นางมองดูอีกรอบก่อนจะกลับจวนพร้อมกับชิงหู
ประตูหลังป๋ายซูยืนรออยู่นานแล้ว
ภายใต้การปกปิดของนางหลินเมิ้งหยากลับไปถึงห้องของตนเองอย่างปลอดภัย
บนเตียงป๋ายจีนอนพลิกไปพลิกมา
นายหญิงของนางยังไม่กลับมาเลยดังนั้นจึงรู้สึกกระวนกระวายเพราะกลัวว่าจะถูกพบเข้า
อยู่ ๆเงาดำพลันปรากฏข้างเตียงของนาง
ริมฝีบางปากพยายามสะกดเสียงร้องของตนเองเอาไว้ยื่นมือขาวออกไปแหวกผ้าออกดู
ได้เห็นรองเท้าลายดอกโบตั๋นที่คุ้นเคยดังนั้นจึงรู้สึกสบายใจ
“นายหญิงอย่าล้อข้าเล่นอย่างนี้สิเ้าคะ ข้าใแทบตาย”
เปิดผ้าห่มออกก่อนจะได้เห็นหลินเมิ้งหยาที่กำลังยืนยิ้มภายใต้ผ้าคลุมสีแดง
“ข้าก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้นต่อจากนี้ไปเ้าต้องระวังให้มากหน่อยนะพี่ป๋ายจี”
นางใช้สายตาตำหนิมองทางหลินเมิ้งหยาก่อนจะหลุดขำพรืดออกมา
เมื่ออยู่ด้วยกันมานานพวกนางจึงมิได้รู้สึกต่อกันเพียงแค่นายบ่าวเท่านั้น
“รีบมานี่เถิดเ้าค่ะตอนเย็นอากาศหนาว บนเตียงอุ่นกว่า”
ป๋ายจีรีบเปลี่ยนชุดให้กับหลินเมิ้งหยาสองนายบ่าวขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน
“นายหญิงยังไม่ทันจะถึงฤดูหนาวเลย เหตุใดร่างกายของท่านจึงเย็นเช่นนี้?”
มือบางปิดเท้าของหลินเมิ้งหยาเอาไว้ด้วยความเอ็นดูนางมีน้องชายและน้องสาว ดังนั้นจึงใส่ใจคนในจวนมากเป็พิเศษ
“คงเป็ธรรมดาของร่างกายจริงซิ ป๋ายจี ครอบครัวของเ้ามีกี่คน? ”
ร้านยาจำเป็ต้องมีคนดูแลแต่สถานะของนางค่อนข้างพิเศษ ดังนั้น นางจึง้าคนที่ไว้ใจได้
นับั้แ่วันที่ป๋ายจีก้าวเท้าเข้ามาที่นี่นางขยันขันแข็งและช่วยงานหลายต่อหลายเื่
อีกทั้งยังเป็คนของนางเองครอบครัวที่เลี้ยงดูเด็กสาวเช่นนี้ขึ้นมาได้จะต้องไม่เลวเลย
“ตอบนายหญิงครอบครัวของข้ามีพ่อ แม่ น้องสาวหนึ่งคน น้องชายสองคนเ้าค่ะ”
เื่พวกนี้นางเขียนในประวัติชัดเจนก่อนเข้าจวนมา
หากมิใช่เพราะความอดอยากนางคงไม่ออกมาหางานทำ
แต่โชคดีที่นางได้มาอยู่ที่นี่นายหญิงดีกับนางเสมือนพี่น้องที่แท้จริง นี่คือความโชคดีของนาง
“เช่นนั้นพ่อแม่เ้าทำงานอะไร? ”
ป๋ายจีมิได้คิดอะไรมากดังนั้นจึงตอบตามความจริง
“ตอนที่พ่อข้ายังหนุ่มเขาเคยเป็ผู้ดูแลงานในจวนของเศรษฐี แม่ของข้าเคยทำงานในโรงเย็บผ้าต่อมาเพราะอายุที่มากขึ้น ดังนั้นจึงไม่อาจทำงานได้ ก็เลยถูกเ้านายไล่ออกเ้าค่ะ”
การจ้างงานในสมัยโบราณไม่ค่อยน่าเชื่อถือและไม่มีความมั่นคง
พนักงานเองก็ไร้ซึ่งกฎหมายคุ้มครองดังนั้นเมื่อถึงวัยชราจึงต้องทนต่อความอดอยาก
“ข้ากำลังจะทำธุรกิจที่ด้านนอกหนึ่งก็เพื่อหาเงินให้พวกเราใช้ สองเพื่อเก็บไว้เป็สินเดิมของพวกเ้าข้าไม่วางใจให้ผู้อื่นดูแลร้านแห่งนั้น มิสู้เ้าลองตามพ่อแม่ของเ้ามาพบข้าหน่อยหากข้าดูแล้วเห็นว่าสามารถใช้งานได้ เช่นนั้นข้าจะให้พวกเขาดูแลที่นั่นดีหรือไม่? ”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ป๋ายจีชะงัก
สองตามองดูนายหญิงเสมือนคนโง่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“แต่นายหญิงเ้าคะพ่อแม่ข้าอายุมากแล้ว น้อง ๆ ของข้าเองก็ยังไม่รู้เื่ หาก...”
“ไม่มีอะไรหรอกข้าเชื่อใจเ้า ดังนั้นข้าจึงเชื่อใจครอบครัวของเ้าด้วย ป๋ายซูกับป๋ายจื่อไม่มีครอบครัวพรุ่งนี้เ้าลองถามป๋ายซ่าวดู หากครอบครัวของนางเองก็ขาดแคลนเงินทอง จงเรียกครอบครัวของนางมาให้ข้าดูตัวด้วย”
เสียงของหลินเมิ้งหยาเริ่มเบาลง
ป๋ายจียังไม่ทันตอบนายหญิงของนางก็หลับสนิทไปแล้ว
นางยิ้มส่ายหน้า
นายหญิงของนางเป็คนฉลาดหลักแหลม
แต่อุปนิสัยบางครั้งก็เหมือนเด็ก
มือบางจับผ้าห่มคลุมร่างของนายหญิงให้มิดชิดความรู้สึกซาบซึ้งยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ
การได้มีเ้านายเช่นนี้แสดงว่าชาติก่อนนางต้องทำบุญไว้มากอย่างแน่นอน
ปลายฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นมากขึ้นทุกที
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดดอกเก๊กฮวยในสวนของหลินเมิ้งหยายิ่งบานสะพรั่งงดงาม
พระสนมเต๋อเฟยเดินมาเที่ยวเล่นชมดอกไม้ที่ตำหนักของนางทุกวัน
“ถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย”
ทันทีที่พระสนมเต๋อเฟยเดินมาถึงตำหนักสาวใช้ทั้งสี่ของหลินเมิ้งหยารีบออกมาต้อนรับอย่างมีมารยาทและถูกต้องตามขนบธรรมเนียม
“ไอหยาสาวใช้ในตำหนักหลิวซินงดงามและว่านอนสอนง่ายยิ่งนัก จิ่นเยว่ เ้าลองดูซิสาวใช้สี่คนนี้เหมือนเ้ากับข้าสมัยก่อนหรือไม่? ”
พระสนมเต๋อเฟยชอบหลินเมิ้งหยามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแม้แต่สาวใช้ในจวนเองก็รู้สึกถูกชะตาด้วยเช่นเดียวกัน
“เหนียงเหนียงชมพวกนางเกินไปแล้วสาวใช้ทั้งสี่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยมแต่พวกนางมิอาจเทียบเคียงรัศมีของพระองค์ได้หรอกเพคะ”
ดวงตาของจิ่นเยว่เผยให้เห็นความชื่นชม
ภายใต้การสั่งสอนของหลินเมิ้งหยาสาวใช้ทั้งสี่เริ่มเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งการแต่งตัวท่วงท่าการนั่งและเดิน พวกนางปฏิบัติตัวดีเสียยิ่งกว่าคุณหนูของชนชั้นสูง
สายตาทอดยาวแต่กลับไม่เห็นร่างนายหญิงของตำหนักแห่งนี้
“ป๋ายจีนายหญิงของเ้าเล่า? เหตุใดจึงไม่เห็นนาง?ปกตินางจะออกมาทักทายก่อนเป็คนแรกมิใช่หรือ? ”
พระสนมเต๋อเฟยมองหาหลินเมิ้งหยาไม่เจอ
“ทูลเหนียงเหนียงพรุ่งนี้เป็วันงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวยนายหญิงรู้สึกว่างานเลี้ยงแบบเดิมน่าเบื่อจนเกินไปดังนั้นจึงเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อทำให้เหนียงเหนียงประหลาดใจเพคะ”
ป๋ายจีตอบกลับด้วยความเคารพ
พระสนมเต๋อเฟยกับจิ่นเยว่สบตากันพระชายาคิดจะทำอะไรแผลงๆ อีก?
“โอ้?มีอะไรแปลกใหม่อย่างนั้นหรือ เ้าลองพูดให้ข้าฟังที”
พระสนมเต๋อเฟยหยักยิ้มขึ้นที่มุมปากด้วยความดีใจแต่เพราะหลินเมิ้งหยากำชับเอาไว้ ดังนั้นพวกนางจึงไม่กล้าพูดแต่กลับเชิญพระสนมเต๋อเฟยเสด็จไปดูด้วยตนเอง
“ได้ เช่นนั้นเปิ่นกงจะไปดูเองเ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งซน”
แม้จะเป็แม่สามีลูกสะใภ้แต่เมื่อเทียบกับลูกชายที่มักจะจริงจังกับทุกเื่แล้วนางสนิทกับหลินเมิ้งหยามากกว่า
เพียงเดินเข้าไปภายในตำหนักหลิวซินกลับได้เห็นหลงเทียนอวี้โอบอุ้มหลินเมิ้งหยาอยู่ ทุกคนจึงยืนอึ้ง
“ใอะไรกัน? ”
ร่องรอยของความเขินอายปรากฏขึ้นในดวงตาของจิ่นเยว่
พวกคนรับใช้ไม่ควรได้เห็นท่าทางแสดงความรักระหว่างท่านอ๋องกับพระชายาเช่นนี้
นี่มันเกิดเื่อะไรกัน
“หมู่เฟย!รีบวางหม่อมฉันลงเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้ อันที่จริง นางกำลังแขวนของบางอย่างอยู่บนบันได แต่ใครจะรู้ว่านางจะตกลงมา
คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะมารับได้ทันเวลา
มือแกร่งคว้าอุ้มร่างนางเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันพอดี
ดังนั้นทุกคนจึงได้เห็นละครฉากนี้
ตอนนี้แม้แต่หน้าของนางเองก็แดงก่ำ
“ระวังหน่อยอย่าทำให้ตัวเองเจ็บอีก”
ทั้งที่เป็เพียงจุมพิตที่มิได้ตั้งใจทว่า หัวใจของหลงเทียนอวี้กลับเต้นระรัว
ลมหายใจของหลินเมิ้งหยาอ่อนหวานและงดงามยิ่งนัก
เสมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
“หม่อมฉันไม่เป็ไรเพคะ”
หญิงสาวชายหนุ่มจึงเงียบไปเพราะความอึดอัด
ทว่าใบหน้าของคนอื่นกลับแดงก่ำ
“เ้าเด็กสองคนนี้ไอหยา เ้าเด็กสองคนนี้”
พระสนมเต๋อเฟยเดินเ้ามานางที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงดี
ในราชวงศ์การแต่งงานเป็เพียงการเชื่อมความสัมพันธ์ อีกทั้งยังเป็เสมือนกุญแจมือ
หากทั้งคู่มีใจต่อกันเช่นนั้นก็นับว่าเป็เื่ดี
หย๋าเอ๋อร์เป็เด็กดีแต่อวี้เอ๋อร์กลับทำให้นางใ
“ถวายคำนับหมู่เฟยเมื่อครู่...เมื่อครู่หม่อมฉันเพียงแค่ตกลงจากบันไดท่านอ๋องก็เลยมารับไว้เท่านั้นเพคะ”
ใบหน้าแดงก่ำหลินเมิ้งหยาไม่รู้เลยว่ายิ่งพูดยิ่งเหมือนเป็การแก้ตัว
“เขาช่วยเ้าอืม ทำได้ไม่เลว แต่ข้าได้ยินว่าเ้ามีเื่แปลกให้ให้ดูตกลงเ้ามีอะไรให้ข้าดูอย่างนั้นหรือ? ”
พระสนมเต๋อเฟยรีบเอ่ยทำลายความอึดอัดดวงตาคู่สวยมองทางหลงเทียนอวี้
หลงเทียนอวี้รีบหลบตาก่อนจะมอบพระชายาของตนเองให้หมู่เฟย
“หม่อมฉันคิดว่างานเลี้ยงธรรมดาน่าเบื่อยิ่งนักเพคะเช่นนั้นพวกเรามาจัดงานเลี้ยงแข่งขันทายหน้ากากกันดีกว่าเพคะ”
งานเลี้ยงแข่งขันทายหน้ากาก?ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยกับหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นถึงความงงงวย
นี่...ความคิดอะไรกัน?
หลังจากพระสนมเต๋อเฟยและหลงเทียนอวี้ได้ฟังหลินเมิ้งหยาอธิบายพวกเขาจึงเข้าใจในที่สุด
คราวนี้ทุกคนที่มาร่วมงานจะต้องสวมหน้ากากที่หลินเมิ้งหยาทำขึ้น
เท่านี้ก็จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร
ดังนั้นทุกคนก็จะยิ่งรู้สึกสนุก
งานเลี้ยงทายหน้ากากนี้มีเพียงในเทศกาลไหว้พระจันทร์เท่านั้น
ขณะเดียวกันนางจะมีคำถามเกี่ยวกับเทศกาลวันไหว้พระจันทร์และดอกเก๊กฮวย
คนที่ตอบได้มากที่สุดจะได้รับรางวัล
หากยังคงเผยตัวตนและจัดงานเลี้ยงแบบเดิมเกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยคงได้รับเพียงคำชมตามมารยาทเท่านั้น
สู้จัดงานเลี้ยงรื่นเริงเช่นนี้ดีกว่า
“คือว่า...เกรงว่าจะไม่เหมาะนะเพคะหากมีคนเข้ามาทำร้ายเหนียงเหนียงเล่า? ”
จิ่นเยว่รู้สึกกังวลถึงอย่างไรสถานะของพระสนมเต๋อเฟยนั้นสูงส่ง ดังนั้นจึงมิควรถูกมองข้าม
“ท่านน้าได้โปรดวางใจในงานเลี้ยงจะถูกแบ่งเป็ชายและหญิง ฝ่ายหญิงจะมีงานเลี้ยงของฝ่ายหญิงฝ่ายชายเองก็จะมีงานเลี้ยงขางฝ่ายชาย แม้จะสวมใส่หน้ากากแต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถแบ่งชายแบ่งหญิงได้อย่างชัดเจนหากข้าอยู่ดูแลข้างกายหมู่เฟย ไม่มีทางมีคนเข้ามาทำร้ายพระองค์ได้อย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาเพียงอยากเห็นงานที่คึกครื้นเท่านั้นเมื่อถึงเวลา นางจะพาพระสนมเต๋อเฟยไปแอบเพื่อดูอะไรสนุก ๆ
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อแยกทุกคนได้อย่างชัดเจน
สวนของนางล้วนเป็เป้าหมายของทุกคน
คนนอกที่มาร่วมงานไม่ว่าเ้านายหรือลูกน้องจะต้องสวมใส่ชุดที่นางออกแบบเป็พิเศษ
เพียงพริบตาเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าอันไหนคือตาปลาหรือไข่มุก
ยิ่งไปกว่านั้นที่แขนของทุกคนจะต้องประทับตราพิเศษ
หากคิดจะก่อความวุ่นวาย...ก็ฝันไปเถอะ!
“อืมน่าสนใจยิ่งนัก อวี้เอ๋อร์ เ้าคิดเห็นเช่นไร? ”
อยู่ ๆพระสนมเต๋อเฟยก็หันไปถามหลงเทียนอวี้
ตอนแรกคิดว่าหลงเทียนอวี้จะตอบกลับ
แต่รออยู่นานเขายังคงเงียบ
“อวี้เอ๋อร์?อวี้เอ๋อร์? หมู่เฟยกำลังถามเ้านะ”
หันหน้าแต่กลับได้เห็นลูกชายของตนเอง จ้องมองใบหน้าลูกสะใภ้ตาไม่กะพริบ
