การที่โจรจะจับโจรได้บนทะเลทรายแห่งนี้นับว่าเป็เื่ที่เกิดขึ้นได้ยาก
นายท่านสามเองก็ไม่ยอมปล่อยโจรกลุ่มนี้ไป
คืนนี้เขาตั้งใจแล้วว่าจะตั้งค่ายค้างแรมที่รังโจรของเหล่าโจรที่จับมาได้
ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสกวาดล้างคนเหล่านี้ไปด้วย
นายท่านสามยามอยู่ต่อหน้าแม่นางหลัวก็เอาแต่เรียบร้อยเหนียมอายอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าตนเป็คนดีคนหนึ่ง ทว่ายามอยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้วกลับเ้าเล่ห์เพทุบาย ทั้งยังโลภไม่มีใครเกิน
เมื่อก่อนกระทั่งกับอาลู่และน้องสาว เขาก็ยังปฏิบัติเช่นนี้
ก็เขาชอบเก็บเงินนัก
ทั้งยังหาเงินเก่งเหลือเกิน
ใน่เวลาที่แสนจะขมขื่น ยามอยู่ในสถานที่อย่างค่ายโจรที่ไม่รู้จะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ กระทั่งการขูดรีดเหล่าโจรที่ร่วมปล้นมาด้วยกันเขาก็ยังทำได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจรต่างถิ่นที่เพิ่งเจอกันวันนี้
เมื่อได้พบกับเหล่าโจร ในใจของนายท่านสามก็รู้สึกราวกับเก็บเงินได้ก็ไม่ปาน
อีกทั้งรังของเหล่าโจรยังอยู่บนทะเลทรายแห่งนี้
โจรเหล่านี้ค่อนข้างจะแร้นแค้น ด้วยเพราะหากพบขบวนใหญ่ก็ไม่กล้าปล้น หากเห็นว่าขบวนมีคนเยอะก็ไม่กล้าปล้น หรือเจอคนมีชื่อเสียงก็ไม่กล้าปล้น จะเลือกปล้นเพียงคนตกอับเท่านั้น
ไม่ง่ายนักที่จะขวัญกล้าถึงเพียงนี้ เพราะได้ยินตำนานที่ผู้คนร่ำลือมา ทว่าก็ไม่คาดคิดว่ายามที่พวกเขากล้าหาญขึ้นมาก็จะมาโดนจับเสียได้
ผืนทะเลทรายที่ทอดยาวมีเนินทรายนูนสูง หลังเนินทรายยังมีแอ่งน้ำอยู่ ข้างแอ่งน้ำล้อมไปด้วยต้นไม้พุ่มเตี้ย
ไม่ไกลจากต้นไม้พุ่มเตี้ยมีกระโจมกางอยู่อีกสี่ห้าหลัง กระโจมน้อยเหล่านี้คือรังของเหล่าโจรที่เฉินโย่วจับตัวมาได้
ด้านในก็ไม่มีของมีค่าสักชิ้น
สิ่งที่น่าจะพอมีราคาที่สุด ก็น่าจะเป็ร่างกายของโจรเหล่านี้
นายท่านสามค้นแล้วค้นอีกก็ไม่เจอของอะไร จึงตัดสินใจให้คนพาโจรเหล่านี้ไปส่งที่พื้นที่ห่างไกล ให้คนเหล่านี้ได้สร้างบ้านสร้างครอบครัวที่นั่นเสีย ประจวบเหมาะกับยามนี้ที่พื้นที่ห่างไกลกำลังขาดคนอยู่พอดี
เมื่อราตรีมาเยือน
เหล่าชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ก็ใช้ชีวิตเหมือนยามอยู่บนูเา ต่างพากันนั่งล้อมกองไฟเป็วงกลม
บัดนี้คุณภาพชีวิตของคนบนูเาดีกว่าเมื่อก่อนมากโข ไม่จำเป็ต้องมานั่งล้อมวงกินน้ำแกงที่ต้มจากหมั่นโถวที่ทั้งดำทั้งแข็งเช่นที่อาลู่เคยกินในอดีตอีกแล้ว
น้ำแกงตรงหน้ามีทั้งเนื้อทั้งผัก และยังมีข้าวอีกด้วย
โจ๊กที่ต้มจนงวดเหมาะสำหรับให้คนที่เดินทางมาทั้งวันดื่มพอดี
โจ๊กเนื้อใส่ผักร้อนๆ ยามไหลลงคอก็ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้นไม่เบา ความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาทั้งวันก็ค่อยๆ ถูกขับออกมาทางเหงื่อ
แม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ แม่นางหลัวที่นั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับดื่มโจ๊กไปพลางเช่นคนอื่นๆ กลับดูราวกับชนชั้นสูงกำลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่อยู่ก็ไม่ปาน
เมื่อมีแม่นางหลัวอยู่ด้วยเช่นนี้ เฉินโย่วที่แสนซุกซนก็ดูสำรวมขึ้นไม่น้อย ทั้งยังยอมนั่งหลังตรงดื่มโจ๊กอย่างว่าง่าย ดูมีจริตราวกับคุณหนูในตระกูลชนชั้นสูง ทว่าเมื่อมองจุกผมชี้ๆ บนศีรษะของนางแล้ว ก็รู้สึกว่าช่างน่ารักเหลือเกิน
ใต้กระโปรงของนางยังมีเ้าลูกหมาป่าที่แอบยื่นหน้ามาเป็ครั้งคราว
แม่นางหลัวเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเฉินโย่ว ก็แทบอยากจะจับนางมาตีสักหนสองหนเสียให้เข็ด
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าน้อยๆ ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข นางก็ทำใจตีเด็กหญิงไม่ลง
ได้แต่ปั้นหน้าขรึมฝืนทำท่าทีเข้มงวด
นายท่านสามมองแม่นางหลัวด้วยสายตาอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลจากแม่นางหลัว ทว่าแววตาหวานซึ้งที่เขาส่งไปให้ร่างอรชรก็ยังร้อนแรงเสียจนแทบจะลวกคนรอบข้าง
กลับเป็ท่านราชครูที่นั่งดื่มโจ๊กอย่างเคร่งขรึมจริงๆ
ในมือของชายชรายังคงถือโจ๊กไว้ ทว่าถืออยู่นานสองนานก็ไม่ยอมดื่มเสียที กระทั่งโจ๊กทั้งถ้วยหกรดบนร่างก็ยังไม่รู้ตัว
โจ๊กค่อยๆ ซึมลงไปในเสื้อผ้าของชายชรา
เขาจึงเพิ่งจะรู้สึกราวกับอกของตนถูกลวกก็พลันสะดุ้งโหยง
พานทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ใไปด้วย
“ท่านอาจารย์ ท่านมีเื่สำคัญอะไรหรือ” นายท่านสามถามขึ้นอย่างร้อนใจ
ราชครูกระดากอายเกินกว่าจะตอบว่าเป็เพราะตนใจลอยจึงได้ทำโจ๊กหกรดตัวเอง เช่นนั้นจึงได้แสร้งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ถ้าว่ากันตามที่เหล่าโจรได้กล่าวมา ก็เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังตามหาเขาอยู่
ยามนี้ฝ่าาได้พระราชทานอภัยโทษให้เขาแล้ว ทว่ากลับยังมีคนมาตามหาเขาอยู่ ทั้งยังจงใจกุเื่แผนที่ขุมทรัพย์
เช่นนั้นแน่นอนว่าจะต้องมีคนกำลังจับตามองเขาอยู่
เมื่อลองคิดดูแล้ว คนที่อยากมอบความตายให้เขาถึงเพียงนี้ย่อมมีเพียงฮองเฮาจ้าว
แม้จะไกลแสนไกลถึงเพียงนี้ ฮองเฮาจ้าวก็ยังตามมาจัดการเขาได้ หากว่ากลับเมืองหลวงแล้วก็ย่อมไม่มีทางหลบซ่อนได้อีก
ต่อให้นางตามหาจนเจอ เขาก็ไม่สนใจอะไร ทว่าเฉินโย่วอาจไม่ปลอดภัย
หากว่าฮองเฮาจ้าวรู้ว่าเฉินโย่วคือองค์หญิงใหญ่ นางย่อมต้องหาทางสังหารเฉินโย่วให้ได้เป็แน่
เมื่อดูจากสภาพการณ์ทุกวันนี้แล้ว…
ราชครูครุ่นคิดอยู่หลายตลบ ในที่สุดเขาก็คิดวิธีที่โง่เขลาทว่ายอดเยี่ยมที่สุดออก
วันต่อมา บนหลังของเ้ามืดจึงมีเด็กหนุ่มรูปงามหมดจดดุจหยกสลักนั่งอยู่
มวยผมบนศีรษะมีกวานครอบไว้ คิ้วสะอาดดวงตากระจ่างดูราวกับบัณฑิตร่างบางคนหนึ่ง เท้าทั้งสองสวมรองเท้าหนังเกลี้ยงแบบบุรุษคู่หนึ่ง
ดูแล้วเหมือนเด็กชายอายุราวแปดเก้าขวบ
นี่คือวิธีการที่โง่เขลาที่สุดที่ราชครูคิดออก
ให้เฉินโย่วแต่งกายเป็บุรุษ
ต่อให้ฮองเฮาคิดจนเศียระเิ ก็ย่อมไม่มีทางคิดออกว่าเด็กชายคนนี้จะเป็องค์หญิงใหญ่
อีกทั้งเฉินโย่วเดิมทีก็รูปร่างสูง เพราะนางโตไวนัก หากบอกว่าแก่กว่าอายุจริงสักสองสามปี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เฉินโย่วก็ไม่มีปัญหาอะไร แม้ไม่อาจสวมรองเท้าแสนสวยที่สะท้อนแสงวิบวับของนางได้แล้ว ทว่าแต่งตัวเช่นนี้ก็นับว่าคล่องตัวกว่ากันมาก
ต่อไปยังไม่ต้องทำตามที่น้าหลัวสอน จำพวกสตรีสูงศักดิ์ต้องเดินอย่างไร ต้องก้าวช้าประมาณไหน แค่คิดถึงเื่นี้นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว
เป็ครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าท่านอาจารย์ของตนช่างน่าเชื่อถือนัก รอให้ถึงเมืองหลวงก่อนเถิด นางจะซื้อตำราให้ท่านอาจารย์อีกหลายๆ เล่มเลยเชียว
……
พวกเขาควบม้าห้อตะบึงกันมาตลอดทาง ก็หาแรงงานส่งกลับไปยังพื้นที่ห่างไกลได้อีกไม่น้อย
จวบจนเมื่อเหล่าโจรตลอดเส้นทางค่อยๆ น้อยลง พวกเขาก็ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว
ไม่ว่ามองไปทางใดก็เห็นแตู่เา ทิวเขาทอดยาวเรียงตัวต่อกันไม่จบสิ้น
บนทิวเขามีต้นไม้มากมาย
เมื่อแหงนหน้ามองจึงเห็นเพียงผืนฟ้าเล็กๆ ทว่ากลับไร้ขอบเขต
บรรยากาศของที่นี่แตกต่างจากทุ่งหญ้าโดยสิ้นเชิง
ทุกคนจึงพากันนิ่งงัน
เสี่ยวอู่อยากเร่งให้ถึงเมืองหลวงไวๆ แม้ว่าเขาก็อยากเข้าเรียนเช่นกัน แต่ได้ยินมาว่าสำนักเชินเข้มงวดนัก ทั้งยังต้องเข้าเรียน แค่คิดเขาก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้ว จิตใจก็พานห่อเหี่ยว
อาสวินด้วยเพราะร่างกายอ่อนแอ ต่อให้ใจเขาทะเยอทะยานเพียงใด ทว่าร่างกายกลับไม่อำนวยนัก ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาคนอื่นล้วนไม่เป็อะไร แต่เขากลับป่วยเสียแล้ว เมื่อเป็เช่นนี้ก็อดรู้สึกห่อเหี่ยวไม่ได้
แววตาของอาลู่เปลี่ยนเป็เคร่งขรึมมาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงอยากให้น้องสาวแต่งตัวเช่นบุรุษ เขามักจะรู้สึกว่าท่านอาจารย์รู้สถานะที่แท้จริงของน้องสาว ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงความรู้สึกเช่นนี้ของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ทว่าเขากลับไม่อยากรู้สถานะที่แท้จริงของนาง ไม่ว่าอย่างไรเฉินโย่วก็เป็น้องสาวของเขา
ทว่าเมืองหลวงกว้างใหญ่เหลือเกิน เขาจึงไม่มีความรู้สึกมั่นใจเช่นเมื่อก่อน ทั้งยังรู้สึกกังวลขึ้นมา เขาเคยชินกับการเป็หัวหน้าหน่วยลาดตระเวน ไม่ว่าเื่ใดก็ต้องสืบทราบให้ชัดเจนจึงจะรู้สึกวางใจ บัดนี้จึงได้แต่คิดว่าจะจัดตั้งหน่วยลาดตระเวนขึ้นมาใหม่อย่างไร
แม่นางหลัวก็เงียบงันเป็พิเศษ ยิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดนางก็ยิ่งหวั่นใจ
นางเคยได้ชื่อว่าเป็สตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ทว่าบัดนี้…นางก็เป็แค่ยายแก่ในโรงทอผ้าคนหนึ่งที่ทำงานหาเงินเท่านั้น
นายท่านสามเมื่อเห็นว่าแม่นางหลัวนิ่งเงียบลง อารมณ์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใด เขาก็พลอยเซื่องซึมไปด้วยเช่นกัน
ท่าทางของราชครูนับไม่ว่าเป็ธรรมชาตินัก อู๋เจียงที่ขอติดตามมาพร้อมทั้งช่วยคุ้มกันขบวนก็ตึงเครียด ราชครูก็เหมือนจะได้รับอิทธิพลกับเขาเช่นกัน
เหล่าปาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนหนักอึ้งนัก
ราวกับว่ามีเพียงแค่เฉินโย่วเท่านั้นที่ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงก็ยิ่งร่าเริงสดใส เปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรง
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรั้งนางไว้ได้
ในยามเดินทางยังให้นางแต่งตัวเป็บุรุษ
การเดินทางครั้งนี้ไม่จำเป็ต้องใช้หน่วยสอดแนมแม้แต่น้อย ยามนี้ที่นางปักหลักอยู่หัวขบวนก็กวาดล้างเหล่าโจรที่สนใจแผนที่ขุมทรัพย์ไปไม่รู้เท่าใดแล้ว
ดังนั้นครานี้จึงได้มีคนร่ำลือกันว่ามีวีรบุรุษชุดขาวที่เชี่ยวชาญด้านการสังหารเหล่าโจรจากทุกเขตแดนปรากฏตัวขึ้น
“ว่ากันว่าบุรุษชุดขาวไม่ลงมือง่ายๆ แต่เมื่อลงมือแล้วก็ต้องราบเป็หน้ากลอง” ในวัดร้างแห่งหนึ่งมีชายชราคนหนึ่งเล่าเื่นี้ไปก็ทำท่าทางประกอบไป ทว่าก็ดูเหมือนว่าบุรุษชุดขาวคนนี้ดูเหมือนวีรบุรุษชุดขาวในตำนานอยู่บ้างเช่นกัน
เด็กชายตัวอวบอ้วนในชุดขาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขากำลังตั้งใจฟังเื่ที่เขาเล่า ดวงตาทั้งสองปรือลงด้วยความสงสัยจนเหลือเพียงขีดน้อยๆ
“จากนั้นเล่า...จากนั้นเล่า” เด็กชายถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
ชายชราหัวเราะหึๆ มองดูร่างกายอวบอ้วนและผิวพรรณที่อ่อนนุ่มของเด็กชายก็รู้ได้ว่าจะต้องเป็คุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ คุณชายน้อยตรงน่าสนใจเื่เล่าจากเจียงหูนัก ดูท่าเขาคงจะออกมาหาประสบการณ์ ข้างกายยังมีชายชราคอยรับใช้อยู่อีกคนหนึ่ง ชายรับใช้ไม่กล่าวอันใด ร่างผอมแห้งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ดูท่าทางแล้วก็คงจะไม่เคยมีประสบการณ์นอกเรือนเช่นกัน
ชายชราหยิบกาน้ำชาออกมา ก่อนจะทำท่าดื่มน้ำจากกานั้น ทว่ากลับไม่มีน้ำไหลออกมาสักหยด
คุณชายน้อยร่างอวบอ้วนรีบกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน “ข้ามีน้ำ ข้าให้ท่าน”
เด็กชายกล่าวไปก็หยิบกาน้ำชาของตัวเองส่งให้ชายชรา
ชายชราเมื่อรับกาน้ำชามาแล้วพลันนิ่งเงียบ มองกาน้ำชาแกะสลักในมือตน ความวิจิตรของลายสลักก็อีกเื่หนึ่ง ตรงกลางลายดอกไม้ยังฝังหยกสีเหลืองอ่อนเอาไว้ ความละโมบในแววตาของชายชราจึงปรากฏขึ้น
ชายชราค่อยๆ ดื่มน้ำในกาอย่างระมัดระวัง เมื่อดื่มไปเพียงอึกแรก ดวงตาของชายชราก็เบิกโพลง ในน้ำนี่ยังมีรสชาติของโสมอยู่ด้วย
ชายชราจึงเล่าต่อ “เหล่าโจรในเจียงหยวนล้วนแต่ขึ้นชื่อเื่ความเหี้ยมโหด โดยเฉพาะหัวหน้าโจรเ้ารอยมีด แต่ถึงกระนั้นกระทั่งหัวหน้าโจรก็ยังมิอาจััวีรบุรุษชุดขาวได้แม้เพียงชายเสื้อ พูดไปก็เหมือนนาน ทว่าความจริงแค่พริบตาที่เ้ารอยมีดคนนั้น้าจะลงมือ ยกมีดหมายจะฟันลงไป ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือใบหน้าของเ้ารอยมีดกลับถูกหมาป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาขย้ำ เ้าหมาป่าเป็สัตว์เลี้ยงของวีรบุรุษชุดขาว ต่อมาเพียงครู่เดียวเ้ารอยมีดก็ยังถูกม้าที่วีรบุรุษชุดขาวขี่อยู่ะโเตะขาหลังจนลอยไปไกล กองโจรผู้เหี้ยมโหดทั้งกองก็เป็อันจบเห่ลงเช่นนี้”
คุณชายน้อยฟังไปก็อ้าปากค้าง ก่อนถามขึ้นอย่างร้อนรน “แล้ววีรบุรุษชุดขาวได้ลงมือหรือไม่ แล้วเขามีหน้าตาอย่างไร”
