“ผู้นำอยากเจอเธอ” ชายแก่บอกพลางปิดทางหนีของจ้าวเถี่ยจู้เอาไว้หมด
“ก็ได้ ยังไงก็คงเป็เื่ดีมากกว่าไม่ดีแน่ๆ ถึงเป็เื่ไม่ดีก็คงจะหลบไม่พ้นอยู่ดี” เขากัดฟันพูดรับคำแล้วเดินไปที่บ้านพักตามหลังชายแก่ไปเมื่อถึงเขาเดินขึ้นไปที่ชั้นสองและเข้าไปในห้องหนังสือซึ่งในห้องมีแค่ผู้บัญชาการเฉินนั่งอยู่คนเดียวเท่านั้นไม่มีเหลยจื่อนั่งอยู่ด้วย
“เธอรู้ไหมว่าสร้างเื่ใหญ่แค่ไหนไว้!!” ผู้บัญชาการเฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ก็แค่ฆ่าเศษสวะคนหนึ่งเอง” เขาตอบพร้อมกับเลิกคิ้วไปด้วย
“ฮ่าๆ เศษสวะ เธอรู้ไหมว่าพ่อของเศษสวะนั่นคือคนใหญ่คนโตของยุโรป? รู้ไหมว่าในประเทศ เศษสวะนั่นมีค่ามากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านหยวนเลยนะรู้ไหมว่าเศษสวะนั่นมีหุ้นอยู่ในบริษัทมากกว่าสิบห้าบริษัทแล้วเธอรู้ไหมว่าแค่เขาตายไปคนเดียวทำให้ประเทศต้องเสียหายไปสองแสนล้านหยวน? แบบนี้ยังจะเรียกว่าเศษสวะอยู่อีกไหม?” ผู้บัญชาการเฉินพูดอย่างโมโหสุดขีด
“อย่าใช้ประโยคเปรียบเทียบแบบนี้เลย ฆ่าแล้วก็แล้วไปเถอะผมคิดว่าเขาเป็เศษสวะสมควรถูกฆ่า ถ้าพ่อเขาอยากจะฆ่าผม ผมก็แค่ฆ่าเขาอีกคน ง่ายๆแค่นั้น คุณจะเอายังไงแล้วแต่คุณเลย” จ้าวเถี่ยจู้พูดอย่างไม่สนใจอะไรราวกับว่ายังไงผู้บัญชาการเฉินก็ต้องอยู่ข้างตนอยู่แล้วและก็เป็อย่างที่ชายหนุ่มคิดไว้ไม่มีผิดถ้าอีกฝ่ายอยากจะฆ่าเขาหรืออยากส่งเขาให้หลีหลงป้าล่ะก็ อีกฝ่ายคงทำไปนานแล้ว แต่นี่กลับพูดประโยคเปรียบเทียบเหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อจะปูทางไปถึงสิ่งที่อยากจะพูดมากกว่าการพูดแบบนี้ตอนประถมเขาก็เรียนมา เดี๋ยวอีกสักพักเขาค่อยเพิ่มเงื่อนไขสำหรับข้อต่อรองที่อีกฝ่ายบอกมาก็ได้แบบนี้เขาก็เคยเรียนมาเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าจ้าวเถี่ยจู้ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวตนเลยสักนิดผู้บัญชาการเฉินจึงอดโมโหไม่ได้จริงๆ ไอ้หนุ่มคนนี้จะเห็นแก่หน้าเขาสักหน่อยก็ไม่ได้ จะทำเป็กลัวสักนิดก็ไม่มี คนหนุ่มสมัยนี้นับวันยิ่งแข็งขึ้นทุกวันผู้บัญชาการเฉินได้แต่คิดในใจก่อนจะพูดต่อ “ยังดีที่มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้ตัวตนเธอคนอื่นยังไม่มีใครรู้ ความจริงแล้วถ้าเหลยจื่อไม่เล่าเื่เธอให้ฉันฟังฉันก็คงเดาไม่ได้ว่านายคือโหมวอิ่ง คนอื่นก็คงจะไม่มีทางรู้ได้เหมือนกันแต่ก็ยังแน่ใจตอนนี้ไม่ได้ดังนั้นเธอจึงต้องมีตัวตนที่สำคัญและปลอดภัยอีกตัวตนหนึ่ง”
“ตัวตนอะไรครับ?”
“สำนักงานปฏิบัติการพิเศษ” ผู้บัญชาการเฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมก็เป็อยู่แล้วไหมครับ” จ้าวเถี่ยจู้พูดอย่างสงสัย
“แต่นั่นเธอแค่เป็หลอกๆ แต่ตอนนี้ฉันหมายถึงให้เธอเป็จริงๆ! คอยจัดการเื่ให้ประเทศ แบบนี้ฉันจะได้ช่วยเธอปิดเื่แก้แค้นด้วยแล้วอีกอย่างถ้าตัวตนของเธอถูกเปิดเผย จะได้มีโอกาสรอดอีกด้วย” ผู้บัญชาการเฉินอธิบาย “ทำไม่ทำแล้วแต่เธอนะฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเธอตายเร็ว มันคงจะน่าเสียดายมาก”
เขาขมวดคิ้วพร้อมกับคิดตาม ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดตอนนี้เขาเป็แค่คนในสำนักงานปฏิบัติการพิเศษแบบหลอกๆ เท่านั้นเจอคนธรรมดายังพอช่วยได้ แต่ถ้าเจอคนใหญ่ๆ คงจะช่วยอะไรไม่ได้แล้วอีกอย่างสำนักงานปฏิบัติการพิเศษคงไม่ช่วยพูดเพื่อคนที่ไม่ได้ช่วยงานจริงๆหรอก ดังนั้นที่ผู้บัญชาการเฉินพูดมาก็มีเหตุผล ถ้าเขาเข้าร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษแล้วล่ะก็ผลประโยชน์ของเขาก็จะกลายเป็ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไปด้วยแล้วถ้าเกิดปัญหาจริงสำนักงานปฏิบัติการพิเศษคงจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้ เพียงแต่เขาอยู่แบบอิสระมาหลายปีไม่ชอบถูกผูกมัดเลยจริงๆ
ผู้บัญชาการเฉินมองสีหน้าของจ้าวเถี่ยจู้ที่เหมือนคิดไม่ตกจึงพูดขึ้นมาอีก “จริงๆแล้วคนในหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสามารถทำงานได้อย่างอิสระทุกคนที่อยู่ในหน่วยมีหน้าที่ดูแลแต่ละเขตเท่านั้น ถ้าเกิดเธอเข้าร่วมล่ะก็ฉันสามารถทำให้เธอมาดูแลเมืองฝูเจี้ยนได้แค่นี้เธอก็สามารถทำอะไรก็ได้ในเมืองนี้ได้แล้วเพียงแต่เวลาที่สำนักงานความมั่นคงส่งงานมาให้นาย นายทำให้สำเร็จก็พอ”
“ตกลง” เมื่อได้ยินที่ผู้บัญชาการเฉินพูดออกมาแบบนั้นเขาจึงตอบตกลงทันที ไม่เพียงแค่ไม่ผูกมัด แต่เรียกหาแค่เวลาที่้าเท่านั้น เพื่อแลกกับการคุ้มครองของหน่วยปฏิบัติการพิเศษแล้วล่ะก็ ถือว่าคุ้ม
“ฉลาดมาก” ผู้บัญชาการเฉินพูดชมแล้วพูดต่อ “ในเมื่อเธอตกลงแล้วงั้นก็รอให้แผลหายดีก่อนฉันค่อยให้เธอไปพบเพื่อนของฉันที่สำนักงานความมั่นคงในปักกิ่งพอถึงตอนนั้นเธอก็จะได้เข้าร่วมสำนักงานปฏิบัติการพิเศษอย่างเป็ทางการแล้ว”
“ต้องไปปักกิ่ง? ทำไมต้องยุ่งยากแบบนั้นด้วย” เขาถามอย่างคร่ำครวญ
“ก็ต้องไปสัมภาษณ์ไง เข้าใจไหม? แต่ฉันบอกกับคนทางนั้นไว้แล้วเธอแค่ไปพอเป็พิธีเท่านั้น ถ้าแค่นี้นายยังไม่ไปมันจะเป็การดูถูกสำนักงานปฏิบัติการพิเศษเกินไป แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีก เฮ้อคนสมัยนี้นี่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย” ผู้บัญชาการเฉินพูดอย่างสั่งสอน
จ้าวเถี่ยจู้ก้มหัวฟังอย่างตั้งใจเพียงแต่ดวงตากลอกไปมาไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“เอาล่ะ วันนี้พูดแค่นี้แหละ เธอจะกลับไปพักที่โรงพยาบาลต่อไหม?”
“ผมจะกลับบ้าน” เขารีบตอบ
“หืม? แล้ววันนี้เจอเสียวอิ่งหรือยัง” ผู้บัญชาการเฉินถามต่อ
“เสียวอิ่ง? ใครกัน?”
“ก็โอวหยางอิ่งไง”
“อ่อ เห็นแล้วครับ ชื่อเสียวอิงนั่นเอง แหมผู้บัญชาการเฉินเนี่ยไม่คิดเลยว่าจะยังเตะปี๊บดังอยู่” จ้าวเถี่ยจู้พูดพร้อมทั้งยิ้มออกมาอย่างมีนัย
“หัวเราะอะไร นั่นหลานฉันเอง เป็ลูกพี่ลูกน้องของเหลยจื่อปีนี้เพิ่งจบจากมหาลัยแพทย์มาฝึกงานที่นี่ เธอนี่อายุยังน้อยทำไมถึงคิดเื่แบบนี้ได้ ฉันยังคิดจะแนะนำพวกเธอให้รู้จักกันอยู่เลย” ผู้บัญชาการเฉินพูดด้วยท่าทางโกรธเคือง
“แหม ผมแค่ล้อเล่นเอง อยากให้คุณหัวเราะน่ะ โบราณว่าไว้หัวเราะเยอะๆจะดูหนุ่มขึ้น คุณก็หัวเราะเยอะๆ หน่อยจะได้ดูหนุ่มขึ้นยังไงล่ะ แล้วบ้านของเสียวอิ่งอยู่ที่ไหนละเบอร์อะไรด้วยไม่งั้นก็บอกคิวคิวก็ได้” เขาพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ออกไป ไป๊”
เมื่อโดนไล่เขาก็รีบออกจากห้องทันที
“จ้าวเถี่ยจู้เนี่ยนะ” ผู้บัญชาการเฉินพูดพร้อมทั้งส่ายหัวอย่างอ่อนใจเขาถอนหายใจออกมา คำขอจากเพื่อนเก่าเขาก็ทำสำเร็จแล้วเพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่นะ
“ทำไมต้องสนใจด้วยว่าเขามีที่มาอย่างไรล่ะครับ” ชายแก่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
“เธอว่ายังไงล่ะ?”
“ถึงภายนอกจะดูเหลวไหล แต่ภายในกลับดูเหมือนดวงดาวที่ส่องสว่างถึงจะได้รับความลำบากกี่ครั้งแต่ก็จะลุกขึ้นได้และจะแข็งแรงขึ้นทุกๆ ครั้งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะกลายเป็เพชรเม็ดงามเม็ดหนึ่งเพราะเหตุนี้คุณถึงยอมลงทุนในตัวเขา” ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ก็หวังว่าจะเป็อย่างนั้น”
จ้าวเถี่ยจู้เรียกรถแท็กซี่กลับไปที่บ้านเมื่อถึงไปก็เห็นว่าทั้งสามสาวกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ แต่เมื่อเห็นว่าเขากลับมาใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทั้งสิ้น แม้แต่หลิงเอ๋อร์ที่ปกติสนิทกับเขามากมาตอนนี้กลับมองหน้าเขาแค่แวบเดียวแล้วก็ไม่สนใจอีกเลย
“สวัสดีสาวสวยทั้งสาม” เขาทักทายแต่ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคน
“เอ่อ พวกคุณกินข้าวหรือยัง พวกเราไปกินข้าวกันข้างนอกดีไหม” ก็ยังคงไม่มีใครสนใจเขา
“โอเค ผมผิดเอง จะฆ่าจะแกงกันก็แล้วแต่เลย” เขาพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“เหอะ” สามสาวทำเสียงเชิดใส่แล้วหันหลังเดินขึ้นห้องไปเลย
เห็นดังนั้นเขาจึงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแต่ก็แอบยิ้มออกมา
มีคนคอยใส่ใจ มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง