ในวังใต้ดินที่สงบแต่กลับเต็มไปด้วยเืกระจายไปทั่วหญิงสาวสวมชุดผ้าไหมสีเขียวกำลังนอนที่พื้น ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยเืหยาดเืค่อยๆ หยดลงจากรอยแผลที่บริเวณมือขวาของเธอ ก่อนจะไหลรวมกันยังสระเื
หลินลั่วหรานได้แต่ฝืนยิ้ม ที่แท้เธอก็ถูกกรีดเืนี่เองไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหมือนกับตอนที่ถูกหมอกสีชมพูของโจวเหย้าเวยดูเหมือนว่าจะไม่ได้โดนพิษของหมอกเพียงอย่างเดียว แต่เป็เพราะว่าเสียเืมากด้วย
แต่ว่าหญิงสาวสวมชุดดำนั้นกลับจะคุยเื่ศาสตร์ยากับหลินลั่วหรานในสถานการณ์แบบนี้ เธอเกรงว่าจะต้องเอาตัวเองไปทำ “ยาวิเศษ” อะไรนั่นเสียมากกว่า
“ที่นี่ ที่ไหน?” หลินลั่วหรานพยายามที่จะถามออกมาความจริงแล้วเธอไม่ได้อยากจะพูดคุยอะไรหรอก เธอก็แค่อยากยื้อเวลาออกไป
ไม่รู้ว่าหญิงสาวสวมชุดดำนั้น รู้สิ่งที่เธอคิดหรือเปล่าแต่หญิงสาวสวมชุดดำก็เลือกที่จะไม่สนใจมันเธอจัดการโยนดอกบัวสีดำในมือลงไปยังสระเืก่อนที่มันจะเติบโตขยายใหญ่ขึ้นกลางสระ สายเืค่อยๆ ไหลเข้าไปฟื้นฟูเหล่ารอยแตกอย่างรวดเร็ว ก้านบัวนั้นผ่องใส ด้านในของมันว่างเปล่าทำให้สามารถเห็นสายเืที่กำลังไหลเข้าไปได้ เมื่อกลีบดอกดูดดื่มเืจนเต็มที่มันก็เริ่มเติบโตใหญ่ขึ้นไม่หยุด ก่อนที่ฝักบัวด้านในจะปรากฏออกมาให้เห็นและเป็ที่นั่งสำหรับคนหนึ่งได้พอดี หญิงสาวสวมชุดดำะโขึ้นไปก่อนจะนั่งไขว่ห้างลงตรงนั้น ใบหน้าของเธอลดระดับความชั่วร้ายลงไปมาก จนดูราวกับ“กวนอิมแห่งเื” ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนใจดี
“ที่นี่เหรอ...เป็ที่ที่แม้ว่าจะหาทั่วจีนก็ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่แล้ว”
หญิงสาวสวมชุดดำกะพริบตาลงความเย้ายวนและความชั่วร้ายของเธอลดน้อยลงไปในชั่ววินาทีนี้
สถานที่ที่ไม่อาจจะมีอีกแล้วในจีน ที่นี่มีเืมากมายจนกลายเป็สระเืหลินลั่วหรานนั้นมึนงงเพราะเสียเืแต่ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเริ่มเดาได้ขึ้นมาบ้างแล้วแต่กลับเปิดหน้าต่างบานนั้นไม่ออกเสียที
หญิงสาวสวมชุดดำเผยยิ้มสดใสออกมา ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไป “พวกเรามาคุยเื่ศาสตร์ยากันเถอะ”
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยนั้นหลินลั่วหรานก็ตรวจสอบพลังในร่างกายไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ต้องพบว่ามันไม่สามารถใช้ได้เลย เธอยังคงสามารถควบคุมจิตความคิดได้แต่ว่าไม่สามารถที่จะติดต่อยังไปไข่มุกได้แม้แต่น้อย ที่นี่แปลกมากจริงๆ
หญิงสาวสวมชุดดำยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “อย่ายื้อเวลาเลยจะดีกว่าที่นี่ถูกควบคุมเอาไว้ทุกอย่าง ดิ้นรนไปแล้วจะได้อะไร? สบายใจเถอะตอนนี้ฉันยังไม่ฆ่าเธอหรอก เอาไว้รอให้เืหยาดสุดท้ายไหลรินลงมาในตอนที่ยังไม่ทันได้หายใจครั้งสุดท้ายนั่น ก็จะค่อยเอาเธอยัดใส่ในหม้อปรุงยาได้ยินมาว่าตอนนี้เธอเป็ผู้สืบทอดคนสุดท้ายของศาสตร์ยาแล้วเธอว่าการที่ฉันใช้คนมาทำยาแบบนี้ มันแปลกดีใช่ไหมเหมือนได้เปิดโลกใบใหม่เลยใช่ไหมล่ะ?”
ใช้คนทำยา!
ในสระที่เต็มไปด้วยเืนี้ต่างก็เพื่อสำหรับให้หญิงสาวสวมชุดดำใช้ในการทำยาเหรอ...บริเวณข้างหน้าเธอนี้ มีคนตายไปแล้วกว่ากี่คน? แม้ว่าเธอจะไม่สามารถเชื่อมต่อไปที่ไข่มุกได้เลยแต่ในใจของหลินลั่วหรานก็ยังไม่ยอมแพ้หญิงสาวสวมชุดดำพูดว่าที่นี่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ แต่เธอไม่เชื่อแบบนั้นหากมีที่แบบนี้จริง ก็ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกมนุษย์ บนโลกใบนี้ทุกอย่างต่างก็ต้องมีสมดุลเป็ของตัวเองสถานที่ที่วิเศษเหนือโลกแบบนี้ แปลกเสียยิ่งกว่าไข่มุกหลายเท่าตัว แต่ว่าในตอนนี้เธอยังสามารถใช้จิตความคิดได้อยู่คำพูดของหญิงสาวสวมชุดดำนั้น ก็เป็เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง
เมื่อจิตความคิดยังสามารถใช้ได้อยู่ ในใจของหลินลั่วหรานก็มีความหวังขึ้นมาโดยเฉพาะตอนที่เธอหันไปเห็นว่าถุงจักรวาลยังคงติดอยู่ที่ข้างเอวของเธอ
เมื่อหญิงสาวสวมชุดดำเห็นว่าเธอไม่ยอมตอบกลับ ก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรด้วยเวลาที่ค่อยๆ ไหลผ่านไป หลินลั่วหรานก็มีแต่จะอ่อนแอลงเท่านั้นและเธอก็ไม่อาจจะทำอะไรได้อีก แล้วทำไมหญิงสาวสวมชุดดำจะต้องกังวลใจด้วยล่ะ
หญิงสาวสวมชุดดำใช้มือแกว่งลงไปในสระเืก่อนที่ในมือของเธอจะปรากฏเม็ดเจลลี่ใสสีแดงขึ้น เธอคว้ามันเข้าปากอย่างสบายใจเม็ดเืแบบนี้ สำหรับท่านประธานไอแล้วมันคือยาวิเศษที่มีฤทธิ์ในการยื้อเวลาชีวิตของเขา แต่สำหรับหญิงสาวสวมชุดดำแล้วมันก็เป็เพียงขนมขบเคี้ยวเล่นเท่านั้น
เมื่อนึกไปถึงว่าเืของตัวเองกำลังไหลไปรวมอยู่ที่บ่อนั่นเช่นกันบางทีใน “ยาวิเศษ” ที่หญิงสาวสวมชุดดำกำลังกินเข้าไปนั้นก็น่าจะมีเืของตัวเองอยู่ด้วย หลินลั่วหรานอ่อนล้าลงทุกที เธอมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวถ้าเธอไม่สามารถจะคว้ามันไว้ได้ เธอก็คงจะต้องตายอยู่ที่นี่
ตอนไหนถึงจะได้โอกาสที่ดีที่สุดกันนะ...
หลินลั่วหรานพยายามใช้แรงในการขยับมือขวาของตัวเองขึ้นปลายนิ้วของเธอขยับขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่คอของเธอเพียงเพราะการกระทำเล็กๆ เหล่านี้
หญิงสาวสวมชุดดำที่นั่งอยู่บนแท่นดอกบัวมองเหม่อไปยังใบบัวเพียงใบเดียวนั่น ราวกับเธอจะหลงลืมหลินลั่วหรานไปแล้ว
โอกาสนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะลงมือหรือว่าไม่?
...
บนเขาสูงมักจะเป็สถานที่ที่ผู้คนโบราณเลือกที่จะใช้เป็ที่สักการะมันเต็มไปด้วยความปรารถนาของผู้คน
ในบริเวณที่เต็มไปด้วยหุบเขาเรียงรายต่อกันในสมัยโบราณมักเรียกูเาลูกแรกว่า “ต้นเขา” ในวันวานของจินหลิงเขาจงชานก็คือสถานที่แบบนั้น
เมื่อหลายต่อหลายปีก่อน ในตอนที่เขาจงชานยังถูกเรียกว่า “เขาจินหลิง”เพราะว่ามีแม่น้ำฉางเจียงไหลผ่าน เมืองจินหลงถูกห้อมล้อมไปด้วยแม่น้ำลักษณะของมันเหมาะแก่การตั้งเป็เมืองหลัก ดังนั้นจักรพรรดิฉูเวยจึงเลือกที่จะตั้งเมืองจินหลิงขึ้นมาและอาศัยแม่น้ำฉางเจียงในการเป็เกราะป้องกันทางธรรมชาติของเมือง
ในบันทึกพงศาวดารเจี้ยงคัง (หนานจิง) บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิฉูเวยนั้น“ใช้เขาเป็ที่ตั้ง สร้างเมืองจินหลิง”แม้ว่าเมืองจินหลิงในปัจจุบันจะไม่ได้้าการป้องกันอะไรจากแม่น้ำฉางเจียงแล้วแต่ว่าตำแหน่งความสำคัญของเขาจงชานนั้น ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ใจกลางจุดชมวิวของเขาจงชาน ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจินหลิงบริเวณใจกลางของมันนั้นคือสุสานซุนยัดเซนที่มีชื่อเสียงของจีนมันคือสุสานแห่งหนึ่งที่คนในยุคปัจจุบันต่างก็รู้กัน ไม่ว่าจะเป็วันหยุดหรือวันธรรมดาต่างก็มีนักท่องเที่ยวจากมากมายหลายสถานที่เข้ามาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย
วันนี้เป็วันเสาร์พอดี และเป็วันที่แสงอาทิตย์สาดส่องสดใส
แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงไม่อาจจะขวางกั้นความกระตือรือร้นของเหล่านักท่องเที่ยวได้บนเขาจงชานนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ในตอนบ่ายของวันที่แสนจะธรรมดาวันหนึ่ง แต่มันกลับจะเป็ตอนบ่ายที่ไม่อาจลืมเลือนได้ของนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ในวันนี้
กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งนั้นนั่งลงพักที่บริเวณระเบียงก่อนที่จะพบว่าอยู่ๆ บนหัวของพวกเขาก็มีเงาทอดลงมาราวกับเป็ร่วมขนาดใหญ่ให้กับพวกเขา ในระหว่างที่พวกเขากำลังสงสัย นักท่องเที่ยวที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขากลับมีอาการใกรีดร้องออกมาราวกับเห็นผี
คุณยายคนหนึ่งมีอายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ถูกลูกหลานพาขึ้นมาชมเขาแห่งนี้แต่ในตอนนี้เมื่อมองไปยังด้านหน้าของตัวเอง หัวใจก็แทบจะหยุดเต้นราวกับไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้อีก
“อินทรี...” สาวน้อยวัยสี่ห้าขวบที่อยู่ใน่หัดพูดจากรูปภาพเมื่อเห็นสัตว์ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับนกอินทรีในภาพเธอก็ปรบมือหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
เด็กตัวน้อยนั้นสามารถรู้จักสัตว์ต่างๆ ได้จากรูปภาพแต่กลับไม่ได้รู้เลยว่าความจริงพวกมันควรมีขนาดเท่าไร แม่ของสาวน้อยนั้นมีอาการที่ต่างออกไปจากเธอเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของลูกสาว เธอก็รีบเอามือปิดปากของเด็กน้อยเอาไว้เธอถอยหลังเข้าไปในกลุ่มคนกลัวเหลือเกินว่าอินทรีจะได้ยินเสียงที่ลูกสาวของเธอพูดออกไป บนโลกใบนี้ มีอินทรีตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่เสียที่ไหนกัน? แล้วอย่าได้พูดถึงที่ตัวของมันเปล่งประกายราวกับทองแบบนี้ด้วยเลย
“นี่มันอะไร? กำลังถ่ายหนังเื่ัหยกตอนศึกเทพอภินิหารจ้าวอินทรีหรือยังไง?”
“ไร้”
“พูดมากน่ะ ถ่ายรูปเร็ว!”
การตอบสนองใหม่ล่าสุดก็คือ กลุ่มวัยรุ่นที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดินพวกนี้เหล่าเด็กชายวัยรุ่นที่สวมกางเกงขาเดฟ และเด็กสาวที่ชอบแต่งตาเป็แพนด้าพวกนี้ใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังได้รับความนิยม ถ่ายรูปของอินทรีจากทั่วทุกมุมส่งเสียง “แชะ แชะ” ออกมาดังไปทั่ว
เหล่านักท่องเที่ยวต่างก็ได้สติกลับมา ก่อนที่จะค่อยๆคว้าเอาอุปกรณ์การถ่ายภาพขึ้นมาถ่ายอย่างไม่ยอมแพ้
อินทรีทองใช้ประโยชน์จากรั้วหิน เพราะว่าความเร็วของมันนั้นว่องไวมากจึงทำให้ราวกับอยู่ๆ ก็มาปรากฏอยู่บริเวณด้านหน้าของพวกเขาและเมื่อในตอนนี้มันเก็บปีกยืนตรงขึ้น ก็ทำให้เห็นว่ามันมีความสูงมากกว่าสองคนยืนต่อกันเสียอีก!
ไม่มีใครเคยพบเห็นอินทรีทองที่ฉลาดหลักแหลมแบบนี้!
นี่คือ สัตว์ประหลาดอย่างในตำนานเหล่าขานหรือเปล่า?
ในตอนนี้ แม้แต่เหล่าเด็กวัยรุ่นที่ชอบใช้ภาษาแปลกๆ พิสดารเ่าั้ยังอยากจะเข้าไปค้นหาข้อมูลดู ใครจะสามารถบอกกับพวกเขาได้บ้างว่าอินทรีทองนี้ คืออะไรกันแน่?
เมื่อเห็นว่าอินทรีนั้นสงบเงียบอยู่ตลอดผู้คนจึงพากันขยับเข้าไปที่ทางนั้นมากขึ้น
เสี่ยวจินมองไปยังบรรดาคนที่ขยับไปมาอยู่้าเนื้อที่เต็มไปด้วยมลพิษแบบนี้ มันไม่ใช่อาหารของมันั้แ่แรก เมื่อเทียบกันแล้วมันกินผลไม้ที่เ้านายให้เสียยังจะดีกว่า
แต่ว่า กลิ่นของเ้านายนั้นสิ้นสุดอยู่แค่ที่นี่...แล้วมันจะไปหาเธอได้จากที่ไหน?
เสี่ยวจินหันหน้าไปมา ก่อนที่แววตาของมันจะปรากฏความงุนงงขึ้น