“สหายเซียวพูดอะไรกัน สามปีนี้มิได้เร็วเลยนะ ข้าว่ายาวนานเหมือนสามสิบปีเสียมากกว่า!” แม้หลิววั่นซานมิได้กล่าวออกไปตรงๆ แต่ก็ััได้ถึงการเหน็บแนม
“เราสองเมืองประลองกันมาร้อยกว่าปีเพื่อสิทธิ์ในการูเาสองแดน สามปีประลองหนึ่งหน ข้าว่าถี่เกินไปจริงๆ!”
เซียวจั้นมองหลิววั่นซานแล้วหัวเราะชอบใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นไปบนแท่นที่นั่งตรงกลาง ซึ่งสามารถมองเห็นสนามประลองได้ทั้งหมด
“หากสหายเซียวคิดว่าสามปีประลองหนึ่งครั้งนั้นถี่เกินไป เช่นนั้นเ้ามีวิธีใดที่จะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ไหมล่ะ?”
เซียวจั้นพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เราก็เพิ่มระยะเวลาการดูแลูเาสองแดนเป็สามสิบปีอย่างไรล่ะ!”
เมื่อได้ยินคำว่าสามสิบปี หลิววั่นซานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยหางตา เมืองเทียนอวิ่นพ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้งแล้ว จู่ๆ จะมาเพิ่มการดูแลูเาสองแดนเป็สามสิบปีอีก ใจของเขาคาดเดาไม่ได้จริงๆ
เดิมทีเขาคิดว่าการที่หลิวซินไห่กับหลิวหรูเยียนประสบความสำเร็จ และสามารถเข้าสู่ระดับวงแหวนใหญ่ขั้นห้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ จะทำให้เขามั่นใจในผลการประลองระหว่างเมืองครั้งนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าสองพี่น้องตระกูลเซียวจะเข้าสู่ระดับวงแหวนใหญ่ขั้นห้าด้วยเช่นเดียวกัน
เื่ที่เขาทราบมานั้นไม่ตรงกับความเป็จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพี่น้องตระกูลเซียวได้ซ่อนความสามารถจากคนภายนอก เพื่อรอให้ถึงวันประลอง
สำหรับข้อเสนอที่เซียวจั้นได้เอ่ยออกมา หลิววั่นซานไม่รู้ว่าจะตกลงดีหรือไม่ เขาสับสนราวกับแมลงวันไร้หัวที่บินวนเวียนอยู่ในความคิด
เขาไม่อยากเปลี่ยนข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ เพราะถ้าหากพ่ายแพ้ เขาอาจต้องสูญเสียทั้งตระกูลหลิวและเมืองเทียนอวิ่น!
“หากเปลี่ยนเพียงข้อตกลง แต่ไม่เปลี่ยนกฎการประลอง ข้าว่าคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไร!”
หลิววั่นซานเคาะนิ้วบนที่วางแขน พยายามใช้เหตุผลนี้เพื่อยุติข้อเสนอของเซียวจั้น แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเตรียมการไว้แล้ว เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “สหายหลิวกังวลเกินไป เื่นี้ข้าคิดมานานแล้ว!”
“ตามกฎการประลองครั้งก่อน คือต้องชนะสองในสาม หากสองคนแรกแพ้ คนที่สามจะเสียโอกาสในการประลอง เช่นนี้ทำให้ไม่เห็นอนุชนรุ่นหลังที่มีความสามารถของทั้งสองเมือง”
“ตามความเห็นข้า คงดีกว่าที่จะยกเลิกกฎชนะสองในสาม แล้วเหลือเพียงแค่แพ้กับชนะ ผู้ที่ชนะสามารถเลือกได้ว่าจะประลองต่อหรือพัก ส่วนผู้ที่แพ้ไม่สามารถประลองได้อีก เราจะให้ประลองเป็รอบๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะพ่ายแพ้ทั้งหมดจึงถือว่าสิ้นสุด ว่าอย่างไร?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลิววั่นซานถึงกับกระตุก พลางแอบตำหนิจิ้งจอกเฒ่าเซียวจั้น ในเมื่อเขากล้าเสนอให้ประลองเป็รอบๆ เพื่อตัดสินแพ้หรือชนะ แน่นอนว่าเขาต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
ตามกำลังโดยรวม เมืองเทียนอวิ่นมีระดับวงแหวนใหญ่ขั้นห้าสองคน วงแหวนใหญ่ขั้นสี่หนึ่งคน อย่างไรก็ด้อยกว่าเมืองลั่วฝานที่มีระดับวงแหวนใหญ่ถึงสามคน
อีกเหตุผลที่เขาเสนอการประลองเช่นนี้ เพราะนอกจากจะมีความมั่นใจในตัวแทนทั้งสามจากเมืองลั่วฝานแล้ว ยังอยากใช้การประลองนี้เป็โอกาสในการฝึกฝนระดับพลังของพวกเขาด้วย
การมีโอกาสสู้กับอนุชนรุ่นหลังที่แข็งแกร่งที่สุดจากเมืองเทียนอวิ่น ย่อมทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ในการประลองมากขึ้น โอกาสเช่นนี้มิได้หาได้ง่าย
“ฮาฮา หากสหายหลิวไม่มั่นใจ เช่นนั้นเราไม่ต้องเปลี่ยนกฎการประลองก็ได้ ไม่ว่าอย่างไร เมืองลั่วฝานของเราย่อมไปถึงที่สุดอยู่แล้ว!”
เซียวจั้นหรี่ตาลง เขาดึงผลองุ่นออกจากพวงแล้วนำเข้าปาก โดยที่ไม่มีความเครียดแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ สู้ทำตามที่เขาเสนอมาไม่ดีกว่าหรือ สำหรับเราแล้วนี่เป็โอกาสที่หาได้ยาก หากเราชนะจะได้สิทธิ์ในการูเาสองแดนถึงสามสิบปีเชียวนะ!”
หลิวหรูเยียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เสียงนั้นค่อยๆ ผ่านเข้าไปในหูของหลิววั่นซาน
“อืม” เมื่อมองหลิวหรูเยียนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม หลิววั่นซานก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้อาจมิได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด
“ซินไห่ เ้าคิดว่าอย่างไร? มั่นใจกี่ส่วน?”
ทั้งสองหันไปมองที่หลิวซินไห่ ใบหน้าที่กำลังเคร่งเครียดนั้นกล่าวว่า “ผู้ที่ชื่อต้วนเชียน ข้ามั่นใจว่าจะชนะ ส่วนเซียวหลงก็มั่นใจว่าไม่แพ้ แต่เซียวหาน สตรีผู้นี้อันตรายยิ่งนัก”
“หากรอบแรกได้ประลองกับนาง ข้ามั่นใจห้าในสิบส่วน แต่ถ้ารอบต่อไปเจอนางอีก ข้าไม่มั่นใจเลย!”
หลิวซินไห่พูดในสิ่งที่เขาคิด นี่เป็เื่การดูแลูเาสองแดนถึงสามสิบปี เขาจึงไม่กล้าที่จะทะนงตัว
“ถ้าหนึ่งในพวกเ้าสองคนแพ้ คนที่เหลือจะต้องเผชิญหน้ากับตัวแทนทั้งสามของเมืองลั่วฝาน เช่นนี้เสี่ยงเกินไป!”
“ฝ่ายเรายังมีหยวนจุน” หลิวหรูเยียนเอ่ยเสียงเบา สายตาหันไปมองร่างสูงที่อยู่ไม่ไกล
“น้องมั่นใจในตัวเขาถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” แม้หลิวซินไห่จะเห็นท่าทีสงบเสงี่ยมของหยวนจุนและรู้ว่ามิใช่คนธรรมดา แต่เขาก็คิดว่าหยวนจุนยังแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะสู้กับตัวแทนจากเมืองลั่วฟาน
แม้แต่หลิววั่นซานก็ยังถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาหันศีรษะแล้วกล่าวว่า "เยียนเอ๋อร์ มู่เฟิงจากตระกูลมู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย หากเราเปลี่ยนตัวตอนนี้ยังทันนะ"
“ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา”
เมื่อเห็นหลิวหรูเยียนยึดมั่นในความคิดของตนเอง ทั้งสองจึงปิดปากสนิท และไม่พูดถึงหยวนจุนอีก
“ขณะนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว มิทราบว่าสหายหลิวมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความคิดนี้?”
หลิววั่นซานตบไปบนที่วางแขนทันที เขายกมือด้วยท่าทางองอาจแล้วกล่าวว่า “ดี! เช่นนั้นก็ตกลงตามที่สหายเซียวว่าเลย!”
ทั้งสองลงนามในสัญญา เป็อันว่ายอมรับกฎการประลองนี้อย่างเป็ทางการ
“พี่ใหญ่ ออมแรงไว้ก่อน รอบแรกนี้ให้ข้าประลองเอง!”
หลิวหรูเยียนพยักหน้าให้หลิวซินไห่อย่างสง่าราวกับเทพธิดากำลังเข้าสู่สนามประลอง ท่าทางที่สง่างามนั้นดึงดูดความสนใจจากผู้คนเป็อย่างมาก
“เซียงหลง เ้าไป” เซียวหานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเซียวหลงอย่างพอใจ นางเอ่ยเบาๆ ด้วยแววตาสุกใสราวกับกระจกสีทองที่ส่องประกาย ทำผู้คนตกอยู่ในภวังค์
เซียงหลงมีร่างกายสูงใหญ่กำยำ เพียงแค่ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ แสงสีดำก็แผ่ออกมาจากร่างกาย เมื่อเท้าของเขากระแทกลงสู่สนามประลอง รอยร้าวที่เห็นเด่นชัดก็ปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“ล่วงเกินแม่นางหลิวแล้ว!”
เซียวหลงมองตรงไปข้างหน้า คำนับให้หลิวหรูเยียนอย่างจริงใจ จากนั้นจึงตั้งท่าเตรียมพร้อม
“เคลื่อนท่าเก้าสยบ!”
เมื่อเผชิญหน้ากัน ฝีมือของหลิวหรูเยียนไม่ด้อยไปกว่าเซียวหลงเลย นางชิงลงมือด้วยความร้ายกาจ มือเรียวแสดงเคลื่อนท่าเก้าสยบอย่างคล่องแคล่ว พลังที่เกิดจากการเคลื่อนไหวเก้าท่านี้ทำให้แรงมหาศาลก่อตัวขึ้น ก่อนที่แรงนั้นจะพุ่งตรงไปยังเซียวหลง
เซียวหลงถอยไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็รวมพลังในร่างกาย เขาส่งกำปั้นไปปะทะกับพลังจากเคลื่อนท่าเก้าสยบ ทำให้เกิดเสียงะเิขนาดใหญ่ออกมา
หลังจากเกิดเสียงะเิ ทั้งสองกระเด็นออกไปคนละทิศทาง เสียงอื้ออึงในสนามประลองดังขึ้นทันที
“เซียวหลงอาศัยพลังจากร่างกายในการต้านเคลื่อนท่าเก้าสยบของหลิวหรูเยียน เขาคงฝึกฝนหนึ่งในวิชายุทธ์พลังกายาได้แล้ว ดังนั้นทุกหมัดที่เขาออกไปจึงเป็เพียงส่วนหนึ่งของวิชายุทธ์นี้เท่านั้น”
เมื่อหยวนจุนนึกย้อนถึงพลังที่หลิวหรูเยียนแสดงออกมา เขาลอบเลียริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “แม้เคลื่อนท่าเก้าสยบจะมิใช่วิชายุทธ์ แต่ก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ข้อมือของนางได้ ทุกฝ่ามือมีพลังแข็งแกร่ง หากกล่าวว่าเคลื่อนท่าเก้าสยบเป็ศัตรูตัวฉกาจของวิชายุทธ์พลังกายาก็คงไม่เกินจริง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้