อวิ๋นอี้เม้มริมฝีปากแน่นมองไปยังสตรีที่คลุมหน้าผู้นั้นโดยมิรู้ตัว
นางดูผอมเพรียว ตัวเรียวยาว ยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับต้นหลิวอ่อนกลางสายลม เพียงมองดูลักษณะของนางตรงกับที่กู่ซือฝานบอกนับครั้งไม่ถ้วนว่าเป็สตรีสง่างามผู้มีการศึกษา
อวิ๋นอี้จำนางได้แม่น เพราะตู้ซือโหรวเคยบอกว่าความสัมพันธ์ของหรงซิวและหว่านฉือดูเหมือนจะดีมาก
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่งที่สุด
กู่ซือฝานคว้าแขนนางไว้ ออกแรงเล็กน้อย อวิ๋นอี้ยิ้มเล็กน้อย เอียงหน้ามองไปที่หรงหลินแล้วพยักหน้าทักทาย จากนั้นจึงมองไปที่หว่านฉือ พูดกับกู่ซือฝานว่า “ท่านผู้นี้คือ...”
“นางไงเพคะ นาง!” กู่ซือฝานที่ถูกถามตอบอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ที่ข้าเคยบอกท่านไงเพคะ!”
“ข้าจำได้” อวิ๋นอี้ตอบแล้วย่อลงเล็กน้อย “สวัสดีเ้าค่ะ แม่หญิงหว่านฉือ เจอกันครั้งแรกได้โปรดชี้แนะด้วย”
หว่านฉือเดินไปข้างหน้าช้าๆ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าขาวบาง ราวกับว่านางกำลังเงยหน้าหลังจากที่มองนางก็รีบก้มหน้าลง พูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “หว่านฉือทำความเคารพพระชายาเจ็ดเพคะ”
“พี่หว่านฉือ รีบลุกขึ้นเถิด” กู่ซือฝานรีบแย่งพูด “ท่านพี่สะใภ้เจ็ดของข้านิสัยดีมาก!”
ทุกคนต่างพากันยกย่องนาง อวิ๋นอี้ทำได้เพียงแสร้งทำเป็ว่าเป็ผู้มีเหตุผลใจกว้าง
นางช่วยพยุงหว่านฉือขึ้น คิดถึงเื่ของนางที่รับรู้มา ถามด้วยความเป็ห่วงว่า “ข้าได้ฟังกู่ซือฝานพูด ก่อนหน้านี้แม่หญิงมิได้อยู่ที่เมืองหลวง เพิ่งกลับมาหรือเ้าคะ?”
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยเพคะ ก่อนหน้านี้ข้าสุขภาพไม่แข็งแรง จึงตั้งใจออกไปหาหมอข้างนอก เดิมทีคิดว่าคงมิได้กระไร มิคิดเลยว่าจะได้พบอาจารย์คนหนึ่งที่เก่งกาจมากข้างนอก ข้าได้อยู่ภายใต้การดูแลของเซียนหมอ จึงสามารถรอดมาได้” หว่านฉือใช้คำพูดคุยได้เก่งมาก รวมทั้งความเร็วในการพูดของนางนั้นช้า มีจังหวะ การได้ฟังก็ทำให้คนรู้สึกดี แววตาพลันพาให้อ่อนโยนลงไปด้วย “หว่านฉือคิดถึงครอบครัว ร่างกายดีขึ้นแล้วเล็กน้อย จึงรีบกลับมา”
“เพิ่งจะกลับมา ข้าคิดว่าหนทางคงยาวไกลมากเลยใช่หรือไม่ ร่างกายท่านไม่เป็กระไรนะเ้าคะ?” อวิ๋นอี้แสดงสีหน้ากังวล ราวกับว่าห่วงใยสุขภาพของนางจริงๆ
หว่านฉือพยักหน้า “มิเป็กระไรเพคะ”
“ดีแล้วเ้าค่ะ” อวิ๋นอี้ยิ้ม
การสนทนาง่ายๆ จบลงเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองไม่สนิทกัน หากคุยกันเยอะกว่านี้จะดูแปลกไป
ที่ที่มีกู่ซือฝาน ไม่ต้องกังวลว่าบรรยากาศจะเงียบไป
นางรับ่ต่อโดยธรรมชาติ พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
สักพักบรรยากาศรอบๆ ก็คึกคัก
รอบข้างมีแต่คนเล่นว่าว ทุกคนวิ่งกันไปมา จับเชือกสายยาวอยู่ในมือ จะบุรุษสตรีเด็กหรือคนแก่ก็ดูล้วนมีความสุขกันมากทั้งนั้น
หว่านฉือพูดคุยกับกู่ซือฝาน โดยมีหรงหลินที่อยู่ข้างๆ พูดคุยด้วยบ้าง
ในตอนที่อวิ๋นอี้สงสัยว่าพวกเขาควรจะออกไปก่อนดีหรือไม่ จู่ๆ หว่านฉือก็มองไปที่หรงซิว แล้วถามอย่างเป็ธรรมชาติว่า “่นี้องค์ชายมิยุ่งเื่ทำงานหรือเพคะ? ก่อนหน้านี้มิเคยเห็นท่านเลย”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที
ความคิดที่ยุ่งเหยิงในใจของอวิ๋นอี้หายไปในทันใด ดูเหมือนนางจะไม่สนใจทว่าจริงๆ แล้วหูทั้งสองเกือบจะตั้งตรงเพื่อรอฟัง
หว่านฉือกับหรงซิวมีเื่ให้ซุบซิบ!
ไม่แน่อาจมีความสัมพันธ์ที่อธิบายมิได้ระหว่างทั้งสองคน!
นางหันไปหาหรงซิวที่อยู่ข้างๆ บุรุษหนุ่มที่จู่ๆ ถูกเรียกชื่อ สีหน้าเขามิได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เขายังคงมีรอยยิ้มจางๆ เหมือนกับตอนที่เขาเผชิญหน้านาง พยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่”
หว่านฉือที่ได้คำตอบแล้วก็พยักหน้า หันไปทางกู่ซือฝานเหมือนจะพูดกระไรบางอย่าง จากนั้นก็ได้ยินกู่ซือฝานพูดบอกลา
“เช่นนั้นองค์ชายกับท่านพี่เล่นว่าวกันไปนะเพคะ! พวกเราจะไปเล่นกันอีกฝั่ง!”
พูดจบไม่ทันได้รอคำตอบ ทั้งสามก็ออกไปเสียแล้ว
อวิ๋นอี้รู้สึกทำกระไรไม่ถูก
จบแล้วหรือ?
ระหว่างหว่านฉือกับหรงซิว แค่ “ใช่” ก็จบแล้วหรือ?
พูดคุยกันสั้นมาก นางจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามีลับลมคมในกันหรือไม่!
นางแอบกัดฟัน โดยมิรู้ว่าหรงซิวกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนจู่ๆ เขาก็เป่าลมเข้าหูของนาง อวิ๋นอี้ใเสียงหลง เกือบจะชนเข้ากับเขา
“ทำกระไรเพคะ!” นางเบิกตากว้างถามเขา “ใหมดเลย!”
“ดูว่าเ้ากำลังคิดกระไร?” เขาพูดด้วยรอยยิ้มโอบรอบเอวของนาง “ข้าอยู่ข้างเ้า เ้ายังใจลอยเช่นนี้! ต้องโดนดีแล้ว!”
“กล้าหรือเพคะ!” อวิ๋นอี้ขู่เขา
หรงซิวหัวเราะและทำท่าทีหวาดกลัว ในขณะที่มิมีผู้ใดนั้น เขารีบบีบสะโพกนางด้วยมือใหญ่ของเขา และเลิกคิ้วมองนางอย่างมีชัย ทำท่าทีได้ใจ
ไร้สติ!
อวิ๋นอี้กลอกตาขาว คว้าว่าวจากมือเขามา แล้วเดินไปข้างหน้า
วันนี้ลมแรงมาก พื้นที่กว้างขวาง การเล่นว่าวสนุกมาก ทว่าอวิ๋นอี้ยังมีความกังวลนิดหน่อย
ั้แ่ที่หว่านฉือปรากฏตัว ความคิดความสนใจของนางก็ฟุ้งซ่าน
มีความคิดยุ่งเหยิงอยู่ภายในหัว ถึงขนาดเริ่มเปรียบเทียบตนเองกับหว่านฉือโดยมิรู้ตัว
นางรู้ดีว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้มิใช่เื่ดี ทว่านางไม่สามารถควบคุมได้
รูปร่างของหว่านฉือ เพรียวบางกว่านาง
น้ำเสียงของหว่านฉือ น่าฟังกว่านาง
ความรู้ของหว่านฉือ ลึกซึ้งกว่านาง
แม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่ก็ได้ยินมาว่านางสง่างามมาก
อ๊ากกกก!
อวิ๋นอี้หงุดหงิดใจมาก ยิ่งเปรียบเทียบยิ่งพบว่าตนเองเป็เศษขยะ
แค่คิดก็ปวดใจ
หรงซิวสังเกตเห็นความเหม่อลอยของนาง จึงถามนางหลายครา จนทำให้นางอารมณ์เสียมากขึ้น จากนั้นนางจึงอารมณ์เสียตัดบทบอกว่าเหนื่อยแล้ว แล้วทิ้งเขาไว้และกลับขึ้นรถม้าไป
นางนั่งอยู่ในรถม้าคนเดียว เงียบจนได้ยินเสียงหายใจ เสียงที่ดังก้องค่อยๆ สงบลง อวิ๋นอี้กลับมาได้สติและตระหนักได้ว่าตนเองทำตัวมิมีเหตุผลไปเสียแล้ว
หรงซิวคงจะงงมากตอนนี้
นางลงจากรถและกำลังจะไปขอโทษบุรุษผู้นั้น กลับพบว่าเขามิได้อยู่ที่เดิม
เขาไปที่ใดกัน?
อวิ๋นอี้มองไปโดยรอบ กวาดสายตาไปรอบๆ และในที่สุดก็พบแผ่นหลังของเขาที่ทางรถม้าในทางตะวันตกเฉียงใต้
เขาไปที่นั่นทำไม?
อย่าบอกนะว่าเขาโกรธแล้ว?
อวิ๋นอี้มุ่ยปาก คิดในใจว่าหรงซิวจอมคิดเยอะอาจจะโกรธจริงๆ ก็เป็ได้ นางยอมรับว่าเป็ความผิดของนาง เดี๋ยวต้องกล่อมเขาดีๆ แล้ว
นางวิ่งเหยาะๆ เข้าไป ในตอนที่ใกล้จะถึงตัวเขา คิดว่าจะแกล้งให้เขาใ นางจึงค่อยๆ เดินช้าลง ก้มตัวลงแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ทว่าคิดมิถึงเลยว่าเมื่อเข้าไปใกล้ กลับได้ยินเสียงหรงซิวพูด
เขามิได้อยู่คนเดียวหรือ?
อวิ๋นอี้หยุดเดิน มิได้ก้าวไปข้างหน้า
ในเวลานั้นนี่เองเสียงของหรงซิวพลันดังขึ้นอีกครา เสียงแ่เบา พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “เหตุใดกลับมาถึงไม่บอกกันสักคำ?”
อวิ๋นอี้เม้มปาก นางมีการคาดเดาที่ไม่ดีที่ต้องถูกพิสูจน์
เสียงที่ตอบมาเป็เสียงที่เคยได้ยิน ทั้งนุ่มนวลและช้า น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าก่อนหน้านี้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านมิได้ส่งคนตามข้าไปตลอดหรอกหรือ? การเดินทางของข้า ท่านรู้แจ้งเสียยิ่งกว่าผู้ใด ยังจะต้องบอกอีกหรือ?”
หรงซิวยิ้มตาม เป็เสียงผ่อนคลายที่อวิ๋นอี้ไม่เคยได้ยิน จากนั้นเขาก็ถามอีก “กลับมาครานี้จะออกไปอีกหรือไม่?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” หว่านฉือถามช้าๆ “หากท่านอยากให้ข้าอยู่ ข้าก็จะอยู่ ท่านอยากหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้