หวังลี่ตงพาหวังฝูจื้อไปส่งที่บ้านชายหนุ่มผู้นั้นในเมืองเยี่ยน ได้เงินมาหกตำลึง เมื่อรับประทานอาหารเลิศรสเสร็จแล้วจึงกลับบ้าน
ทว่ากลับเกิดเื่เหนือความคาดหมายขึ้น หลังจากที่เขาออกจากเมืองไปได้ยี่สิบกว่าลี้ ก็รู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพัก พลันเขาก็พบว่าเงินหกตำลึงได้หายไปเสียแล้ว เขาใอย่างยิ่ง หาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังหาไม่พบ กระทั่งถุงใส่เงินก็ยังหายไปด้วย ในนั้นมีเงินอยู่ยี่สิบทองแดง
หวังลี่ตงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงย้อนกลับไปยังบ้านของชายหนุ่มที่เมืองเยี่ยน แต่กลับพบเพียงบ้านที่ว่างเปล่า จึงรู้ว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว
ชายหนุ่มผู้นั้นชื่อเจิ้งโหย่วเลี่ยง บอกว่าตนเป็คนเมืองเยี่ยน ที่บ้านเป็ตระกูลใหญ่ทำการค้าไม้ ญาติที่ในอำเภอฉางผิงเห็นเตียงเตาจึงอยากหารือเื่ธุรกิจ และอยากจ้างคนตระกูลหวังไปก่อเตียงเตาที่เมืองเยี่ยนด้วยค่าจ้างสูง
นี่คือเื่ที่หวังลี่ตงรู้ แต่เจิ้งโหย่วเลี่ยงหายตัวไปแล้ว ประตูบ้านเจิ้งก็ถูกคล้องกุญแจไว้ เพื่อนบ้านกล่าวว่า บ้านเจิ้งเป็บ้านที่มีคนนอกพื้นที่มาเช่าอาศัย ไม่ทราบว่าเขาเป็คนจากที่ใดและไม่ทราบว่าเขาไปไหน
หวังลี่ตงกลับบ้านด้วยใจฟุ้งซ่าน เขาเล่าเื่นี้ให้ชวีหงฟัง แต่นางกลับไม่เชื่อ เอาแต่บอกว่าเขาต้องนำเงินหกตำลึงไปเที่ยวหอนางโลมเป็แน่
“นังเมียโง่ หากไม่ใช่เพราะเ้า ข้าจะถูกหลอกหรือ” หวังลี่ตงบันดาลโทสะจนถึงกับตบหน้าชวีหงไปครั้งหนึ่ง เสียงตบดังฉาดใหญ่
“เ้ากล้าตบข้าหรือ ข้าไม่ยอมแน่” ชวีหงถูกตบจนได้ยินเสียงดังวิ้งๆ อยู่ในหู สุดท้ายก็ลงไม้ลงมือกับหวังลี่ตง
หวังซื่อนิวรังเกียจสองสามีภรรยายิ่งนัก นางไม่กล้าและไม่คิดจะเข้าไปแยก ได้แต่ยืนมองทั้งสองตบตีกันอยู่ตรงประตู
ผ่านไปไม่กี่วัน หวังฝูจื้อก็กลับมาที่หมู่บ้านในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาไร้แวว เบ้าตาลึกโบ๋ ใบหน้าไร้สง่าราศี เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ผอมลงไปสิบกว่าชั่งแล้ว อีกทั้งยังดูแก่ชราลงไปมาก ราวกับปีนขึ้นมาจากรังขอทานอย่างไรอย่างนั้น
เห็นครั้งแรกจางซื่อถึงกับจำไม่ได้ ว่านี่คือสามีที่แข็งแรงกว่าบุรุษอื่นในหมู่บ้าน พอนึกออกก็มีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด ถามไปว่า “เ้าไปทำงานที่เมืองเยี่ยนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาเร็ว?”
ดวงตาของหวังฝูจื้อไร้ประกาย เมื่อเดินเข้าประตูมาก็ล้มตัวลงกับพื้นสลบไปทันที
บุตรชายของหวังฝูจื้อกำลังพลิกดินอยู่ที่ลานด้านหลัง เมื่อได้ยินว่าหวังฝูจื้อเข้าบ้านมาก็สลบไสลไปทันที จึงร้อนใจเป็อย่างยิ่ง รีบวิ่งไปที่ลานหน้าบ้าน คิดพยุงหวังฝูจื้อไปยังบ้านหลี่ “ข้าจะไปหาหลี่หรูอี้”
ลูกสะใภ้ของจางซื่อและหวังฝูจื้อก็ตามไปด้วย
ระหว่างทางมีคนในตระกูลหวังเห็นพวกเขาแล้ว หากเป็เมื่อก่อนคงมีคนเข้าไปถามไถ่ และอาจมีคนกังวลจนติดตามไปที่บ้านหลี่ด้วยกัน
ทว่าตอนนี้คนตระกูลหวังต่างรู้แล้วว่า หวังฝูจื้อผิดคำสาบานแยกตัวออกไปทำงานคนเดียว ไหนเลยจะสนใจเขาอีก
หลี่หรูอี้กำลังเล่าเื่ตลกให้จ้าวซื่อฟัง เมื่อเห็นครอบครัวของหวังฝูจื้อมาหา อีกทั้งหวังฝูจื้อยังสลบไสลไม่ได้สติ นางก็นึกถึงเื่ที่หวังฝูจื้อได้กระทำลงไป คร้านจะสนใจพวกเขาอีกจึงให้พวกเขายืนอยู่นอกรั้ว
บุตรชายของหวังฝูจื้อเป็บุตรกตัญญูผู้หนึ่ง เขารีบคุกเข่าลงะโเสียงดังว่า “สะใภ้จ้าว ท่านพ่อของข้ากลับมาถึงบ้านก็สลบไปทันที ขอร้องเถิด โปรดช่วยท่านพ่อด้วย”
จ้าวซื่อก็รู้เื่ของหวังฝูจื้อเช่นกัน จึงกล่าวไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “หากบิดาเ้าป่วยก็พาไปหาหมอที่เมืองเยี่ยนเถิด” นางลงเสียงหนักขณะกล่าวคำว่า เมืองเยี่ยน
จางซื่อร้องห่มร้องไห้ “ชีวิตคนทั้งคน พวกเ้าจะไม่สนใจเชียวหรือ”
หลี่หรูอี้เกลียดการถูกผู้อื่นข่มขู่เป็ที่สุด นอกจากนั้นหวังฝูจื้อยังทรยศคำสาบานของตระกูลเพราะเงินสิบตำลึง ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็นับว่า์มีตาแล้ว “ข้าไม่ใช่หมอ พวกท่านไปหาหมอที่เมืองเยี่ยนเถิด”
ลูกสะใภ้ของหวังฝูจื้อร้อนใจยิ่งนัก นางยื่นมือไปปิดปากจางซื่อแล้วกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “พวกเรามาเพื่อขอร้องสะใภ้จ้าว มิใช่มาเพื่อข่มขู่พวกเขา ท่านอย่าพูดจาเหลวไหลอีกเลย”
หลี่สือถือท่อนไม้วิ่งออกจากห้องครัวมาอยู่ข้างกายจ้าวซื่อและหลี่หรูอี้ ะโใส่ครอบครัวหวังฝูจื้อว่า “พวกเ้าไปเมืองเยี่ยนเถิด อย่ามาพูดไร้สาระอยู่ที่ประตูบ้านข้า!”
“เมืองเยี่ยนอยู่ไกลเกินไป ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะตายก่อนไปถึงที่นั่น สะใภ้จ้าว หรูอี้ ขอร้องเถิด โปรดเมตตาช่วยท่านพ่อด้วย แล้วข้าจะเป็วัวเป็ม้าให้พวกท่านไปชั่วชีวิต” บุตรชายของหวังฝูจื้อคุกเข่าโขกศีรษะอย่างแรงจนหัวแตกเืไหล ภรรยาของเขาเห็นเช่นนั้นก็ปวดใจยิ่งนัก รีบคุกเข่าโขกศีรษะไปกับเขาด้วย
จางซื่อกลัวว่าหวังฝูจื้อตายไปแล้วตนจะไม่มีที่พึ่ง นอกจากนั้นตนก็เป็แม่หม้ายที่มาแต่งงานใหม่ จึงรีบคุกเข่าลงด้วย
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่นอกรั้ว เพื่อมาดูความครึกครื้น แต่กลับไม่มีใครกล่าวอะไร จะอย่างไรหวังฝูจื้อก็ถือเป็ผู้าุโที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงในตระกูล อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เขาดูเหมือนคนใกล้ตายจริงๆ
“ท่านแม่ ท่านอยู่ที่นี่อย่าขยับไปไหนนะเ้าคะ ข้าจะไปดูสักหน่อย” หลี่หรูอี้เดินเข้าไปจับชีพจรให้หวังฝูจื้อ แล้วตรวจดูที่ดวงตา พักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “เขาไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรง เพียงแค่หิวจนสลบไปเท่านั้น ท่านตกหลุมพรางผู้อื่นแล้ว เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็ให้เขากินโจ๊กไปก่อนสองวัน”
บุตรชายของหวังฝูจื้อมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด “ท่านพ่อหิวจนสลบไปหรือ”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเขายังไม่ได้กินอะไรอีกก็จะหิวตาย”
หวังฝูจื้อถูกบุตรชายหยิกเข้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง ความเ็ปทำให้เขาฟื้นคืนสติโดยพลัน
หลี่หรูอี้กล่าวกับบุตรชายของหวังฝูจื้อที่ดีใจจนร้องไห้ว่า “ยังไม่รีบพาเขากลับบ้านไปกินโจ๊กอีก”
ครอบครัวหวังฝูจื้อรีบร้อนกลับไป คนที่มามุงดูก็ตามไปถึงบ้านของหวังฝูจื้อด้วย
หลังจากกินโจ๊กร้อนๆ ลงท้องไปถ้วยหนึ่ง ในที่สุดหวังฝูจื้อก็มีแรงพูด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดหาใดเปรียบว่า “หัวใจข้าคงถูกหมูกินไปแล้วกระมัง ข้าถูกหลอก ข้าผิดต่อตระกูลแล้ว”
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงมีสภาพเช่นนี้ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”
“ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” หวังฝูจื้อน้ำตาไหลเต็มหน้า เขากินโจ๊กถ้วยใหม่ไปอย่างช้าๆ สุดท้ายก็เล่าเื่ที่ตนถูกหลอกให้ฟัง
ที่แท้หวังฝูจื้อไปบ้านเจิ้งโหย่วเลี่ยงที่อยู่ในเมืองเยี่ยนด้วยกันกับหวังลี่ตง หลังจากกินอาหารกลางวันแล้วหวังลี่ตงก็กลับมาที่หมู่บ้านหลี่ ส่วนเจิ้งโหย่วเลี่ยงก็พาหวังฝูจื้อไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ชานเมืองของเมืองเยี่ยน ให้หวังฝูจื้อก่อเตียงเตาที่นั่น
หวังฝูจื้อไม่ได้คิดมากเพียงนั้นเขาจึงทำงานไปอย่างซื่อสัตย์ จนกระทั่งตกเย็นเจิ้งโหย่วเลี่ยงก็เลี้ยงเนื้อเลี้ยงเหล้าเขา ทั้งยังมีบ่าวหญิงกลางคนผู้หนึ่งคอยรินสุราอยู่ข้างกายอีกด้วย
หวังฝูจื้อดื่มสุราไปมาก เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนนอนอยู่บนพื้น ถูกมัดแขนมัดขาไว้จนแน่น
เจิ้งโหย่วเลี่ยงฟ้องร้องต่อเ้าหน้าที่ทางการสองคน ซึ่งแต่งกายด้วยชุดขุนนางและพกกระบี่ว่า หวังฝูจื้อขโมยเงินเขาไปหกตำลึง ทั้งยังลวนลามบ่าวหญิงวัยกลางคนนางนั้นอีกด้วย
บ่าวหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ ร้องห่มร้องไห้ เล่าว่าหวังฝูจื้อเมาสุราและใช้กำลังข่มเหงนาง นางไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
เ้าหน้าที่ทางการสองคนพบเงินหกตำลึงจากหวังฝูจื้อที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใด เมื่อมีคนและพยานหลักฐานพร้อมเช่นนี้ จึงคิดคุมตัวหวังฝูจื้อไปที่ศาลาว่าการ
หวังฝูจื้อร้องว่าตนถูกใส่ร้าย คราวนี้เขาสร่างเมาแล้ว ทั้งยังรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอก หากไปที่ศาลาว่าการจริงๆ ด้วยโทษขโมยของและข่มเหงสตรีทั้งสองข้อ เขาคงถูกตัดสินโทษตายเป็แน่
เจิ้งโหย่วเลี่ยงเชิญเ้าหน้าที่ทางการทั้งสองคนไปรอที่ด้านข้าง จากนั้นจึงข่มขู่หวังฝูจื้อว่า หากไม่บอกวิธีการก่อเตียงเตาจะไปฟ้องร้องที่ศาลาว่าการ
หวังฝูจื้อย่อมคิดรักษาชีวิตของตน สุดท้ายจึงบอกวิธีการก่อเตียงเตาไปจนหมด
เจิ้งโหย่วเลี่ยงรีบให้คนก่อเตียงเตาตามวิธีที่หวังฝูจื้อบอก เมื่อก่อเตียงเตาจนเสร็จ และรอจนกระทั่งเตียงเตาแห้งดีแล้วค่อยปล่อยตัวหวังฝูจื้อไป
หวังฝูจื้อถูกขังอยู่ในบ้าน ถูกปล่อยให้หิวอยู่สองวันสองคืน เงินในตัวก็ถูกบ่าวของเจิ้งโหย่วเลี่ยงแย่งชิงไปจนหมด อีกทั้งยังไม่มีความรู้ติดตัว ได้แต่เดินเท้ากลับบ้านอย่างไร้เรี่ยวแรง จนกระทั่งหนึ่งวันเต็มจึงจะกลับถึงหมู่บ้านหลี่
หวังฝูจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงรวดร้าว “หวังลี่ตงและชวีหงต้องเป็พวกเดียวกับเจิ้งโหย่วเลี่ยงแน่นอน พวกเขาร่วมมือกันหลอกให้ข้าบอกวิธีก่อเตียงเตา”
จางซื่อได้ยินดังนั้นก็โกรธจนปอดแทบะเิ “เ้าหวังลี่ตง นังชวีหง ชั่วช้าจริงๆ ถึงกับทำร้ายฝูจื้อของพวกเราเชียว!”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้