สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 35
แสงร้อนแรงของพระอาทิตย์ในตอนเที่ยงวันทำเอาคนที่ยืนท้าทายมันอยู่ต้องถอยร่นกลับไปยืนยังริมทางเดินใช้เงาของเสาอาคารต้นใหญ่เป็ที่กำบัง เขายืนอยู่ตรงนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว มั่นใจว่าน่าจะเกินครึ่งชั่วโมงได้ ั้แ่ที่ร้านรถเข็นไอศกรีมเ้าดังยังจอดขายให้กับเด็กในซอยจนกระทั่งตอนนี้ป้าเข็นรถหายลับไปแล้วเขาก็ยังคงยืนอยู่ ด้วยเพราะม่านหยี่ยังอยู่ในร้านขนมเล็ก ๆ นั่นและเขาก็มั่นใจมากว่าม่านคงไม่สังเกตเห็นเขา คำที่เคยพูดกับพี่ชายเมื่อหลายวันก่อนไร้ความหมาย ที่เขาบอกกับไอ้อัสว่าเขาไม่อยากเจ็บเพราะม่านหยี่อีกแล้ว วันต่อมาเขากลับเดินกลับมายังซอยนี้ที่เคยเดินตามม่านหยี่มาจนกระทั่งรู้ว่าม่านทำงานที่ร้านขายขนมเล็ก ๆ บริเวณหัวมุมถนน และพักอยู่ที่ชั้นสามของอาคารพาณิชย์เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ฝั่งเดียวกันนั้นไม่ได้ไกลจากที่ทำงานมากมาย ม่านหยี่ไม่สบายอะไรสักอย่างซึ่งเขาก็ไม่รู้ สมองสั่งไม่ให้สนใจแต่หัวใจกลับรู้สึกตรงกันข้าม เขาตามม่านมาได้หลายวันแล้วจนไอ้อัสเริ่มสงสัยและรายนั้นก็รู้ได้ภายในวันเดียวว่าน้องชายรีบออกจากบ้านั้แ่เช้าตรู่และกลับบ้านเสียเย็นย่ำไปทำไมในเมื่อไม่มีธุระอื่นใดนอกจากคอยโทรไปถามไถ่อาการเด็กเข้มกับพยาบาลที่เขาจ้างมาดูแล สุดท้ายไอ้อัสก็เอาเื่นี้มาล้อเขาจนได้ อาการเด็กเข้มที่แขนหักก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ดูดำดูดีมันเสียหน่อย แต่ตอนนี้มันก็กลับมาแสบซนได้เหมือนเดิมไม่เพียงเท่านั้นยังไปแอบสืบมาว่ามีต้นมะยมขึ้นอยู่ไม่ไกลจากห้องพัก หากเขาอยากจ้างให้มันไปเก็บมาให้เด็กเข้มก็พร้อมรับคำสั่ง...ก็นั่นแหละนะ
แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคืออาการปวดเศียรเวียนเกล้า อยากกินของเปรี้ยวหรือเหม็นเบื่ออาหารของนายหัวรามสูรเริ่มจะดีขึ้น เขาสามารถกินได้เยอะกว่าตอนที่อยู่บนเกาะหนำซ้ำยังเรียกของหวานตบท้ายทุกครั้งทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนเขาเป็คนไม่ชอบกินของหวานสักเท่าไหร่ และแน่นอนว่าของหวานที่อยากกินในทุกครั้งหลังอาหารต้องมาจากร้านที่ม่านหยี่ทำงานอยู่เท่านั้น เขาสามารถรู้ได้เลยหากไม่ใช่รสชาติของร้านที่ม่านทำอยู่เขาก็จะปฏิเสธและทำตัวเป็เด็กเอาแต่ใจนิสัยไม่ดีให้คนไปซื้อมาให้ใหม่เน้นย้ำว่าต้องเป็ร้านที่ม่านทำงานอยู่เท่านั้นเขาถึงจะยอมกิน คุณนายรุ่งฤดีที่ไม่รู้เื่ราวทั้งหมดนี้ยังแปลกใจที่ลูกชายมีอาการแปลกไปแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เขายังคงชอบกินชผลไม้รสเปรี้ยวอยู่และยังมีอาการพะอืดพะอมและเวียนหัวแต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ ทว่า...ทุกครั้งที่เป็มันกลับรุนแรงขึ้น
นายหัวรามสูรต้องเริ่มพกยาดมและยาหอม อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็ลม คงเพราะแดดที่ร้อนจัดและการยืนอยู่กับที่นานเกินไปถึงแม้นายหัวรามสูรจะรู้ดีว่าตนเองนั้นทนแดดทนฝนทนมือทนตีนมากก็ตามที แต่คนเราเวลาอ่อนแอมันก็เป็กันได้ทั้งนั้น จะแปลกอะไรหากนายหัวรามสูรจะยืนตากแดดเพียงแค่สามสิบนาทีแล้วรู้สึกหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็ลม...
คนอื่นอาจพกสมุดจด ผ้าเช็ดหน้าหรือขนมนมเนยติดมือส่วนของนายหัวรามสูรนั้นเป็ยาหอมกลิ่นแรงที่เขาแอบไปขโมยมาจากกระเป๋าของคุณนายรุ่งฤดี ร่างสูงยืนดมยาอยู่ข้างถนนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ให้กลิ่นหอมเย็นของมันตีขึ้นสมองให้สมองรู้สึกตื่นตัว แต่เขากลับต้องรู้สึกตื่นตัวมากกว่านั้นเพราะอยู่ ๆ ม่านหยี่ก็เปิดประตูแล้วเดินออกมาจากร้านขนม รามสูรต้องฉากตัวเองไปยืนหลบที่หลังเสาต้นใหญ่รอให้ม่านเดินผ่านไปก่อนไม่อย่างนั้นถ้าหากโดนจับได้ขึ้นมาคงแย่...
แย่ต่อหัวใจ
“กระจอก”
“...มึงว่าใครกระจอก”
“มึงไง”
“...”
“ปากบอกว่าไม่ แต่ตัวไปเดินตามเขาต้อย ๆ เหมือนหมา”
“พูดได้พูดไป อย่าให้ถึงทีมึงแล้วกัน”
“หึ...กูไม่มีวันนั้นหรอก”
“...”
“และไอ้การที่มึงไปตามเขาแบบนี้ใช่ว่าจะทำให้เื่ทุกอย่างมันดีขึ้น ทางที่ดีมึงควรเปิดใจหาคนใหม่จะดีกว่า”
“มึงพูดเหมือนมันง่าย” เขาอยากหัวเราะให้ฟันร่วงไอ้อัสมันพูดเหมือนทุกอย่างในโลกง่ายไปหมด พูดไม่ดูตัวเองเลยว่ามันก็ไม่ได้มีสภาพต่างไปจากเขาสักเท่าไหร่ ปิดตาปิดใจและไม่คิดจะรับใครเข้ามาอยู่ในชีวิตอีกแล้ว
“ก็...ไม่ง่าย แต่ไม่ได้ยาก” อัสนีไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ช่างหัวกูเถอะ กูจะตามเขาแค่ไม่กี่วันหรอกก็แค่...”
“เห็นกันทุกวันอย่างนี้ใครมันจะไปตัดใจได้”
“เื่ของกู”
“เออ”
“แล้วแม่ล่ะ”
“คุณนายลงไปคุมสวนอยู่ข้างล่าง กูมีประชุมอีกตอนบ่ายสามถ้าคุณนายกลับมาก็บอกด้วย”
“กูว่าจะเข้าประชุมด้วย”
“ตามใจมึงแล้วกัน”
สองพี่น้องนั่งทำงานของตนเงียบ ๆ อยู่คนละมุมของห้องไม่นานหลังจากนั้นก็ถึงเวลาต้องเข้าประชุม การประชุมระหว่างผู้บริหารและหัวหน้าทีมดำเนินไปั้แ่่บ่ายคล้อยแสงตะวันยังคงแรงกล้าจนกระทั่งรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน ทั้งพนักงานและผู้บริหารสองพี่น้องแห่งชัยพิพัฒน์กรุปต่างก็พากันเหนื่อยล้า อัสนีกล่าวขอบคุณทุกคนก่อนที่การประชุมจะเสร็จสิ้นลงในขณะที่เข็มสั้นของนาฬิกาแขวนผนังชี้ไปยังเลขหกและเข็มยาวชี้ไปยังเลขสิบเอ็ด
“อุบ...แหวะ!!!”
เขาอาการไม่ดีขึ้นเลยหลังจากวันที่ไปหาหมอ ออกจะแย่ลงด้วยซ้ำเมื่อเทียบกันแล้ว หลายวันก่อนเขายังสามารถกินอิ่มนอนอุ่นไม่รู้สึกป่วยหนักเท่านี้ เช้าวันนี้ม่านตื่นมาด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวและต้องวิ่งโร่มาโก่งคออ้วกที่โถส้วมั้แ่เช้า เขาเหม็นอาหารไปเสียหมดทุกอย่างได้กลิ่นเป็ไม่ได้ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วกโอ้กอ้ากตลอดเวลา ขนาดที่ว่ากลิ่นกะทิที่ร้านขนมก็เหม็นบูดจนสุดจะทน ของหวานว่าหนักแล้วได้กลิ่นของคาวนั้นหนักกว่าร้านข้าวมันไก่อาแปะที่เคยอุดหนุนเป็ประจำก็คาวคลุ้งอยู่ในจมูกกลิ่นน้ำซุปจากที่เคยหอมกลับกลายเป็เหม็น ร้านอาหารตามสั่งและข้าวแกงก็เช่นเดียวกัน กลายเป็ว่าม่านหยี่กินไม่ได้ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับเพราะรู้สึกตัวรุม ๆ ร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนจะเป็ไข้ตลอดเวลา เขากินได้แค่น้ำเปล่าและมะม่วงเปรี้ยวที่ซื้อเอาไว้ติดห้องทำให้ร่างกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
ม่านนอนมองเพดานนิ่ง ๆ เขาไม่รู้ว่าตนเองนั้นป่วยเป็อะไร หรือต้องขอลาไปหาหมออีกสักครั้งให้คุณหมอตรวจร่างกายให้ละเอียดเพราะคราวที่แล้วที่ไปก็ไม่ได้ตรวจอะไรละเอียดมากนักทั้งอาการเขายังไม่หนักเท่านี้ ใจหนึ่งก็กลัวว่าตนเองจะป่วยเป็โรคร้ายเหมือนกับมารดาที่เพิ่งเสียไป แต่อีกใจก็คิดว่ามันอาจเป็เื่ดีก็ได้หากว่าเขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้สั้นกว่าที่เคยคิดเอาไว้
“ถ้ารามยังอยู่ด้วยกันตอนนี้ก็คงจะดี”
ม่านเผลอพูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะเอามือตีปากตัวเองไว้ไม่ให้พูดอย่างนั้น ดีแล้วที่รามไม่อยู่ ดีแล้วที่รามไป เขาอยู่คนเดียวได้และรามก็อยู่คนเดียวได้เช่นกัน การไม่มีกันและกันในตอนนี้ไม่ใช่เื่ดีที่สุดหากแต่เป็สิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่ควรทำ ดีแค่ไหนแล้วที่รามกับแม่ไม่เอาตำรวจมาลากคอเขาเข้าตะราง ถ้าหากเป็อย่างนั้นคงแย่ยิ่งกว่านี้ คนป่วยนอนคิดไปสะระตะจนผล็อยหลับไปในที่สุด
“หนุ่มมาอีกแล้วนะวันนี้ อากาศร้อนนะไม่อยากกินไอติมหน่อยเหรอ ไอติมป้าอร่อยนา” วันนี้ก็เป็อีกหนึ่งวันที่นายหัวรามสูรยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของร้านขายขนม น่าแปลกที่วันนี้ม่านหยี่ไม่มาทำงานทั้ง ๆ ที่ร้านก็ไม่ได้หยุด หรืออาจเป็วันหยุดของม่านเองเขาก็ไม่ทราบได้
“ไม่เป็ไรครับ”
“แน่ใจนา? แล้วมาทำอะไรแถวนี้เหรอ ป้าเห็นหลายวันแล้วว่าจะถามอยู่”
“มารอเพื่อนครับ”
“รอเพื่อนทุกวันเลย จะไปไหนกันเหรอ”
“เอ่อ...ไม่ได้ไปไหนครับ แค่ไปทำธุระ”
“เหรอ แล้วอายุเท่าไหร่ล่ะ เรียนที่ไหนกัน”
ดูท่าว่าป้ารถเข็นไอศกรีมคงเหงาและไม่ปล่อยให้บทสนทนานี้จบลงไปง่าย ๆ เธอพยายามหาเื่มาชวนเขาคุยทุกครั้งที่เขาตอบคำถามแรกไปแล้วมันก็จะมีคำถามที่สองและที่สามตามมาอยู่เรื่อย ๆ
“เรียนจบแล้วน่ะครับ” รามตอบไปอย่างนั้นพลางสายตาก็พยายามเพ่งพินิจไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อค้นหาม่านหยี่ในร้านขนม
“เป็คนที่ไหนเหรอ ป้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“ผมเป็คนที่นี่แหละครับ แต่บ้านไม่ได้อยู่นี่”
“อ้าวเหรอ”
“ป้าครับ รู้จักร้านขายขนมนั่นมั้ย”
“ร้านนั้นน่ะเหรอ ร้านคุณพิมนั่นใช่มั้ย” ป้าถามเขากลับเพื่อความมั่นใจ
“น่าจะใช่มั้งครับ แต่ป้ารู้จักใช่มั้ย”
“รู้จัก ๆ ทำไมเหรอ ชอบคุณพิมเขาเหรอ”
“เปล่าครับไม่ใช่ คือ...เพื่อนผมเพิ่งเริ่มทำงานที่นั่นแล้ววันนี้เหมือนจะไม่มา”
“โทรหาสิ ไม่มีเบอร์โทรกันเรอะ?”
“โทรแล้วเขาไม่รับครับ” รามสูรโกหกออกไปด้วยเพราะคงจะเป็อะไรที่น่าสงสัยหากว่าเขาบอกว่าไม่มีเบอร์ม่านหยี่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าเป็เพื่อนกัน
“คนที่มาทำงานใหม่ป้าเหมือนจะเห็นอยู่สองสามครั้ง แต่วันนี้ก็ยังไม่เห็น น่าจะยังไม่มานะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“เอาไอติมไปกินรอมั้ยพ่อหนุ่ม”
“เอ่อ...เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“มีใส่โคนอันนี้ กับใส่ขนมปัง-...”
“คือผมไม่มีเงินสดน่ะครับ”
“อ้าว!...” น้ำเสียงและสีหน้าป้าเ้าของรถเข็นดูผิดหวังมาก
“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันครับ ป้ารู้จักโรงแรมอันดามันเพิร์ลมั้ยครับ”
“รู้จักทำไมเหรอ”
“ป้าขับไปจอดตรงนั้นแล้วเดี๋ยวผมจะไปเอาเงินมาจ่ายนะครับ ผมพักอยู่ที่นั่นเงินสดผมก็อยู่นั่นหมดเลย” วันนี้เขารีบจนพลาดลืมหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ติดตัวออกมาด้วย คว้าได้กุญแจรถก็บึ่งออกมาเลย
“มันใช่มั้ยเนี่ยหนุ่ม หลอกป้าไปเสียเที่ยวรึเปล่า”
“งั้นป้าเอานามบัตรผมไว้นะครับ แล้วป้าค่อยโทรมาถ้าถึงแล้ว” รามสูรยังไม่อยากผละออกไปจากตรงนี้แต่ก็ถือเสียว่าการซื้อไอศกรีมช่วยป้าเป็ค่าเสียเวลาและช่วยเหลือป้าละกัน เพราะถ้าไม่ได้ป้าเขาก็คงไม่กล้าเดินไปถามคนในร้านตรง ๆ ว่าวันนี้ม่านหยี่ไม่มาทำงานใช่ไหม
“ให้มันแน่นะหนุ่ม ไม่ใช่หลอกให้ป้าไปเสียเที่ยวนะ!” หญิงวัยกลางคนขู่เสียงแข็ง
“ไม่ครับ”
“ป้า! มาขายทำไมตรงนี้! เขาไม่ให้เข้ามาขายนะ!”
“อ้าว! แล้วไอ้หนุ่มคนนั้นบอกเข้ามาได้”
“ใครบอกป้าเข้ามา” เธอชักจะมีน้ำโหเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนเธอแบบนั้น
“ก็ไอ้หนุ่มคนนี้ไง มันให้นามบัตรข้ามา”
“ไหน?...ป้าโดนหลอกแล้ว เขาหลอกป้าแล้ว คนนี้เป็ถึงเ้าของโรงแรมเขาไม่คุยกับใครมั่วซั่วหรอกป้า ป้าโดนหลอกแล้ว!” พนักงานรักษาความปลอดภัยจากทีแรกทำเสียงเข้มตอนนี้เปลี่ยนมาเป็หัวเราะเยาะขำขันคนขายไอศกรีมรถเข็นที่โดนมิจฉาชีพหลอกให้เข้ามาขายของในโรงแรมระดับห้าดาว
“ก็ไอ้หนุ่มคนนั้นมันให้นามบัตรข้ามา แล้ว-...”
“ไม่ได้ ๆ ป้า ไม่มีหรอกชื่อผู้ชายคนนี้ ดูนี่ป้าดูนามสกุล เขาเป็เ้าของโรงแรมนี้ เขาจะไปคุยกับคนอย่างป้าได้ยังไง”
ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดพนักงานหญิงคนหนึ่งก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดโรงแรมแล้วพุ่งตรงมายังคนทั้งสองที่กำลังยืนถกเถียงกันอยู่
“คุณป้าคะ นี่ค่ะเงินสดและเงินชดเชยค่าเสียเวลา คุณรามเขาเหมาไอศกรีมทั้งถังเลยเขาให้พลอยมาเชิญคุณป้าขึ้นไปคุย้าด้วยตอนนี้สะดวกมั้ยคะ”
“เอ่อ...” เธอไม่รู้ว่าพนักงานหญิงรุ่นลูกคนนี้กำลังพูดเื่อะไรอยู่แต่รู้สึกว่ามันจะไม่ใช่เื่ร้ายอะไร คุณรามที่ว่าคือใครเธอก็ไม่รู้จักแต่ถึงอย่างนั้น
“อ่ะได้ ๆ สะดวก ๆ ไปตอนนี้เลยใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“เดี๋ยวขอข้า...”
“ป้าไม่ต้องค่ะ ๆ พี่หนุ่มพลอยรบกวนเอารถคุณป้าไปจอดที่ด้านหลังโรงแรมให้ทีนะคะ ขอบคุณค่ะ ไปตอนนี้เลยค่ะคุณป้า”
ป้าขายไอศกรีมรถเข็นกลายเป็คนดังในทันใดนายหัวรามสูรเหมาไอศกรีมถังของคุณป้ามาให้พนักงานได้อิ่มอร่อยในทุกวันพุธของทุกอาทิตย์นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ถือว่าเป็สวัสดิการที่เพิ่มขึ้นมาให้พนักงานในเครือโรงแรมอันดามันเพิร์ล ป้าต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวแต่ก็แลกกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นและมีความมั่นคงมากขึ้น สองสามวันหลังจากนั้นชื่อนายหัวรามสูรน้องชายของนายหัวอัสนีก็ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งตลาดสด คนพูดกันไปปากต่อปากรวมทั้งยังใส่สีตีไข่ให้น่าอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น
ทว่า...คนที่ถูกกล่าวถึงกลับไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ทุกคนคิด รามสูรไม่เห็นม่านหยี่มาทำงานที่ร้านขนมหลายวันแล้วไม่ว่าจะตอนเช้า สาย บ่าย เย็น ไม่เห็นม่านเดินเข้านอกออกในร้านอีกแล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าม่านคงจะรู้และอาจย้ายหนีเขาไปแล้ว แต่อีกใจก็คิดว่าม่านน่าจะยังอยู่ที่นี่แต่ไม่รู้ทำไมม่านถึงไม่มาทำงาน
“ลุงครับข้างบนมีห้องเช่าว่างมั้ย”
“มีเหลืออยู่ห้องหนึ่งอยู่ชั้นสาม เ้าของพึ่งย้ายออกไปเดือนที่แล้ว”
รามสูรถอนหายใจที่เ้าของย้ายออกไปเดือนที่แล้วไม่ใช่สองหรือสามวันที่แล้ว นั่นแสดงว่าคนที่ย้ายออกไม่ใช่ม่านหยี่
“คือผมมีเพื่อนที่พักอยู่ในนี้ แต่ผมติดต่อเพื่อนไม่ได้มาหลายวันแล้ว”
“แล้ว?”
“ลุงช่วยเปิดประตูให้ผมเข้าไปหาเพื่อนได้มั้ย”
“เพื่อนเอ็งชื่ออะไร” ชายวัยกลางคนถามกลับนายหัวรามสูรพลางก้มหน้ามองปึ๊งกระดาษที่ด้านในมีรายชื่อและข้อมูลผู้เข้าพักในห้องพัก เขาทำทีท่าเป็ไม่สนใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ระแวดระวังไม่ใช่น้อย เพราะสมัยนี้มีข่าวคนฆ่ากันตาย เพื่อนฆ่าเพื่อน ผัวฆ่าเมีย โดยฆาตกรสร้างเื่มาในทำนองนี้ก็เยอะแยะ
“ชื่อม่านหยี่ครับ”
“หื้ม?”
“ไม่มีเหรอครับ”
“อืม มีคนชื่อแปลก ๆ อยู่ อยู่ชั้นสาม”
“ถ้าอย่างนั้นลุงช่วย”
“แต่ไม่เห็นหน้าหลายวันแล้วนะ ไม่รู้ว่าอยู่บนห้องหรือออกไปเที่ยวที่อื่น”
“ลุงช่วยไปเปิดให้ผมหน่อยได้มั้ย ผมเป็ห่วงม่าน” เขาชักจะทนไม่ไหว พยายามเร่งชายเ้าของห้องพักแต่ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงให้เข้าใจ เพราะในทางกลับกันถ้าเป็เขาที่ต้องเจอสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจแบบนี้เขาก็คงจะทำแบบที่คนตรงหน้าทำอยู่ก็ได้ เผลออาจโทรแจ้งตำรวจไปแล้วก็ได้
“เป็อะไรกันนะพูดอีกที”
“เป็เพื่อนครับ” จริง ๆ คือเป็ผัว แต่กลัวลุงจะใหากพูดออกไปอย่างนั้น
“เฮ้อ! เพื่อนแน่นะ”
“ครับ”
“ขอบัตรประชาชนด้วย”
รามสูรลุกลี้ลุกลนหยิบบัตรประชาชนยื่นให้ชายเ้าของห้องพัก ชายวัยกลางคนมองหน้าเขาสลับกับใบหน้าที่อยู่ในบัตรสักครู่ก่อนที่จะเปิดลิ้นชักแล้วควานหากุญแจห้องพักและลุกขึ้นเดินน้ำหน้าเขาขึ้นไปยังชั้นที่ม่านหยี่พักอยู่
“ม่านอยู่ห้องไหนเหรอครับ”
“อ้าว! ไหนว่าเป็เพื่อนกัน เพื่อนอยู่ห้องไหนก็ไม่รู้” เ้าของห้องทำท่าหยุดยืนแล้วหันมาพูดกับเขาเสียงแข็ง
“ไม่คือ...เราทะเลาะกัน แต่ตอนนี้ผมเป็ห่วงเขา”
“ทะเลาะกันเื่อะไร ไม่ใช่ว่ามาฆ่ากันตายที่นี่นะ ไม่ได้นะหนุ่ม!!!”
“ไม่ครับ ๆ คือ...เราทะเลาะกันเื่ใหญ่ แต่ผมเป็ห่วงเขา”
“เื่อะไร เื่ผู้หญิงเหรอ”
“...ครับ” รามตัดสินใจตอบไปอย่างนั้นเพื่อให้เื่ทุกอย่างจบ ให้ชายตรงหน้าไม่ถามและพาเขาไปส่งยังห้องที่ม่านพักอยู่สักที ความห่วงในหัวใจเขาแทบจะวิ่งโร่ออกก่อนตัวไปแล้ว
บานประตูไม้อัดสีเข้มที่มีคราบและมีความเก่าเขรอะบ่งบอกว่ามันถูกใช้งานมานานหลายปีแล้ว ห้องพักแคบ ๆ และเก่าโทรมที่ตั้งหลบมุมอยู่ใจกลางเมืองท่องเที่ยวแบบนี้คงมีราคาไม่กี่พันบาท รามสูรถอนหายใจเขาเกลียดที่ต้องรับรู้ว่าชีวิตม่านหยี่มันเลวร้ายกว่าตอนที่อยู่กับเขา เขาไม่ได้คิดว่าม่านเลี้ยงตัวเองไม่ได้ แต่เขาแค่อยากให้ม่านมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้ไม่ใช่เช่าห้องรูหนูอยู่
“ม่าน...” ชายเ้าของห้องไขกุญแจให้และเปิดประตูมาพบกับห้องเช่าเล็กกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ด้านซ้ายมือเป็ห้องน้ำที่เล็กพอจะยัดเอาไว้ในห้องนอนได้ ตรงกลางห้องมีฟูกนอนแบน ๆ และมีคนนอนขดตัวอยู่ในกองผ้าห่มผืนบาง
“ม่านหยี่...ม่าน” รามสูรพุ่งตรงไปยังอดีตคนรักที่นอนขดตัวราวกับพยายามกอดตัวเองเอาไว้ให้หายหนาว ภายในห้องมืดมิดด้วยเพราะมีหน้าต่างบานเล็ก ๆ เพียงบานเดียวและเ้าของห้องปิดม่านเอาไว้ไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาได้
“ม่าน! ตัวร้อนเป็ไฟเลยม่าน!!!” มือแกร่งวางทับไปยังหน้าผากมนทันใดนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยเพราะม่านหยี่ตัวร้อนเป็ไฟซ้ำยังหนาวสั่นหน้าซีด เม็ดเหงื่อผุดพรายออกตามบริเวณตีนผมและข้างขมับ
“ม่านไปหาหมอกันนะ”
“ราม...” เสียงแหบพร่าเรียกชื่อเขา
“...ไม่ต้องพูดอะไรแล้วม่าน ปะไปหาหมอกัน” เขาห่วงแสนห่วงดูม่านหยี่ตอนนี้สิ ไม่ใช่แค่เพียงป่วยหนักแต่ม่านแทบจะไม่มีสติแล้วด้วยซ้ำ! ทำไมกันนะ ออกจากอกเขาทีไรต้องเกิดเื่กับม่านตลอด ถ้าม่านดูและตัวเองให้ดีไม่ได้เขานี่แหละจะดูแลม่านเอง!!!
รามสูรอุ้มอดีตคนรักแล้วไต่บันไดลงมาจากชั้นสามอย่างรวดเร็วทิ้งให้เ้าของห้องเช่ากลายเป็เพียงผู้มองดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ เขาพาม่านหยี่บึ่งรถไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งก็คือโรงพยาบาลที่เขาและม่านเคยพักรักษาตัวตอนที่เกิดเื่ ม่านหยี่ถูกนำตัวส่งเข้าห้องฉุกเฉินทันทีส่วนรามนั้นก็ถูกกันเอาไว้ด้านนอก นายหัวรามสูรร้อนใจจนไม่อาจนั่งนิ่ง ๆ หรือทำให้ใจสงบอย่างที่พยาบาลบอกได้ เขาต้องไปกรอกประวัติผู้ป่วยซึ่งก็พบว่าตัวเองทำได้แย่มากเมื่อไม่รู้เลยว่าสองอาทิตย์หรือแม้แต่สองสามวันที่ผ่านมานี้ม่านหยี่รู้สึกสบายดีหรือมีอาการอะไรบ้าง รามสูรเดินวนเป็วงกลมไปทั่วทั้งทางเดินของโรงพยาบาล กลิ่นน้ำยาถูพื้นซึ่งเป็กลิ่นที่คุ้นเคยเมื่อตอนที่ยังพักรักษาตัวอยู่ตีขึ้นจมูก แผลที่ถูกยิงก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับความเ็ปนั้นสักเท่าไหร่ เขาเป็ห่วงม่าน สีหน้าและอาการม่านไม่ดีเลยและถ้าหากม่านหยี่เป็อะไรไปครั้งนี้เขาก็จะโทษตัวเองอีกครั้ง
ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงพยาบาลคนเดิมที่บอกให้เขาใจเย็นก็เดินออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ยากจะอ่านออก นั่นทำให้เขารู้สึกใจไม่ดี การรักษาอะไรต้องใช้เวลานานขนาดนั้นม่านไม่เห็นมีอะไรให้ต้องผ่าตัดเลย เพียงแค่ตัวร้อนและเป็ไข้ก็เท่านั้น
“เอ่อ คุณรามสูรเพื่อนของคุณม่านหยี่ใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“คุณหมออยากขอคุยด้วยเป็การส่วนตัว เดี๋ยวคุณรามเดินตามดิฉันมาได้เลยนะคะ”
“มีอะไรร้ายแรงรึเปล่าครับ”
“อืม...ดิฉันไม่ทราบค่ะ แต่คุณหมอเ้าของไข้้าคุยกับคุณราม”
ระยะทางที่เขาเดินไปมันไม่ได้ไกลเลยทว่ารามสูรรู้สึกว่าเวลามันหยุดหมุนไปแล้วั้แ่ที่พยาบาลชุดขาวบอกกับเขาว่าคุณหมอ้าคุยกับเขาเื่อาการของม่านหยี่ ในหัวมันคิดไปสะระตะว่าอาการของม่านต้องร้ายแรงแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นหมอจะอยากคุยกับเขาทำไม หากม่านเป็แค่ไข้หวัดหรือไม่สบายนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างนั้นหมอต้องออกมาบอกกับเขาด้วยตัวเองแล้ว ไม่ใช่เรียกพบเขาเป็การส่วนตัวแบบนี้
“สวัสดีครับ”
“อ้าวราม!”
“ลุงตี๋!”
“เดี๋ยวผมจัดการต่อเองครับแจง ขอบคุณมาก”
รามสูรมีญาติเยอะกระทั่งว่าถ้าให้สืบสาวราวเื่วงศาคณาญาติกันแล้วนั้นก็คงจะเยอะเกินจะนับได้ ด้วยเพราะทางพ่อของเขาก็เป็ตระกูลเศรษฐีใหญ่ทางภาคใต้ มาพบรักกับแม่ซึ่งเป็ตระกูลเศรษฐีเก่าแก่ในจังหวัดภูเก็ต ดังนั้นญาติ ๆ เขาทั้งหลายนั้นก็ถือว่าเป็คนที่ค่อนข้างร่ำรวยมีฐานะและเกือบครึ่งของตระกูลก็เป็หมอไปแล้วเสียส่วนใหญ่ มีรุ่นหลานเหลนอย่างพวกเขานี่แหละที่มีโอกาสเรียนมหาลัยในคณะที่ตัวเอง้า
ลุงตี๋เป็ญาติสายหลักเช่นเดียวกันกับเขาแต่เนื่องจากภาระและหน้าที่การงานทำให้แม้กระทั่งวันหยุดหรือวันรามญาติเรายังไม่มีโอกาสได้เจอกันหลายปีแล้ว
“เป็เพื่อนของม่านหยี่เหรอ”
“ครับลุง”
“อืม...นั่งลงก่อน ๆ ”
“ครับ” รามสูรเลื่อนเก้าอี้ออกและหย่อนตัวนั่งลง
“คืออย่างนี้ เพื่อนน่ะป่วยเป็ไข้หวัดใหญ่นะ”
“ร้ายแรงมากมั้ยครับลุง!”
“ก็ถือว่าหนักอยู่ แต่ว่านะราม...ลุงถามตรง ๆ รู้เื่นี้มั้ย”
“เื่อะไรเหรอครับลุง”
“คือว่าอย่างนี้นะราม รามเคยได้ยินเื่ผู้ชายท้องได้มั้ย”
“ไม่ครับ” รามสูรส่ายหน้า
“อืม...ถ้าอย่างนั้นรามคิดยังไงกับเื่นี้ รามคิดว่ามันเป็เื่จริงมั้ย คิดว่าผู้ชายจะท้องได้มั้ย”
“ผม ผมไม่คิดว่า...ไม่ได้ครับ ผู้ชายคงท้องไม่ได้”
“แล้วถ้าวิทยาการทางการแพทย์ทำให้ผู้ชายท้องได้ล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิครับ อาจทำได้ ลุงตี๋มีอะไรที่ผมต้องรู้มั้ยครับ!!!”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ลุงคิดว่ารามคงไม่รู้ และเราก็คงจะรู้พร้อมกันในวันนี้ตอนนี้”
“...”
“พูดตรง ๆ ลุงไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง จริง ๆ แล้วถ้าทางการแพทย์ทำอาจทำได้ แต่ลุงไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“...”
“ม่านหยี่เพื่อนรามท้อง”
“!!!”
“เขาท้องได้สามเดือนแล้ว”
“!!!”