กลิ่นคาวเืแผ่กระจายไปทั่วอากาศ ทุกคนมองม้าที่วิ่งไปรอบๆ โดยปราศจากคนบนหลังอย่างเงียบๆ
หัวหน้ากองโจรมองศพที่ร่วงลงมาจากหลังม้าอย่างอึ้งๆ ทั่วทั้งร่างพลันเย็นเฉียบประหนึ่งถูกแช่แข็ง เพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้น ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อให้เป็เขาไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขอบเขตแห่งจิติญญา” ว่านชิงซานและองครักษ์หนุ่มคนอื่นๆ ต่างถูกความแข็งแกร่งของหลินเฟิงทำให้ตกตะลึง คนคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว และไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถไปยั่วโมโหได้!!! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจิ้งหยุนถึงเป็มิตรกับเขา
แผ่นหลังของว่านชิงซานเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งดูแคลนหลินเฟิงไป ถ้าหากหลินเฟิงโจมตีเขาเช่นเดียวกับที่โจมตีลูกน้องของเขา บางทีเขาอาจจะ…
ดวงตาของลุงหวังที่นั่งอยู่หน้ารถม้าฉายแวววูบไหวขึ้นมา ขณะจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของหลินเฟิง
“สหาย ทำไมเ้าถึงโหดร้ายเช่นนี้?”
หัวหน้ากองโจรจ้องหลินเฟิงตาเขม็ง ในดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความกลัว ความเกลียดชัง และความโกรธเกรี้ยวปะปนกันไป
“แล้วเวลาที่เ้าสังหารผู้คน เ้าเคยคิดว่าตัวเองโหดร้ายบ้างไหม?!”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า คนประเภทนี้ยามสังหารคนก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโหดร้าย มิหนำซ้ำยังรู้สึกยินดีเวลาที่ได้ตัดหัวของผู้อื่นราวกับว่าการสังหารคนคือความบันเทิงอย่างหนึ่ง แต่พอตัวเองถูกสังหารบ้างกลับรู้สึกว่าคนอื่นโหดร้าย ช่างเป็คนที่น่าขยะแขยงยิ่งนัก!!!
หลินเฟิงก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันคลื่นดาบก็พุ่งเข้าไปปกคลุมร่างของหัวหน้าโจร ทำให้อีกฝ่ายตัวแข็งทื่อ
“สหาย อย่าได้ล้ำเส้นเกินไป มิฉะนั้นเ้าได้พบหายนะแน่!!!” หัวหน้าโจรพยายามข่มขู่หลินเฟิง
“อย่าล้ำเส้น? แต่ว่าเ้าล้ำเส้นข้าไปแล้วนะ งั้นข้าควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?” หลินเฟิงปลดปล่อยคลื่นดาบออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาหัวหน้ากองโจร
หัวหน้าโจรกัดฟันแน่นก่อนจะฟันดาบออกไป คลื่นดาบของเขาเต็มไปด้วยลมปราณอันแข็งแกร่ง
“เขาก็อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาเช่นเดียวกัน”
ดวงตาของว่านชิงซานเบิกกว้างขึ้นมา ที่แท้หัวหน้าโจรก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญา!!! หากไม่ได้หลินเฟิงแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่สามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้แน่
หลินเฟิงร้องหึออกมา ปลายดาบสั่นเล็กน้อย ก่อนจะทะลวงคลื่นดาบที่ทรงพลังของอีกฝ่ายจนแตกกระจายในพริบตา ดาบของหลินเฟิงยังคงทะลวงไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าจะเป็กระบวนท่าที่เรียบง่าย แต่ทว่าหัวหน้าโจรกลับรู้สึกได้ถึงคลื่นดาบ เจตนาของดาบ และอำนาจดาบกำลังรวมตัวกันเป็หนึ่งเดียวในดาบนั้น
“สวบ…”
ดาบในมือของหลินเฟิงแทงทะลุลำคอของหัวหน้าโจร โดยที่เขาไม่สามารถต้านทานมันได้
นี่คือขอบเขตประเภทหนึ่งของดาบ ซึ่งหลินเฟิงเริ่มคุ้นเคยขอบเขตการผสานแล้ว
“กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญา ก็ไม่สามารถต้านทานดาบของหลินเฟิงได้แม้แต่ดาบเดียว ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
ฝูงชนที่อยู่ด้านหลังถูกความแข็งแกร่งของหลินเฟิงทำให้ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แข็งแกร่งมาก ขอบเขตแห่งจิติญญาที่พวกเขาใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็ กลับถูกหลินเฟิงสังหารได้อย่างง่ายดาย
หลินเฟิงไม่แม้แต่จะปรายตามองซากศพของมันเลยด้วยซ้ำ เขาหันหลังเดินกลับไปที่กลุ่ม
“พี่หลินเฟิง ท่านแข็งแกร่งจริงๆ” ต้วนเฟิงยิ้มให้หลินเฟิง ในดวงตาของเขายังแฝงไปด้วยความชื่นชม
“สมแล้วที่พี่หลินเป็ศิษย์จากนิกายใหญ่ ความสามารถย่อมเหนือกว่าพวกข้า”
ว่านชิงซานเดินตรงเข้ามาหาหลินเฟิงเพื่อประจบประแจง นี่เป็ทัศนคติแปลกๆ ประเภทหนึ่งของเขา
ถ้าใครบางคนแข็งแกร่งกว่าเขาเพียงเล็กน้อย เขาก็จะอิจฉา แต่ถ้าใครบางคนแข็งแกร่งกว่าเขามาก เขาก็จะรู้สึกหวาดกลัวหรือชื่นชม
“ผู้ที่รอดชีวิตจากการกวาดล้างนิกายย่อมแข็งแกร่ง” หลินเฟิงตอบกลับอย่างไม่แยแส ในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความประชดประชัน
หลินเฟิงไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็คนดีอะไร ตอนที่เขายังไม่แสดงฝีมือออกมา ว่านชิงซานก็พยายามสร้างความอับอายให้กับเขา กระทั่งพูดจาดูถูกนิกายกับคนในนิกายของเขา ที่หลินเฟิงไม่ลงมือสั่งสอนเขานั่นก็เป็เพราะว่า หนึ่ง หลินเฟิงไม่อยากลดตัวลงไปยุ่ง สองคือ เห็นแก่ต้วนเฟิงกับจิ้งหยุน และสาม ตอนนี้เขาเป็แค่แขก
ตอนนี้เมื่อเขาได้แสดงความแข็งแกร่งออกมา ว่านชิงซานก็พูดประจบประแจงเขา และอยากสานสัมพันธ์อันดีกับเขา จุดนี้ทำให้หลินเฟิงนึกดูแคลนว่านชิงซาน
เมื่อว่านชิงซานได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นของหลินเฟิง สีหน้าของเขาก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าที่จะโกรธ เพราะตัวเขาไม่มีคุณสมบัติจะไปโกรธหลินเฟิง คนตรงหน้าเขาสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาได้ในชั่วพริบตา ดังนั้นหลินเฟิงจึงไม่ใช่คนที่เขาสามารถยั่วยุได้ เพียงแค่หลินเฟิงชักดาบออกมาฟันแบบมั่วๆ เขาก็มีสิทธิ์ตายได้ทันที
ว่านชิงซานถอยหลังจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา
“พี่หลินเฟิง พวกเราไปกันเถอะ” ต้วนเฟิงพูดขณะที่ลากหลินเฟิงไปขึ้นรถม้า
“นายน้อย”
ตอนนี้เอง ลุงหวังที่นั่งอยู่หน้ารถม้าก็เรียกต้วนเฟิงไว้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมา แล้วถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือลุงหวัง?”
“นายน้อย พวกเราไม่ควรเดินทางไปพร้อมกับหลินเฟิง ให้รถม้ากับเขาสักคันและให้เขาไปกับสหายของเขาเถอะ” สิ่งที่ลุงหวังกล่าวทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
เขา้าขับไล่หลินเฟิง? นี่มันอะไรเนี่ย? การที่มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาร่วมเดินทางไปด้วย ก็น่าจะรับประกันถึงความปลอดภัยในการเดินทางของพวกเขาไม่ใช่หรือ?
หลินเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายสักนิด
“ลุงหวัง ทำไมท่านถึงพูดแบบนี้? ข้ากับพี่หลินเฟิงเข้ากันได้ดีมาก อีกอย่างการมีพี่หลินเฟิงร่วมเดินทางไปด้วย ถือว่าเป็โชคดีของเรา” ต้วนเฟิงก็ไม่เข้าใจความคิดของลุงหวังเช่นกัน
“นายน้อย จิตใจคนเราช่างเหี้ยมโหด ตอนนี้ท่านยังเด็กดังนั้นท่านจึงไม่เข้าใจ”
ลุงหวังส่ายหัวพลางทอดถอนหายใจ
“จอมยุทธ์หลินเฟิง เอาแบบนี้เถอะ รถม้าทั้งสองคันนี้ข้าให้ท่านเลือกก่อน หรือว่าท่านจะเอาไปทั้งสองคันก็ย่อมได้ ถือเสียว่าเป็การตอบแทน ท่านคิดว่าอย่างไร?” ลุงหวังกล่าวขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิง
หลินเฟิงขมวดคิ้วและถามลุงหวังว่า “ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร?”
จิตใจคนเราช่างเหี้ยมโหด? เขาหมายถึงเื่อะไร?
“ท่านจอมยุทธ์ยังต้องถามให้มากความอีกหรือ? ในเมื่อใจของท่านย่อมเข้าใจดีอยู่แล้ว” ลุงหวังกล่าวขณะส่ายหัว
“ข้าไม่เข้าใจ รบกวนท่านช่วยชี้แนะ”
“ท่านจอมยุทธ์ ในเมื่อท่านยืนกรานจะให้ข้าพูด งั้นข้าก็จะพูด ดังนั้นโปรดอย่าตำหนิข้า”
ลุงหวังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจ้องหลินเฟิงเขม็ง “ท่านจอมยุทธ์ โจรกลุ่มนี้แต่ละคนล้วนแข็งแกร่ง ถ้าหากพวกเขา้าปล้นหรือสังหารพวกเรา พวกเขาย่อมทำได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าตั้งต้นจนจบพวกเขาก็ไม่ได้ลงมือทำร้ายพวกเรา ดังนั้นพวกเราน่าจะหาคนไปเจรจากับอีกฝ่าย ถ้าหากพวกเขาไร้เหตุผลและ้าเพียงฆ่าคน เมื่อถึงตอนนั้นท่านจอมยุทธ์ก็ค่อยลงมือ แต่ท่านกลับ...” ลุงหวังถอนหายใจออกมา
“ท่านอยากเจรจากับพวกโจร?” หลินเฟิงรู้สึกมึนงงขึ้นมา
“นี่เป็เพียงความคิดเห็นของข้า แต่น่าเสียดายที่โจรกลุ่มนี้กลับถูกท่านสังหารไปทั้งหมด แม้แต่ชีวิตเดียวก็ไม่เหลือไว้ให้สอบสวน” ลุงหวังเน้นเสียงตรงประโยคสุดท้าย
แม้แต่ชีวิตเดียวก็ไม่เหลือไว้ให้สอบสวน?
ตอนนี้หลินเฟิงเริ่มเข้าใจความหมายที่ลุงหวัง้าจะสื่อ เขามองลุงหวังด้วยสายตาเ็า “ความหมายของท่านก็คือ ข้ากับโจรพวกนี้เป็พวกเดียวกัน? และข้าก็สังหารคนเพื่อปิดปาก?”
“ตอนที่ท่านกับหัวหน้าโจรกระซิบกระซาบกัน ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ได้ยิน”
ลุงหวังไม่ได้ตอบหลินเฟิงตรงๆ แต่ประโยคนี้ก็ทำให้หลินเฟิงไม่พอใจขึ้นมา
“งั้นท่านคิดว่า ข้ากำลังวางแผนอะไรอยู่?” หลินเฟิงแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ลุงหวัง ท่านพูดเกินไปแล้วนะ พี่หลินเฟิงไม่ใช่คนแบบนั้น หรือต่อให้เป็เช่นนั้น ด้วยศักยภาพของพี่หลินเฟิง เขาจำเป็ต้องวางแผนด้วยหรือ?”
ต้วนเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นายน้อย ท่านยังเด็กเกินไป ท่านมองความร้ายกาจของผู้คนไม่ออกหรอก” ลุงหวังส่ายหัวและถอนหายใจ
“นายน้อย ข้าต้องบอกท่านตรงๆ ท่านน่าจะรู้ว่าคนที่ให้ท่านไปที่เมืองหลวงก็คือญาติของท่าน ซึ่งท่านก็รู้ใช่ไหมว่าเขาเป็ใคร?”
“แน่นอนข้ารู้!” ต้วนเฟิงพยักหน้า
“ในเมื่อเป็แบบนี้ นายน้อยก็ควรจะรู้ว่าญาติของท่านมีความสัมพันธ์กับต้วนเทียนหลางอย่างไร?”
ต้วนเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมลุงหวังถึงดึงอ๋องเทียนหลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?!
“ข้ารู้ เขากับญาติข้าไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร” ต้วนเฟิงตอบกลับ
“นายน้อย ในเมื่อท่านรู้แบบนี้ ท่านก็ควรคิดดีๆ นิกายหยุนไห่ถูกเทียนหลางทำลาย แต่จอมยุทธ์หลินเฟิงกลับสามารถรอดพ้นจากวิกฤตนั้นมาได้ แล้วยังบังเอิญมาพบพวกเราที่เมืองหยุนหยาง หรือนายน้อยไม่รู้สึกว่ามันประจวบเหมาะเกินไปหรือ?”
ได้ฟังคำพูดของลุงหวังแล้ว หลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก ความหมายก็คือตัวเองทรยศนิกายและไปรับใช้อ๋องเทียนหลาง ด้วยเหตุนี้เทียนหลางจึงไว้ชีวิตเขาและจงใจส่งเขามาพบกับต้วนเฟิงที่เมืองหยุนหยาง?
“ลุงหวัง ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าหลินเฟิงอยากจะสังหารพวกเรา เขาก็สามารถสังหารพวกเราได้อย่างง่ายดาย”
“ถูกต้อง แต่นายน้อยอย่าลืมสิว่า เพราะเหตุใดญาติของท่านถึงอยากให้ท่านเดินทางไปเมืองหลวง? แล้วจอมยุทธ์หลินเฟิงก็บังเอิญมาพบพวกเรา จากนั้นก็สังหารโจรกลุ่มนี้ทิ้งเพื่อช่วยชีวิตพวกเรา เพื่อให้พวกเรารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของจอมยุทธ์หลินเฟิง…”
“พอได้แล้ว” หลินเฟิงพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเ็า เขาเข้าใจในสิ่งที่ลุงหวัง้าสื่ออย่างชัดเจน เอาล่ะ… ในเมื่ออยากให้เขาไป ก็ไม่ต้องพูดพล่ามไร้สาระให้มากความ
หลินเฟิงดึงฉากกั้นรถม้าขึ้นแล้วพูดกับเมิ่งฉิงว่า “ลงมาเถอะเมิ่งฉิง พวกเราต้องไปกันแล้ว”
“อืม” เมิ่งฉิงพยักหน้าและเดินลงมาจากรถม้า
“หลินเฟิง ให้ข้าพูดโน้มน้าวลุงหวังอีกครั้งเถอะ!” จิ้งหยุนกล่าวอย่างเร่งรีบ
“พี่หลินเฟิง ท่านและเมิ่งฉิงกลับเข้าไปในรถม้าเถอะ ข้าเชื่อใจท่าน!” ต้วนเฟิงกล่าว
“ไม่จำเป็ ข้า หลินเฟิงไม่หน้าหนาที่จะอยู่ต่อ” หลินเฟิงเหลือบมองลุงหวังเล็กน้อย จากนั้นก็มองต้วนเฟิงและจิ้งหยุนก่อนจะกล่าวว่า “แล้วเจอกันที่เมืองหลวง”
กล่าวจบ หลินเฟิงก็ดึงแขนเมิ่งฉิงให้เดินจากไป
“จอมยุทธ์หลินเฟิง บางทีข้าผู้เฒ่าอาจจะเข้าใจผิด แต่สิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ยังคงมีผลอยู่ ท่านสามารถเลือกรถม้าหนึ่งในสองคันนี้ได้” ลุงหวังกล่าว
“ไม่จำเป็”
หลินเฟิงไม่มีเหตุผลที่จะต้องตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่าย หนังหน้าของเขายังไม่หนาขนาดนั้น ตบหัวด้วยคำพูดดูถูกและลูบหลังด้วยรถม้า นี่เห็นเขาเป็อะไร?
หลังจากที่สังหารกองโจรไป ก็ยังคงเหลือม้าไว้ใช้สอยอยู่หลายตัว
“เ้าขี่ม้าเป็ไหม?” หลินเฟิงถามเมิ่งฉิง
“ไม่” เมิ่งฉิงส่ายหน้า
“แล้วเ้าจะสอนข้าขี่ม้าไหม?” เมิ่งฉิงมองหลินเฟิง
“สอนเ้าขี่ม้างั้นหรือ?” หลินเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วมองเมิ่งฉิงอย่างประหลาดใจ “เ้าอยากขี่ม้า?”
เมิ่งฉิงจ้องมองหลินเฟิงเขม็ง ทำให้หลินเฟิงยิ้มออกมา
มองเมิ่งฉิงที่ถอนหายใจใส่แล้วพยักหน้า ทำให้หลินเฟิงหัวเราะเบาๆ “ได้”
