เมื่อหลินเฟิงได้ยินสองคำที่ว่า ‘เศษขยะ’ ออกมาจากปากของจื่ออี เขาจึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นสายตาเหยียดหยามของอีกฝ่าย เขาถึงกับต้องส่ายหน้าทันที
เส้นทางแห่งนักรบในใต้หล้านี้ เพื่อเกียรติยศแล้ว หากคนผู้นั้นไม่แข็งแกร่งล่ะก็ จะต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลังไม่มีใครเหลียวแล ถึงอย่างไรสำหรับบางคนก็เพียงปฏิเสธและรังเกียจอยู่ในใจเท่านั้น ไม่แสดงออกจากท่าทางใดๆ ซึ่งน่าจะดีกว่าจื่ออีในตอนนี้
“จื่อหลิง เอามันออกไปจากรถม้า”
จื่ออีกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ในน้ำเสียงนั้นไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้นางไม่อาจทนมองหน้าเศษขยะต่อไปได้ แม้จะเป็เศษขยะที่หน้าตาหล่อเหลามากก็ตาม
“ไม่ใช่ว่าเ้าเป็ทหารหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่มีทักษะยุทธ์ อย่างน้อยก็ต้องมีการบ่มเพาะระดับขอบเขตนักรบลมปราณ?”
จื่อหลิงมองหลินเฟิงด้วยสายตาแปลกๆ
“ข้าได้รับาเ็ และตอนนี้ก็ไม่เหลือพละกำลังเลยแม้แต่น้อย”
หลินเฟิงกล่าวขณะส่ายหน้า ไม่ใช่เพราะโกรธเคืองคำพูดของจื่ออี แต่เขาเพิ่งรอดพ้นจากามา มันเป็ประสบการณ์ที่มีระยะเวลายาวนานมาก เมื่อได้เห็นผืนดินที่ถูกชโลมไปด้วยเืสีแดงฉาน มันทำให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ไม่โอนอ่อนต่อสิ่งใดง่ายๆ นอกจากนี้สภาวะอารมณ์ของเขาในวันนี้ก็เปลี่ยนไป ต่อไปนี้ไม่ว่าถ้อยคำของใครมันล้วนไม่มีผลกระทบต่อเขาอีกต่อไป
“โอ้” จื่อหลิงพยักหน้าพลางมองหลินเฟิง ดูเหมือนกำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไรกับหลินเฟิงดี
“จื่อหลิง หากคนที่หมู่บ้านรู้เข้าว่าพวกเราพาเศษขยะแบบนี้ไปด้วย จะต้องถูกหัวเราะเยาะแน่ๆ โยนเขาทิ้งไปเถอะ!”
จื่ออีกล่าวอีกครั้ง นางไม่มีความละอายใจเลยแม้แต่น้อย สำหรับนางแล้วพวกเศษขยะก็แค่มดปลวกไร้ค่า นางจึงไม่สนใจความรู้สึกใดๆ ของหลินเฟิงทั้งสิ้น
“พี่จื่ออี ในเมื่อการพบครั้งนี้ก็ถือว่าเป็โชคชะตา ไม่เห็นต้องโหดร้ายขนาดนั้นเลย” จื่อหลิงกล่าวขณะทำหน้ามุ่ยและส่ายหัว แล้วกล่าวต่อว่า “หลินเฟิง หรือเ้าจะเป็คนรับใช้ของข้าดี งั้นจงตามข้ามา พวกข้าจะพาเ้ากลับไปที่หมู่บ้าน”
“คนรับใช้?”
หลินเฟิงประหลาดใจ ให้เขาเป็ทาสงั้นหรือ?
ในใจเขากำลังยิ้มขมขื่น เขาไม่คิดเลยว่าจะมาตกระกำลำบากเช่นนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขายังอยู่ในเขตของอาณาจักรโม่เยว่อยู่ อีกทั้งหยวนชี่ในร่างกายของเขาก็กำลังจะหมดไป จึงไร้ซึ่งพละกำลัง หากยังอยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้เกรงว่าอาจพบกับสถานการณ์อันตรายในภายหลัง ดังนั้นเลือกเป็คนรับใช้แล้วอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนน่าจะเป็ตัวเลือกที่ดีกว่า
หากเขาฟื้นฟูพลังแล้ว ใครจะกล้ามองเขาว่าเป็คนรับใช้ได้อีก?
หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เพราะไม่มีความเห็นใดๆ ที่จะเอ่ยออกไป
“เยี่ยม ต่อจากนี้ไปเ้าก็จงติดตามข้าไปทุกหนแห่งซะ”
จื่อหลิงยังหัวเราะคิกคักต่อไป ผู้หญิงคนนี้ช่างดูขี้เล่นเสียจริง ส่วนจื่ออีได้แต่ส่ายหัวและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
หมู่บ้านจื่อเหวยถูกล้อมรอบไปด้วยูเา เป็สถานที่อันเงียบสงบและตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรโม่เยว่ อีกทั้งยังเป็สถานที่ที่ทรงอิทธิพลมากและถูกปกครองโดยตระกูลจื่อ
ว่ากันว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลจื่อนั้นอยู่ถึงระดับขอบเขตลี้ลับ นอกจากนี้ตระกูลจื่อก็มีประวัติยาวนานกว่าอาณาจักรโม่เยว่ แต่เนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านไปชื่อเสียงของตระกูลจื่อจึงเริ่มลดลงจนจางหายไป
จื่อหลิงเป็บุตรสาวคนโตของหมู่บ้านจื่อเหวย ส่วนจื่ออีก็เป็บุตรสาวบุญธรรมที่เลี้ยงมาโดยบิดาของจื่อหลิง ดังนั้นสถานะในหมู่บ้านจื่อเหวยแล้ว จื่อหลิงจึงสูงส่งกว่าจื่ออี หากมีเื่อะไรจื่ออีก็ไม่สามารถปฏิเสธจื่อหลิงได้ ดังเช่นเื่นี้ที่จื่อหลิง้าพาหลินเฟิงกลับหมู่บ้านด้วย ซึ่งจื่ออีก็ไม่อาจทำอะไรได้แม้แต่น้อย ได้แต่ก้มหน้ายอมรับมัน
หมู่บ้านจื่อเหวยมีพื้นที่กว้างขวางและใหญโต แต่สถานที่ที่จื่อหลิงอาศัยอยู่นั้น มันเป็สถานที่ที่สวยงามและล้อมรอบไปด้วยูเา และลานด้านนอกขนาดใหญ่ก็ยังเป็สวนไผ่สีเขียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้สงบเงียบอย่างแท้จริง
ตอนนี้หลินเฟิงกำลังถือไม้กวาด และกำลังทำกวาดพื้นของลานบ้าน แต่ภายในใจของเขากำลังครุ่นคิดถึงบางอย่างอยู่
หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงหยวนชี่ฟ้าดิน ซึ่งเขารู้สึกได้ชัดเจนมากกว่าก่อน อย่างไรก็ตามมันกลับไม่สามารถจับต้องและััได้ เขาจึงไม่สามารถดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินเข้าไปในร่างกายได้ แต่สภาพที่เป็อยู่ตอนนี้ก็ทำให้เขาจิตใจสงบลงยิ่งขึ้น
หลินเฟิงมองใบไม้ที่ค่อยๆ ลอยไปตามกระแสลม และเขาก็รู้ว่าใบไม้ใบนี้จะตกลงตรงไหนได้อย่างชัดเจน
หลินเฟิงจับไม้กวาดด้วยมือซ้ายและยกมือขวาขึ้นฟันไปข้างหน้า เพื่อตัดใบไม้ใบนั้น แม้จะไม่มีพลังหยวนชี่และเจตจำนงดาบ แต่ฝ่ามือของหลินเฟิงก็ยังคงเคลื่อนไหวได้เฉียบคมราวกับดาบ
อย่างไรก็ตามเมื่อฝ่ามือของหลินเฟิงใกล้จะถึงใบไม้นั่น เขากลับรู้สึกว่าไม่สามารถทำได้ เพราะใบไม้นั้นทั้งเบาและลอยไปตามกระแสลม เขาคงไม่อาจจับต้องหรือััมันได้ ใบไม้ใบนั้นค่อยๆ ลอยไปข้างเขา ทำให้ฝ่ามือของหลินเฟิงฟันได้แต่ความว่างเปล่า และทิ้งรอยคลื่นจางๆ ไว้ในอากาศ
“ไม่สามารถตัดได้!”
หลินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย จนกระทั่งใบไม้ร่วงสู่พื้นโดยที่เขาไม่ได้ทันััสักนิด แค่ใบไม้ในสายลมแค่นี้แต่เขาไม่อาจััมันได้ คล้ายว่าแม้หลินเฟิงจะสามารถััได้ถึงเส้นทางของเขาเอง แต่กลับไม่สามารถมองเห็นเส้นทางของเขาได้ เมื่อพยายามจับต้องมัน เส้นทางของมันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
หากก่อนหน้านี้หลินเฟิงใช้พลังหยวนชี่ล่ะก็ เขาจะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และคงตัดใบไม้นั่นได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ฝ่ามือของเขาก็เหมือนกับดาบ สามารถตัดได้ทุกอย่าง แต่กลับไม่สามารถตัดมันได้
“ระดับขอบเขตของข้านั้น แม้จะหลอมรวมกับดาบแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะยังไม่เพียงพอ และเหมือนกับว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป”
หลินเฟิงบ่นพึมพำ ปฏิกิริยาของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปและระดับขอบเขตก็สูงกว่าก่อน แต่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอทางแยก ซึ่งมันเป็ทางแยกที่สำคัญมากๆ และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถก้าวไปได้อีกขั้นหนึ่ง
หลินเฟิงกำลังติดอยู่ในวังวนทางแยกซึ่งไม่สามารถก้าวไปต่อได้ เขาจึงไม่อาจดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินรอบๆ ได้
“ข้าจำได้ว่าวันนั้นตอนที่ข้าทะลวงขอบเขต กระดูกแตกหักไม่มีชิ้นดีและอวัยวะภายในก็ได้รับความเสียหาย ใน่วิกฤตนั่น เพราะจิตใจที่แน่วแน่ของข้าได้ทำให้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ เจตจำนงดาบ และเจตจำนงแห่งน้ำแข็งได้ถูกเผาไหม้ แล้วเกิดการผสมผสานจนกลายเป็ดาบที่แหลมคม สิ่งที่ข้าคิดถึงตอนนั้นก็คือดาบที่เป็ขอบเขตดาบซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าขอบเขตการผสาน นั่นก็คือคนและดาบได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกัน และจิตใจที่แน่วแน่อันแรงกล้าได้ทำให้ข้าบรรลุมาถึงจุดนี้”
หลินเฟิงกำลังระลึกความทรงจำเื่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นตอนที่เขาได้ทะลวงขอบเขต
“ข้าได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวดาบแล้ว แต่ยังต้องพึ่งขั้นแรกของจิติญญาแห่ง์อยู่ มันช่วยเพิ่มความสามารถและการหยั่งรู้ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีจิตใจที่แน่วแน่กว่าเดิม และจิติญญานักรบก็ทำให้ข้ามีการตอบสนองต่อดาบที่ดีขึ้น ทำให้ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตของการหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับดาบ แต่ว่าการหยั่งรู้ของข้าดูเหมือนว่าจะมีข้อบกพร่องอยู่”
ในใจหลินเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง การมีจิติญญานักรบที่แข็งแกร่งทำให้เขาได้ทะลวงขอบเขต แต่ว่านั่นคือการพึ่งพาจิติญญานักรบ ถ้าหากเขาทำด้วยตัวเอง เขาคงไม่มาถึงระดับขอบเขตอย่างวันนี้ได้ ดังนั้นการอยู่ในสภาวะพิเศษ ทำให้ไม่สามารถดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ได้
“ข้าได้ใช้เจตจำนงการต่อสู้ เจตจำนงน้ำแข็ง และเจตจำนงดาบ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็ดาบ แต่ไม่ใช่การสู้รบหรือการแช่แข็ง?”
“ใบไม้แม้จะไร้รากฐานและเคลื่อนไหวไปตามสายลม แต่ถ้าหากข้าหลอมรวมฟ้าดินและใบไม้เป็หนึ่งเดียวกัน ตอนนั้นฝ่ามือของข้าจะสามารถตัดใบไม้นั่นได้หรือไม่กันนะ?”
หลินเฟิงกำลังถือไม้กวาดและตกอยู่ในห้วงของความคิด ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่ที่ป่าไผ่แล้ว
ในขณะนั้นที่ด้านนอกลานบ้านได้มีร่างเงาสองร่างกำลังเดินนำชายวัยกลางคนท่านหนึ่งอยู่ และข้างกายเขาก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งติดตามมาด้วย นั่นก็คือจื่ออี
เมื่อเห็นหลินเฟิงที่กำลังยืนอยู่ในลาน ชายวัยกลางคนและจื่ออีที่กำลังเดินอยู่ต้องชะงักฝีเท้าลง
“ท่านพ่อ เขาก็คือเศษขยะที่พวกข้าไปเจอระหว่างทางครั้งก่อน จื่อหลิงเลยพาเขากลับมาที่หมู่บ้านด้วย แล้วมอบหน้าที่ให้เขาทำความสะอาดลานและให้พักอาศัยอยู่ที่นี่”
จื่ออีมองหลินเฟิงขณะอธิบายให้ชายวัยกลางคนได้รับทราบ
แต่ชายวัยกลางคนในตอนนี้กำลังจ้องหลินเฟิงเขม็ง และเผยสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่ากำลังครุ่นคิดอยู่
“ท่านพ่ออยากขับไล่เขาไปหรือไม่?”
จื่ออีมองชายวัยกลางคนที่กำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ และเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“หยุดพล่ามได้แล้ว”
ชายวัยกลางคนกำลังจ้องมองหลินเฟิง ซึ่งเห็นเพียงหลินเฟิงที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งเงียบ ไม่ขยับไปไหน แต่เศษฝุ่นที่อยู่รอบๆ ตัวเขา กลับดูเหมือนว่าจะกลายเป็กระแสน้ำวนที่หมุนวนไปมา
มันดูเล็กอย่างมาก หากไม่สังเกตให้ดีก็ไม่อาจมองเห็นได้
จื่ออีกวาดสายตามองหลินเฟิง นางไม่รู้ว่าท่านพ่อกำลังมองอะไรอยู่ ั์ตาของนางเผยให้เห็นประกายเหยียดหยาม แม้แต่หลินเฟิงนางก็ไม่มองอีกเป็ครั้งที่สอง เพราะเขามันก็แค่เศษขยะ นางจึงคร้านเกินกว่าจะมองเขาต่อ
“ท่านพ่อ ข้าจะไปเรียกจื่อหลิงมา”
จื่ออีกล่าวขณะมองไปที่ชายวัยกลางคน แต่เขาก็ไม่สนใจ นางจึงได้แต่ส่ายหน้า และเดินไปยังบ้านที่อยู่กลางลาน
หลังจากนางเดินออกไป เขาก็เห็นเศษฝุ่นที่ไหลเวียนไปมา มันรุนแรงมากกว่าเดิม และหลินเฟิง แม้เขาจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจมาก หลินเฟิงในตอนนี้ราวกับหลอมรวมกับฟ้าดินเป็หนึ่งเดียวกัน หลินเฟิงก็คือฟ้าดิน มันจึงทำให้เขาอยากดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้