ก้านและใบผักเขียวๆ ขาวๆ ถูกพลิกไปมาระหว่างนิ้วมือของเขา นิ้วของเขาเปื้อนเศษดินเล็กน้อยกลับยิ่งขับเน้นให้นิ้วขาวเรียวงามขึ้น
อินเหิงก้มหน้าก้มตาง่วนกับสิ่งที่อยู่ในมือ ไม่ได้เงยหน้ามองแม้แต่น้อย แต่จู่ๆ ก็เอ่ยถาม “มีเื่ใดหรือ?”
เมื่ออันธพาลรู้ตัวว่าถูกจับได้ ก็เกาหัวด้วยความเก้อกระดาก “พี่ใหญ่ พี่น้องของข้าให้ข้ามาถามว่า สตรีงามที่สวมชุดแดงวันนี้เป็ผู้ใดหรือ”
อินเหิงหยุดมือชั่วคราว ก่อนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจ้องหัวหน้าอันธพาลด้วยดวงตาสีอ่อน ไม่แสดงความเห็นใด
อันธพาลรีบกล่าวต่อ “พวกข้าไม่มีเจตนาร้ายใดๆ เพียงสงสัยจึงอยากจะถามดู พวกเราทุกคนล้วนชมชอบนางยิ่งนัก”
อินเหิงละสายตากลับมาสนใจผักในมือต่อ เลิกคิ้วก่อนเอ่ยว่า “อ้อ นางเป็ญาติผู้พี่ห่างๆ ของอาอู่”
อันธพาลพลันฮึกเหิม “ที่แท้ก็เป็ญาติผู้พี่ห่างๆ หรือขอรับ พี่ใหญ่พอจะแนะนำให้พวกข้ารู้จักนางได้หรือไม่?”
อินเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นางเป็คนเมืองหลวงที่ชอบเล่นสนุก เป็คนเปิดเผย หากพวกเ้าอยากรู้จักนาง ก็หาโอกาสพานางไปยังที่ที่ไม่มีผู้คน แล้วทำความรู้จักกันให้ดี”
สองตาของอันธพาลทอประกายวิบวับ “จริงหรือ?!”
เดิมเขาเพียงแค่ลองถามดู ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ใกล้ชิดสาวงามผู้นั้น ไม่คาดคิดเลย ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพี่ใหญ่จะใจกว้างถึงเพียงนี้!
อันธพาลลูบมือก่อนเอ่ย “พี่ใหญ่ พวกข้ารับรองว่าจะปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน ไม่หยาบคายเด็ดขาด!”
อินเหิงกล่าว “ไม่ต้องกังวล รสนิยมของนางแปลกประหลาด ชอบเล่นลูกเล่นแปลกใหม่บ้าง”
“รับทราบขอรับพี่ใหญ่ ข้านี่จะไปแจ้งหัวหน้าประเดี๋ยวนี้!”
อันธพาลได้ยินเสียงความวุ่นวายในครัว คาดว่าคนงามผู้นั้นคงอยู่ในครัว จึงแอบพูดคุยกับอินเหิงอย่างลับๆ ล่อๆ อินเหิงก็กดเสียงต่ำมากตอบเขาเช่นกัน
จากนั้นอันธพาลก็วิ่งจากไปอย่างวาบหวามใจ วิ่งไปไกลแล้วค่อยะโออกมาว่า “อาๆๆ! แค่คิดถึงคนงามเยี่ยงนั้นก็น่าตื่นเต้นแล้ว!”
ทางด้านเมิ่งเจียนเจียกับเมิ่งซวี่ซวีกลับถึงเรือน โดยเมิ่งซวี่ซวีเดินนำหน้าเข้าเรือน ขณะที่เมิ่งเจียนเจียถูกทิ้งให้เดินกะโผลกกะเผลกตามหลังมาไกลๆ
เมื่อก้าวเข้าประตูเรือน เมิ่งเจียนเจียเอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “ซวี่ซวี รอข้าด้วยสิ”
ครั้นนางเย่เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาพยุงนาง เอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “เจียนเจีย เกิดอันใดขึ้น? ทำไมถึงได้เป็แบบนี้?”
เมิ่งเจียนเจียตาแดง ยังไม่ทันเอ่ยคำใด เมิ่งซวี่ซวีก็กล่าวด้วยความไม่พอใจ “นางเห็นบุรุษรูปงามเลยเคลิ้มจนเดินไม่ไหวอย่างไรเล่า!”
นางเย่เอาแต่สนใจเมิ่งเจียนเจีย ไม่สนใจนางเลย ยิ่งทำให้เพลิงโทสะของเมิ่งซวี่ซวีทวีขึ้น
นางเย่พยุงเมิ่งเจียนเจียไปนั่งเก้าอี้ ก่อนจ้องเมิ่งซวี่ซวีอย่างตำหนิ “พูดจาแบบนี้ได้อย่างไร!”
เมิ่งเจียนเจียกล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ อย่าโทษน้องสาวเลย ข้าเผอเรอเอง ระหว่างทางข้าข้อเท้าพลิก พักสักครู่ก็หายแล้วเ้าค่ะ” นางกัดริมฝีปากนิดๆ รู้อยู่แก่ใจว่านางเย่คงอยากรู้ว่าบุรุษรูปงามที่เมิ่งซวี่ซวีกล่าวถึงคือผู้ใด จึงเอ่ยต่อ “โชคดีที่ได้พบคุณชายเฉินฟางระหว่างทาง เขาจึงช่วยพยุงข้ามาตลอดทาง”
แน่นอนว่านางเย่รู้จักเฉินฟางผู้นี้ นั่นเป็ญาติผู้พี่ห่างๆ ของเมิ่งอู่ที่เพิ่งปรากฏตัว ทันทีที่เขามาถึงก็ครองใจบรรดาเด็กสาวในหมู่บ้านแล้ว
นี่ทำให้บุรุษหนุ่มในหมู่บ้านอิจฉาตาร้อน แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ เพียงยืนอยู่ใกล้ๆ เขาครู่เดียว พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้สึกละอายใจ
นางเย่หมายมั่นปั้นมืออยากจะหาคู่ครองที่ดีให้บุตรสาว เฉินฟางผู้นี้นับเป็ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเนื่องจากทั้งมีอุปนิสัยใจคอไม่ธรรมดาทั้งมีรูปร่างหน้าตางดงาม แต่ไม่รู้ว่าชาติตระกูลเป็เช่นไร
ในอดีตยามที่ผู้าุโเซี่ยยังมีชีวิตอยู่ เมิ่งเจียนเจียเคยเรียนหนังสือกับเขามาบ้าง หรือถึงจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่เด็กสาวในหมู่บ้านล้วนนิยมฟังนิทานเกี่ยวกับบัณฑิตหนุ่มกับหญิงชาวบ้านและเื่ราวของชนชั้นสูง
เมิ่งเจียนเจียกล่าวต่อ “คุณชายเฉินฟางผู้นั้นสวมเสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอม ตามตัวประดับหยก บุคลิกสง่างาม ต้องเป็คุณชายตระกูลใหญ่ถึงจะมีได้กระมัง”
เมิ่งซวี่ซวีกับนางเย่ต่างตั้งใจฟัง แม้เมิ่งซวี่ซวีรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม ตามตัวประดับหยก หมายความว่าอย่างไร?”
เมิ่งเจียนเจียจึงเล่าทุกเื่ราวที่พบเจอวันนี้ยามที่ได้ใกล้ชิดกับเฉินฟางให้ฟังอย่างละเอียด นางยังได้ยินลุงหลิวเล่าว่า ยามที่เฉินฟางไปที่เรือนของเมิ่งอู่ เขานำของขวัญไปด้วยมากมาย ล้วนแต่เป็ของราคาแพง
เมิ่งซวี่ซวีฟังจนตาเป็ประกาย ขณะที่นางเย่ครุ่นคิดบางอย่างเงียบๆ
เมิ่งเจียนเจียกล่าว “หยกที่เอวของคุณชายเฉินฟางทั้งใสไร้ตำหนิ ลวดลายก็วิจิตรประณีต น่าจะล้ำค่ามาก”
ภายภาคหน้าหากผู้ใดได้เป็ภรรยาของเขาย่อมร่ำรวยเงินทองชั่วชีวิต ไร้กังวลเื่เสื้อผ้าและอาหาร
นางเย่ตริตรองก่อนกล่าว “วันนี้เขาช่วยเ้า เย็นนี้พวกเราก็เชิญเขามากินอาหารที่เรือนสิ”
เมิ่งเจียนเจียรับคำอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน
ขณะนั้นเองนางเหอเดินออกจากห้อง กล่าวตรงๆ ว่า “ในเมื่อเขาดีเช่นนั้น เย็นนี้ก็จับเขาไว้เป็เขยของบ้านสกุลเมิ่งของข้าเสียเลยสิ”
นางเย่เองก็มีความตั้งใจเยี่ยงนั้น
เมิ่งเจียนเจียหน้าแดงก่ำทันที กล่าวว่า “ท่านย่า ยังไม่ทราบว่าคุณชายเฉินฟางหมายความว่าอย่างไร…”
นางเหอได้ยินเื่ราวของเฉินฟางมาบ้าง จึงกล่าวอย่างดุร้าย “ข้าไม่เคยได้ยินว่าพวกนางมีญาติห่างๆ หากไม่คิดหาวิธี จะปล่อยให้นางเด็กสารเลวเมิ่งอู่นั่นได้เปรียบหรือไร?”
แค่คิดถึงเมิ่งอู่ นางเหอก็เคียดแค้นชิงชังจนต้องกัดฟัน และขาสั่นเทาด้วยความเ็ป
หากญาติผู้พี่ของเมิ่งอู่เป็บุตรเขยของบ้านเมิ่งต้า ต่อให้ในอนาคตนางเซี่ยมีบ้านเดิมหนุนหลัง ญาติของนางก็ยังต้องดูว่าสมควรจะเข้าข้างฝ่ายใด!
แบบนี้ไม่เพียงแต่จะได้บุตรเขยที่ร่ำรวย ยังสั่งสอนครอบครัวของเมิ่งอู่ได้ด้วย ไม่ใช่ว่ายิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้วิหคสองตัวหรือ
เมิ่งเจียนเจียกล่าวอย่างเขินอาย “หากคุณชายเฉินฟางไม่เต็มใจ…”
นี่ว่าไปแล้ว เป็คนในเมืองกลับไม่้าเด็กสาวดีๆ ในเมือง เหตุใดถึงจะแต่งงานกับเด็กสาวในหมู่บ้านด้วยเล่า?
นางเหอใคร่ครวญสักพักค่อยกล่าวว่า “เย็นนี้เขาจะมากินอาหารเย็นที่เรือน ก็จับเขาขังไว้ในห้องเดียวกับเ้าตอนกลางคืน รอจนถึงวันพรุ่งต่อให้เขาอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ได้ ต้องรับผิดชอบเื่นี้ด้วยการแต่งงานกับเ้า”
นางเหอเคยใช้วิธีนี้มาก่อนและได้ผล เพียงแต่ในอดีตเป็การหลอกลวงบุตรสาวของบ้านอื่นมาทำลายชื่อเสียง บัดนี้คิดจะใช้วิธีเดิม แต่เป็การส่งหลานสาวของตนให้ผู้อื่น
ไม่ว่าจะหลอกลวงมาถึงประตูเรือนหรือส่งออกไปให้ ตราบใดที่บรรลุเป้าหมายก็พอแล้ว
นางเย่ไม่ได้แสดงความเห็นใดต่อเื่นี้ ไม่ได้เห็นด้วย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
แทนที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชั่วกาลและแต่งงานกับหนุ่มบ้านนอก ไม่สู้ลองเสี่ยงดูสักครา หากได้เป็ภรรยาของคนในเมือง ก็ต้องติดตามเขากลับเข้าเมือง ถึงเวลานั้นครอบครัวของพวกนางก็จะเป็ไก่สุนัขขึ้น์ [1] ไม่ใช่หรือ?
หัวใจของเมิ่งเจียนเจียเต้นระรัว นางกัดริมฝีปากนิดๆ พวงแก้มแดงก่ำ
เมื่อนึกถึงภาพที่เฉินฟางช่วยพยุงนาง เมิ่งเจียนเจียจะไม่หวั่นไหวอย่างไรไหว นางรู้ดีแก่ใจว่า หากอยู่กับเขา ย่อมดีกว่าอยู่กับหนุ่มในหมู่บ้านที่ตัวเหม็นเหงื่อไคลเป็ร้อยเท่าพันทวี
ยิ่งกว่านั้น เขายังปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน ทำให้นางอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้
นางเย่กล่าว “รอให้เขาเข้ามาในเรือนก่อน แล้วดูสถานการณ์อีกทีค่อยว่ากัน”
ว่ากันตามจริง นางเย่กับนางเหอต้องยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าเขาเป็คุณชายจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยในเมืองจริงหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงอะไรอื่น สายตาที่นางเย่มองคนออกจะดูถูกเหยียดหยามมากโข
……….
[1] หมายถึง ถ้าคนใดมีลาภยศได้เป็ใหญ่เป็โต ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของคนคนนั้นก็พลอยอาศัยบารมี มีหน้ามีตาไปด้วย