“นางคือมารดาของข้า”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบาราวกับกระซิบ
เยว่ซินเหยารู้สึกคาดไม่ถึงกับคำตอบนี้ แม้ว่านางจะคาดเดาเอาไว้บ้างแล้วว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคนผู้นั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็บุตรชายของอีกฝ่าย
สายตาที่เยว่ซินเหยาใช้มองมู่เฟิงพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ในการต่อสู้ครั้งนั้น นางพ่ายแพ้และถูกผู้ที่มีปีกสีขาวสองคนจับตัวไป”
เยว่ซินเหยากล่าวขึ้น
“เหมือนจะเป็เผ่าทูต์”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ความแค้นเคืองภายในใจของมู่เฟิงก็พลันปะทุขึ้น ความ้าที่จะสังหารยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
ทั้งหมดเป็เพราะเผ่าทูต์ที่ทำให้เขาและมารดาต้องพรากจากกันั้แ่เขายังเด็ก
เยว่ซินเหยารับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นและจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวของเด็กหนุ่ม นางจึงกล่าวว่า “คนพวกนั้นทรงพลังมาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่เหนือจินตนาการของเ้าไปไกล เ้าในตอนนี้ยังอ่อนแอไม่ต่างไปจากมดตัวหนึ่งเท่านั้น”
“ข้ารู้ แต่สักวันข้าจะบุกไปที่นั่น สังหารพวกมันให้สิ้นแล้วช่วยมารดาของข้าออกมา”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่คำพูดของเขากลับมั่นคงราวกับไม่มีวันสั่นคลอน
มู่เฟิงดึงพลังสายเืชูร่าออกมา ก่อนที่ปีกสีโลหิตจะงอกออกจากแผ่นหลังของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็บินร่อนลงไปยังูเาเบื้องล่างที่แม่น้ำและผืนดินได้พังทลาย
เมื่อมองไปที่รอยแยกกลางหุบเขาบนพื้น ดวงตาของมู่เฟิงก็พลันแดงก่ำขึ้นมา เขาร่อนตัวลงไปบนพื้นดินจากนั้นก็คุกเข่าลงและหมอบกราบสามครั้ง
“ท่านแม่ ท่านต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเผ่าทูต์ แต่ลูกกลับไม่สามารถช่วยท่านออกมาได้ ถือว่าลูกอกตัญญูแล้ว
“ท่านแม่โปรดวางใจเถิด ตอนนี้เฟิงเอ๋อร์สบายดี เพียงแต่ท่านพ่อ...ท่านแม่ ท่านโปรดรอเฟิงเอ๋อร์อีกหน่อย สักวันหนึ่งเฟิงเอ๋อร์จะต้องช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์นี้ให้ได้ ทว่าหากท่านต้องประสบเคราะห์ไปเสียก่อน ลูกก็จะใช้เืเนื้อของเผ่าทูต์มาย้อมผืนนภา และฝังกลบพวกมันให้หายไปทั้งเผ่าเพื่อท่าน!”
หลังจากมู่เฟิงกล่าวทั้งน้ำตาจบแล้ว เขาก็โขกศีรษะลงบนพื้นสามครั้ง จากนั้นเขาก็กำดินขึ้นมาและสูดดมกลิ่นของมันเข้าไป ราวกับว่าเขา้าซึมซับกลิ่นอายของมารดาให้ได้มากที่สุด
เด็กหนุ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากไหมมาห่อดินและเก็บมันเอาไว้ในแหวนเฉียนคุน
เยว่ซินเหยาร่อนตัวตามลงมา นางเฝ้ามองการกระทำของมู่เฟิงเงียบๆ ดูเหมือนว่าในดวงตาของนางจะมีร่องรอยของความเศร้าที่สะท้อนออกมาจากส่วนลึกและไม่อาจมองเห็นได้ง่ายๆ
มู่เฟิงหยัดกายลุก เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังเอ่อคลออยู่ในดวงตา จากนั้นก็หันไปยิ้มให้เยว่ซินเหยาและกล่าวว่า “ทำให้ผู้าุโซินเหยาต้องเห็นเื่น่าขบขันแล้ว”
เยว่ซินเหยาส่ายหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ขอบคุณผู้าุโที่ช่วยชีวิต แต่ข้าเกรงว่าข้าคงจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ครั้งนี้ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจผู้าุโ ในอนาคตเมื่อมู่เฟิงมีกำลังมากพอ ข้าจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
มู่เฟิงกล่าวกับเยว่ซินเหยาว่าเขามีแผนที่จะจากไป
“อาการาเ็ของเ้ายังไม่หายดี สถานที่แห่งนี้คือส่วนลึกของเทือกเขาเทียนอวิ่น สภาพเ้าในตอนนี้ไม่สามารถรับมือกับอสูรร้ายที่อยู่ภายนอกได้ ดังนั้นตอนนี้เ้ายังจากไปไม่ได้ รอถึงพรุ่งนี้ข้าจะส่งเ้าออกไปเอง”
เยว่ซินเหยากล่าวด้วยท่าทีที่เป็กังวล
มู่เฟิงมองาแบนหน้าอกของเขา ก่อนจะยิ้มเจื่อนออกมาและถอนหายใจ “เช่นนั้นมู่เฟิงต้องขอรบกวนผู้าุโอีกสักวันขอรับ”
หลังจากนั้นมู่เฟิงและเยว่ซินเหยาก็กลับไปที่หุบเขาเดิม จากนั้นมู่เฟิงก็เริ่มฟื้นฟูพลังปราณของตัวเอง พร้อมกับพักฟื้นอาการาเ็
สำหรับสตรีลึกลับผู้นี้ ภายในใจของมู่เฟิงยังนึกสงสัยเื่ของนางอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือวรยุทธ์ของนางต้องไม่ต่ำกว่าระดับหยวนตานอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะสามารถลอยตัวกลางอากาศได้อย่างไร
มู่เฟิงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่เพราะนางเคยพบมารดาของเขามาก่อน บางทีนางอาจจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับมารดาของเขาก็ได้
หากว่านาง้าทำร้ายเขานางก็คงลงมือไปแล้ว ถึงอย่างไรมู่เฟิงก็ไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของนางได้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็ต้องกังวลเื่ความปลอดภัยของตัวเอง
วันเวลายังคงล่วงเลยผ่านไป เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบวันแล้ว
ในที่สุดก็ครบกำหนดเวลาสิบวันของการประเมิน เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในเทือกเขาเทียนอวิ่นต่างก็เริ่มเดินทางกลับออกมาทีละกลุ่ม
และในตอนที่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายกลับมาออกจากป่า สภาพของพวกเขาก็ดูไร้เรี่ยวแรงต่างจากตอนที่เข้าไปอย่างลิบลับ แต่ละคนมีรอยาแบนตัวไม่มากก็น้อย
ใน่เวลาสิบวันของการประเมินครั้งนี้ ทำให้กลุ่มคนที่ยังไม่เคยสังหารมาก่อนและมีจิตใจที่อ่อนไหวเติบโตขึ้นเป็อย่างมาก พวกเขาเริ่มมีร่องรอยของจิตสังหารกันขึ้นมาบ้างแล้ว
ด้านนอกสำนักศึกษาเทียนอวิ่น พื้นที่บริเวณโล่งกว้างใต้กำแพงเมือง เหล่าบัณฑิตที่ทยอยออกมาจากป่าต่างก็มารวมตัวกันที่นี่
“สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
เด็กหนุ่มในชุดคลุมที่ขาดวิ่นก้าวเดินออกมาจากูเา ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังสาดแสงอยู่บนท้องฟ้า ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลพรากออกมา
ด้านข้างของเขายังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่แขนซ้ายหักไปข้าง อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเหมือนกับเขา “ถูกต้อง ช่างดีเหลือเกินที่มีชีวิตรอดออกมาได้”
การประเมินในครั้งนี้ถือเป็การเปิดโลกให้พวกเขาอย่างแท้จริง การที่สามารถเอาชีวิตรอดจากสิบวันที่ผ่านมานี้ได้ ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็อย่างมาก นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความโหดร้ายของชีวิตในโลกนี้
มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และบรรดาศิษย์ตระกูลมู่อีกสิบสองคนต่างก็เดินออกมาจากูเาด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
เวลาผ่านมาสองวันแล้ว แต่พวกเขายังไม่พบมู่เฟิงเลย
“เฮ้ นั่นมันกลุ่มคนตระกูลมู่ไม่ใช่หรือ อะไรกัน ทำไมคนของพวกเขาถึงหายไปสามคน มู่เฟิงกับอีกสองคนหายไปไหนกัน?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ ด้วยความแปลกใจ เป็กลุ่มคนจากจวนเป่ยอ๋องที่มีจำนวนยี่สิบกว่าคน เฉินเซิ่งมองไปยังกลุ่มศิษย์ตระกูลมู่ที่เวลานี้มีใบหน้าที่หดหู่เป็อย่างยิ่ง เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มออกมาทันทีเมื่อภายในใจของเขาคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงประสบเหตุบางอย่าง
“เฮ้ มู่เฟิงเล่า?”
ลู่โหย๋วเยี่ยและกลุ่มศิษย์ตระกูลลู่ก็เดินผ่านมาทางนี้เช่นกัน พวกเขามองมาทางตระกูลมู่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเมื่อเห็นร่องรอยาแบนตัวศิษย์ตระกูลมู่ เขาก็กล่าวออกมาอย่างยินดีว่า “กลิ่นอายของหมาป่าทมิฬ พวกเ้าได้พบกับฝูงหมาป่าทมิฬอย่างนั้นหรือ?”
มู่ขวงและศิษย์ตระกูลมู่ต่างก็เหลือบตามองลู่โหย๋วเยี่ยกับเฉินเซิ่งอย่างเ็าโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ฮ่าๆ ข้ารู้แล้ว เ้าเด็กมู่เฟิงคงถูกฝังกลบลงในท้องของหมาป่าแล้วสินะ?”
เฉินเซิ่งหัวเราะออกมาเสียงดัง และเสียงของเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็จำนวนมาก
“หุบปาก พี่เฟิงจะถูกฝังกลบลงในท้องหมาป่าได้อย่างไร? หากเ้ายังพูดออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เหล่าจือผู้นี้จะสังหารเ้าเสีย”
มู่ขวงตวาดออกมาอย่างเ็า
“หึ”
เฉินเซิ่งแค่นยิ้มออกมาอย่างเ็าเช่นกัน โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
“เอาละ บัณฑิตใหม่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่”
เสียงของผู้าุโเจิ้งพลันดังขึ้นจากบนกำแพง จากนั้นบัณฑิตทุกคนที่ออกมาจากูเาก็ไปรวมตัวกันในทันที ขณะนี้เป็เวลาบ่ายแล้ว แทบจะไม่มีใครออกมาจากูเาอีก
ผู้าุโเจิ้งกวาดตามองฝูงชนและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าดีใจมากที่พวกเ้าสามารถผ่านการประเมินออกมาได้อย่างปลอดภัย ขอเพียงพวกเ้าสามารถรอดกลับมาได้ หลังจากกลับไปถึงสำนักศึกษาพวกเ้าก็จะได้รับคะแนนหนึ่งพันคะแนน”
เมื่อได้ยินดังนั้นบัณฑิตส่วนใหญ่ก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที การผ่านสิบวันหฤโหดนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว
“ความโหดร้ายของโลกนี้ก็เหมือนกับ่เวลาในเทือกเขาเทียนอวิ่นที่พวกเ้าได้ประสบพบเจอมา ผู้อ่อนแอย่อมเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง สำหรับบัณฑิตที่มาจากตระกูลร่ำรวยคงไม่เคยเห็นฉากการนองเืแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อผ่านการประเมินนี้มาได้ก็ถือว่าพวกเ้าได้เติบโตขึ้นแล้ว”
“เอาละ ข้าไม่พูดมากแล้ว ตอนนี้พวกเ้าแบ่งกลุ่มออกเป็สิบกลุ่ม เบื้องหน้าคือผู้ดูแลที่จะบันทึกผลผลึกอสูรและสิ่งที่พวกเ้าได้รับกลับมา ทางสำนักศึกษาจะมอบรางวัลให้แก่สิบอันดับแรก ส่วนสามอันดับแรกจะได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬ เอาละ เชิญ”
หลังจากผู้าุโเจิ้งกล่าวจบ พวกบัณฑิตต่างก็แบ่งกลุ่มออกเป็สิบกลุ่ม ก่อนจะเดินต่อแถวเข้าไปหาผู้ดูแลที่กำลังตรวจสอบและทำการจดบันทึก
ผู้ดูแลเ่าั้เริ่มตรวจนับและจดบันทึกสิ่งที่บัณฑิตได้รับกลับมาจากเทือกเขาเทียนอวิ่น เพื่อทำการนับคะแนน
ลู่โหย๋วเยี่ย เฉินเซิ่ง หลี่ว์หยาง รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็นำกลุ่มคนของตนเข้าแถวเพื่อจดบันทึก แต่ศิษย์ตระกูลมู่กลับยืนนิ่งไม่ขยับ พวกเขาไม่ได้ไปเข้าแถวเพื่อทำการตรวจสอบ การกระทำนี้ทำให้บัณฑิตคนอื่นๆ ต่างก็เหลือบมองด้วยความประหลาดใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้