าปล่อยให้รอดหนึ่งตน สตรีดาวมฤตยูอันดับหนึ่งของพรรคเทพหมาป่า์ เ้าต้องระวังตัวด้วย!” จางเจิ้งเต้ากรอกคำอธิบายใส่หูของหวังเค่อโดยพลัน
เ้าตำหนักหมาป่าบูรพา เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย?
พรรคเทพหมาป่า์ หนึ่งในสี่เ้าตำหนักใหญ่ที่เป็รองเพียงประมุขพรรค? ซ้ำร้ายยังเป็อาจารย์ของมู่หรงลวี่กวงอีกด้วย
“หวังเค่อ ข้าปกป้องคนของเ้าไว้ไม่ได้ กลับทำให้เ้าต้องลำบากยิ่งกว่าเดิม ขอโทษด้วย!” องค์หญิงโยวเยว่ทางด้านข้างเปรยขึ้นเสียงเจื่อน
“องค์หญิงโยวเยว่ ขอบคุณท่านมาก!” หวังเค่อรีบพูดทันที
ชัดเจนว่าหากไม่ได้องค์หญิงโยวเยว่ช่วยบรรเทาสถานการณ์ ลูกน้องของมันกลุ่มนี้ก็คงจะถูกทำร้ายจนเจ็บหนักกันไปแล้ว
“องค์หญิงโยวเยว่ ท่านไม่จำเป็ต้องไปปกป้องพวกมัน ก็แค่กลุ่มแรงงานปุถุชนเท่านั้น หากหวังเค่อฝึกวิชามารชั่วร้าย พวกมันก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด!” มู่หรงลวี่กวงที่อยู่ไม่ไกลออกไปพลันเอ่ยปลอบ
หวังเค่อหันหน้าไปกล่าวกับจางเจิ้งเต้า “าุโจาง ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่คือที่พำนักในหนหลังของท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านให้ข้ายืมใช้ชั่วคราว แต่บัดนี้เ้าตำหนักหมาป่าบูรพากลับมาที่นี่ ฐานะของข้าไม่พอให้ออกไปต้อนรับนาง รบกวนท่านช่วยไปเชิญท่านอาจารย์ของข้ามาที แขกจำต้องมีเ้าบ้านคอยต้อนรับ!”
จางเจิ้งเต้าได้ฟังก็เข้าใจ หวังเค่อกำลังขอให้ตนไปเรียกกำลังเสริมมา สองยอดยุทธ์หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัยเล่นบุกมากันแบบนี้ เกิดลองต่อยตีกันขึ้นมาใครจะไปสู้ได้? ความอัปยศนี้ยังจะรับไว้ได้หรือ?
ก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว พวกเราเองก็มีผู้หนุนหลังอยู่เหมือนกัน!
“ได้ ข้าจะรีบไปตามท่านประมุขมาเดี๋ยวนี้!” จางเจิ้งเต้าตอบรับอย่างซาบซึ้งใจ
พูดจบมันก็เผ่นแน่บไปทันที ชัดเจนว่ามันกลัวเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยขึ้นสมอง
หวังเค่อสะอึกเข้ามาก้าวหนึ่ง “ผู้น้อยหวังเค่อ ท่านอาจารย์ของข้าคือเฉินเทียนหยวน ยินดีที่ได้พบเ้าตำหนักหมาป่าบูรพา!”
“เ้าใช้ท่านประมุขมากดดันข้า?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็น
“มิกล้า! เพียงแต่ร้ายดียังไงที่นี่ก็คือยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ ต่อให้ตอนนี้องค์หญิงโยวเยว่จะสูญเสียราชอาณาจักร แต่ก็เป็าุโเค่อชิงของพรรคเทพหมาป่า์อยู่ ท่านเล่นทุบตีคนของนาง ใช่ทำเกินไปหน่อยหรือไม่?” หวังเค่อเอ่ยเสียงต่ำ
“หวังเค่อ เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเ้าตำหนักเนี่ย เ้าตำหนักเนี่ยไม่ได้พูดอะไร ทั้งไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งนั้น แต่เป็มู่หรงลวี่กวง...!” องค์หญิงโยวเยว่ทางด้านข้างยิ้มขื่น
มู่หรงลวี่กวงพลันขยับเท้าออกมาทันที
“องค์หญิงโยวเยว่ ข้าก็แค่เป็ห่วงท่าน! ตลอด่เวลานี้ หวังเค่อทำการขนวัตถุมีพิษเข้ามาในพรรคไปตั้งกี่มากน้อยแล้ว? มันจะต้องกำลังฝึกวิชามารอะไรสักอย่างอยู่เป็แน่ ไม่งั้นแล้วทำไมท่านถึงต้องตามปกป้องมันไปทั่วเลยเล่า? ต้องเป็เพราะว่ามันกำลังฝึกวิชามารมอมเมาจิตใจท่านอยู่แน่ ท่านวางใจเถอะ พรรคเทพหมาป่า์ข้าคือสำนักฝ่ายธรรมะลือชื่อ ไม่มีปล่อยพวกใช้วิชามารสะกดจิตผู้คนเอาไว้อยู่แล้ว! วันนี้ท่านอาจารย์ข้าเองก็อยู่ด้วย ข้าจะต้องเปิดโปงความชั่วร้ายของหวังเค่อและช่วยท่านออกมาให้ได้!” มู่หรงลวี่กวงโพล่งขึ้นมา
“ข้าไม่ได้ถูกวิชามารอันใดสะกดจิตทั้งนั้นแหละ! แต่เป็เพราะว่าหวังเค่อกำลังกักตน ข้าก็เลยไม่อยากให้พวกท่านรบกวนมันก็เท่านั้นเอง!” ดวงตาขององค์หญิงโยวเยว่ฉายแววหดหู่อึมครึม
“ไม่ใช่งั้นหรือ? เมื่อกี้ข้าให้ท่านอาจารย์ช่วยมาเป็พยานตอนที่ข้าขอโทษต่อเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อท่าน ตั้งใจที่จะสะสางความเข้าใจผิดระหว่างเรา แต่ทำไมท่านถึงไม่ยอมเชื่อ? แถมยังบอกว่าจะให้หวังเค่อมาช่วยท่านวิเคราะห์สถานการณ์? ที่แท้มันใช้มนต์อะไรบังตาท่านไว้กันแน่? เื่แบบนี้ก็ยังจะต้องถามหาความเห็นจากมันด้วยรึ?” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยเสียงหม่นมัว
ตอนนั้นเองหวังเค่อก็เข้าใจ มู่หรงลวี่กวงใช้คำขอโทษมาบังหน้า แต่เป้าหมายคือตั้งใจจะขอคืนดีกับองค์หญิงโยวเยว่ ผลที่ได้คือถูกองค์หญิงโยวเยว่บอกปัด อีกทั้งยังลากตนออกมาเป็โล่กำบังกาย ทำให้มู่หรงลวี่กวงที่ทั้งโมโหทั้งอิจฉาตาร้อนมุ่งเป้ามาทางตนแทน
เมื่อได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา อารมณ์ความรู้สึกของหวังเค่อพลันดีขึ้นไม่น้อย มันขยิบตาให้องค์หญิงโยวเยว่จนนางหน้าแดงรีบหันหน้าไปอีกทาง
“มู่หรงลวี่กวง ดีร้ายยังไงเ้าเองก็เป็ถึงศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค! ศิษย์น้องหญิงที่ชื่นชมเ้ามีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ทำไมเ้าถึงต้องเอาแต่หมายตาองค์หญิงอยู่ได้? เ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเ้าเคยพูดจาทำร้ายจิตใจนางเอาไว้แบบไหน?” หวังเค่อทำท่าเหมือนไม่อยากลดตัวลงมาเกลือกกลั้ว
“วันนั้นเพื่อการปราบมารข้าก็เลยจงใจแสดงละครตบตามารพวกนั้นต่างหากล่ะ ข้าจะผลักไสองค์หญิงโยวเยว่ได้อย่างไร? หากข้าผลักไสนาง แล้วปีนั้นข้าจะตามไปขอความรักจากนางถึงราชวงศ์ชือกุ่ยหรือ? ทั้งหมดล้วนเป็แค่การแสดงละครเท่านั้น ไม่ใช่คำพูดที่มาจากใจข้า! องค์หญิง ท่านต้องเชื่อข้านะ! นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของข้า!” มู่หรงลวี่กวงสำรอกออกมาอีก
องค์หญิงโยวเยว่นิ่งเงียบไป
“จะตั้งใจหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์! พอพูดไม่เข้าหูสักคำก็ลงมือลงไม้ เมื่อกี้แม้แต่องค์หญิงก็ยังต้านไว้ไม่อยู่ ชัดเจนเลยว่าเ้ามีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา! วันหน้าใครแต่งกับเ้ามีแต่ต้องคอยรับมือกับความรุนแรงของเ้าแน่! องค์หญิง ท่านต้องปฏิเสธมันนะ ปฏิเสธไปให้ชัดเจน! พวกนิยมลงไม้ลงมือต่อภรรยาตัวเองเยี่ยงนี้ท่านต้องตีตัวออกหากให้ได้โดยเร็วที่สุด!” หวังเค่อได้ทีก็รีบเสี้ยม
มู่หรงลวี่กวงพลันหน้าดำดุจก้นหม้อไปในทันที
[1] เปรียบเปรยว่าเมื่อหลงเข้ามาแล้วก็ยากที่จะหลุดพ้น
