ภายในเทือกเขาเทียนอวิ่นนั้นมีอันตรายอยู่มากมาย นอกจากอสูรร้ายที่กลืนกินมนุษย์แล้ว ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นที่สามารถพรากชีวิตน้อยๆ ของเหล่าบัณฑิตใหม่ไปได้อีกด้วย
อีกด้านหนึ่งของผืนป่า มีกลุ่มบัณฑิตกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนสมาชิกอยู่ไม่มากนัก ทั้งกลุ่มของพวกเขามีเพียงแปดคนเท่านั้น
กลุ่มเด็กทั้งแปดคนกำลังเดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง แต่ทันใดนั้นก็พลันมีกลิ่นหอมประหลาดโชยมาจากที่ที่ไม่ไกลนัก
“กลิ่นหอมนัก นี่มันกลิ่นอะไรกัน”
เมื่อเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินได้กลิ่นที่กำลังโชยมา เขาก็กล่าวขึ้นอย่างฉงน
“ไปเถอะ ไปดูกัน”
หลังจากคนอื่นๆ เดินเข้ามา พวกเขาทั้งหมดก็พากันเดินตามกลิ่นหอมนั้นไป หลังจากเดินไปได้เพียงสองร้อยเมตร พวกเขาก็พบว่ามีกล้วยไม้สีแดงสดต้นหนึ่งขึ้นอยู่กลางป่า
ดอกของกล้วยไม้ต้นนี้มีสีแดงโลหิต ส่วนใบของมันก็เป็สีเขียวมรกตและยังส่งกลิ่นหอมประหลาดออกมา
“นี่มันกล้วยไม้พันธุ์อะไรกัน?”
พวกเขาต่างก็งุนงงอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่มีใครไม่รู้จักพันธุ์ของกล้วยไม้ต้นนี้เลย
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็กล้วยไม้พันธุ์อะไร ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็สมุนไพรประเภทหนึ่งก็ได้ รีบเก็บมันกันก่อนเถอะ”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม โดยที่พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าเหนือต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านห้อมล้อมพวกเขาเอาไว้มีหนอนตัวสีเขียวเกาะอยู่บนต้นไม้เต็มไปหมด
พรึ่บ!
ฉับพลันนั้นหนอนตัวหนึ่งก็ตกลงมาเกาะอยู่บนหลังคอของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เด็กผู้นั้นเอื้อมมือไปจับมันด้วยความสงสัย จากนั้นก็รีบปาหนอนตัวนั้นลงบนพื้นทันที
“ช่างน่ารังเกียจนัก นี่มันตัวอะไรกัน”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นเองก็มีหนอนอีกตัวตกลงมาเกาะบนคอของเขาอีกครั้ง ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีตัวหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาบนร่างของคนทั้งแปดราวกับห่าฝน
“อ๊าก นี่มันอะไรกัน!”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งแผดเสียงร้องออกมาอย่างเ็ป หลังจากหนอนเ่าั้ตกลงมาบนร่างของเขาแล้ว ปากแหลมๆ ของมันก็เผยให้เห็นเขี้ยวอันคมกริบที่อยู่ภายใน มันกัดเข้าที่ลำคอของเด็กหนุ่มอย่างแรง กล้ามเนื้อของเขาถูกเปิดออกทันที จากนั้นตัวหนอนก็ฝังร่างเข้าไปในร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก…!”
เด็กหนุ่มทั้งแปดกรีดร้องโหยหวนออกมา ร่างของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยตัวหนอนจำนวนนับไม่ถ้วน และตัวหนอนเหล่านี้ก็กัดิัของพวกเขาจนเปิดออกก่อนจะเจาะเข้าไปในร่างกายของพวกเด็กหนุ่มทั้งแปดทันที พวกมันกัดกินอวัยวะภายใน ทั้งยังดูดเืของพวกเขาอย่างหิวกระหาย
กลุ่มเด็กหนุ่มทั้งแปดดิ้นพล่านอยู่บนพื้น พวกเขากรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน แต่ผ่านไปไม่นานเสียงเ่าั้ก็เงียบลง
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา หนอนพวกนั้นก็เจาะิัก่อนจะโผล่ออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มทั้งแปด เวลานี้ิับนร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยรูพรุนและมีเืไหลออกมาตามรู ส่วนอวัยวะภายในของพวกเขาถูกกัดกินไปจนหมดแล้ว ถือเป็ภาพที่น่าสยดสยองเป็อย่างยิ่ง
เมือกที่หลั่งออกมาจากตัวหนอนทำให้ศพของคนทั้งแปดเน่าเปื่อยจนกลายเป็โคลนตมอย่างรวดเร็ว และกลายเป็สารอาหารที่ถูกกล้วยไม้สีเืดูดซึมเข้าไป นอกจากจะช่วยให้มันเติบโตแล้ว ยังขับให้สีแดงโลหิตของดอกกล้วยไม้ดูงดงามมากยิ่งขึ้น พร้อมกับปล่อยกลิ่นหอมออกมาล่อลวงผู้คนอีกครั้ง...
เหล่าบัณฑิตผู้คุมกฎซึ่งควบขี่อยู่บนอินทรีย์สีครามที่บินผ่านไปมาบนท้องฟ้า กำลังก้มมองเหล่าบัณฑิตใหม่ที่กำลังดิ้นรนอยู่ในป่าด้านล่างด้วยรอยยิ้ม
“เด็กน้อยเอ๋ย พวกเ้าจงสนุกให้เต็มที่เถิด เวลาสิบวันนี้คงผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ นักหรอกนะ”
“การได้มองดูพวกเขาทำให้ข้านึกถึงพวกเราในอดีต ข้าจำได้ว่าในการประเมินของรุ่นเรามีคนเสียชีวิตไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคน”
“ปีนั้นคนในรุ่นเราเสียชีวิตไปไม่น้อยเลยจริงๆ น่าจะเกือบสองร้อยคนด้วยซ้ำ หึๆ มาดูกันว่ารุ่นนี้จะมีคนตายมากน้อยเพียงใด”
เหล่าบัณฑิตผู้คุมกฎพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นพวกเขาก็บินลาดตระเวนและเฝ้าสังเกตการณ์ต่อ
ที่ริมฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง ยามนี้มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่ โดยผู้นำกลุ่มของพวกเขาก็คือเด็กหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำและมีความสูงเกือบหกฟุตครึ่ง ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังมองไปทางแม่น้ำที่มีความกว้างหลายสิบเมตร คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดขึ้นมา
“พี่เยี่ย ท่านรีบมาดูนี่เร็วเข้า”
เสียงของเด็กหนุ่มตระกูลลู่ผู้หนึ่งะโเรียกเขา
เมื่อลู่โหย๋วเยี่ยหันไปตามเสียง เขาก็พบว่ามีศพของสัตว์ป่าตัวหนึ่งนอนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ โดยที่เืเนื้อของมันถูกกัดแทะและสูบไปจนหมด
ลู่โหย๋วเยี่ยเข้าไปสำรวจรอยกัดบนร่างของมันอย่างละเอียด ทั้งยังดมหากลิ่นอายบางอย่างที่อาจจะยังติดอยู่บนศพของมัน และเพียงไม่นานเขาก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
“นี่มันกลิ่นอายของจระเข้มักเกิล ในแม่น้ำสายนี้มีจระเข้มักเกิลอาศัยอยู่"
ลู่โหย๋วเยี่ยเอ่นด้วยรอยยิ้ม จระเข้มักเกิลนั้นเป็อสูรร้ายชนิดหนึ่ง
“ทุกคน รีบวางกับดักเร็วเข้า”
ลู่โหย๋วเยี่ยะโสั่งการ
หลังจากได้ยินคำสั่ง บรรดาศิษย์ตระกูลลู่ก็รีบขุดดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเพื่อวางกับดักเตรียมจับจระเข้มักเกิลทันที
เดิมทีแล้วตระกูลลู่เป็ตระกูลที่ทำการค้าเกี่ยวกับอสูรร้าย ในอาณาจักรต้าหยวนพวกเขาเป็ตระกูลที่ขึ้นชื่อเื่การฝึกอสูร
เพียงไม่นานกับดักก็ถูกวางเอาไว้เรียบร้อย จากนั้นลู่โหย๋วเยี่ยก็นำกลุ่มคนเข้าไปในป่า และล่าหมูป่ากลับมาสองสามตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว
ศิษย์ตระกูลลู่ผู้หนึ่งตอกตะปูตรึงต้นขาของหมูป่าที่ยังมีชีวิตเอาไว้หลังกับดัก จากนั้นก็ใช้เืเนื้อจากส่วนที่ตอกลงไปละลายกับแม่น้ำ เพื่อให้กลิ่นคาวเืนั้นลอยคละคลุ้ง
เวลาผ่านไปไม่นาน เงาร่างของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในแม่น้ำก็ถูกกลิ่นคาวเืดึงดูดให้ต้องว่ายขึ้นฝั่ง
มันคือจระเข้ั์ที่มีความยาวราวสี่ถึงห้าเมตร แต่ิัของจระเข้ตัวนี้มีสีฟ้าดูแปลกตา
สายตาของจระเข้มักเกิลจับจ้องไปยังหมูป่าที่กำลังหวีดเสียงร้องออกมา พร้อมกับดิ้นพล่านอย่างทุลักทุเล มันคืบคลานเข้าใกล้ๆ ตำแหน่งของหมูป่าตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะที่มันกำลังจะเข้าไปถึงตัวหมูป่านั้น เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นพร้อมกับที่พื้นด้านล่างที่รองอยู่ใต้ตัวมันพังครืนลงมา ร่างของจระเข้มักเกิลตกลงไปในกับดักที่ถูกขุดเอาไว้ในทันที และใต้กับดักนั้นก็เต็มไปด้วยไม้ที่ถูกเหลาจนปลายแหลม มันเสียบแทงเข้าที่หน้าท้องอันอ่อนนุ่มของจระเข้มักเกิลจนทะลุออกมาถึงอีกฝั่ง
“โฮก…!”
จระเข้มักเกิลแผดเสียงคำรามอย่างทุรนทุราย แต่เพียงไม่นานเสียงของมันก็เงียบลงพร้อมกับสัญญาณชีพที่ถูกพรากไป
“รีบไปนำผลึกอสูรออกมา และทำการล่อต่อไป”
ลู่โหย๋วเยี่ยและกลุ่มคนของเขาเดินออกมาจากป่า เมื่อเด็กหนุ่มสั่งการเสร็จ เหล่าศิษย์ตระกูลลู่ก็รีบไปนำร่างของจระเข้มักเกิลขึ้นมาจากกับดักทันที จากนั้นก็นำผลึกอสูรออกมาจากร่างของมัน
พวกเขาทำการวางกับดักใหม่เพื่อล่อจระเข้มักเกิลให้มาติดกับอีกครั้ง
แน่นอนว่าหากเป็เื่ของการล่าสัตว์ ศิษย์ของตระกูลลู่ย่อมได้เปรียบกว่าเหล่าบัณฑิตกลุ่มอื่นๆ เพราะพวกเขามีความสามารถและทักษะในการล่าที่สืบทอดต่อกันมาภายในตระกูล
แน่นอนว่าในบรรดาผู้เข้าร่วมการประเมินย่อมมีคนจากจวนเป่ยอ๋องรวมอยู่ด้วยเป็ธรรมดา โดยผู้นำของกลุ่มพวกเขามีนามว่าเฉินเซิ่ง
เฉินเซิ่งผู้นี้มีอายุสิบแปดปีพอดี เขาเป็คนที่มีพร์สูงสุดในบรรดาศิษย์จากจวนเป่ยอ๋องรุ่นนี้ ในอดีตตอนอยู่ในจวนอ๋องเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง ทำให้เวลานี้วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นแปดเท่ากับมู่เฟิงแล้ว
และตอนนี้กลุ่มคนของจวนเป่ยอ๋องก็กำลังเดินสำรวจป่าอยู่เช่นกัน หลังจากเข้ามายังเขตเทือกเขาเทียนอวิ่นเป็เวลาหนึ่งวัน พวกเขาก็สามารถสังหารอสูรร้ายได้สองตัวแล้ว
ฉับพลันนั้นเองอินทรีย์สีครามที่บินอยู่บนท้องฟ้าก็บินผ่านตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ไป โดยที่อินทรีย์สีครามตัวนั้นกำลังเกี่ยวซากร่างของพยัคฆ์ตัวหนึ่งเอาไว้ในกรงเล็บของมันด้วย!
บนหลังของอินทรีย์สีครามตัวนั้นก็คือชายหนุ่มในชุดคลุมขาวที่มีใบหน้าธรรมดาดาษดื่นทั่วไป เมื่อเห็นกลุ่มเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านล่าง รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ก่อนที่อินทรีสีครามจะปล่อยกรงเล็บออก ทำให้ซากร่างของพยัคฆ์ร่วงตกลงมาในป่า
จากนั้นอินทรีย์สีครามก็บินโฉบตามลงมา
พวกเฉินเซิ่งรีบตรงเข้าไปทักทายชายหนุ่มผู้มาใหม่ในทันที “พี่ใหญ่โจว!”
ชายหนุ่มพยักหน้าทักทาย จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังซากของพยัคฆ์ตัวนั้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “การประเมินครั้งนี้ ฝ่าาให้ข้าคอยช่วยเ้าให้คว้าอันดับหนึ่งมาให้ เ้าจำเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าอย่างไรจะให้ตระกูลมู่ชนะไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
เฉินเซิ่งมองไปยังซากของพยัคฆ์ตัวนั้น ก่อนจะเผยยิ้มออกมาและกล่าวว่า “วางใจเถอะ มีพี่โจวคอยช่วยอยู่ทั้งคน ข้าต้องคว้าอันดับหนึ่งมาได้อย่างแน่นอน เอาละ พวกเ้าไปนำผลึกอสูรออกมา”
“ข้ากำลังลาดตระเวนและสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า คงไม่อาจช่วยเ้าได้อย่างโจ่งแจ้งนัก ไม่อย่างนั้นหากถูกคนอื่นพบเข้าคงไม่ดีแน่ แต่หากข้าพบอสูรร้ายที่พวกเ้าสามารถลงมือสังหารได้ ข้าจะส่งสัญญาณให้พวกเ้าเอง”
หลังจากชายหนุ่มแซ่โจวผู้นั้นกล่าวจบ เขาก็ควบอินทรีย์สีครามบินทะยานขึ้นเหนือผืนป่าขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกครั้งทันที
เฉินเซิ่งเฝ้ามองชายหนุ่มบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือผืนป่า ก่อนที่เขาจะกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “มู่เฟิง ข้ามียอดฝีมือระดับหนิงกังคอยช่วยเหลือ คราวนี้ตระกูลมู่ของเ้าจะต่อกรกับจวนเป่ยอ๋องของพวกข้าอย่างไร!”
การประเมินนี้ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่การประเมินที่ยุติธรรมมากนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้