ฉินอวี่และสยงท่าเทียนยังไม่ได้ไปที่ตระกูลฉิน แต่กลับหาที่พักตามโรงเตี๊ยมก่อน ก่อนที่พวกเขาจะเข้าพัก ฉินอวี่ได้แอบให้คนส่งจดหมายไปยังตระกูลฉินฉบับหนึ่ง เพื่อให้ฉินเสวี่ยไม่ต้องเป็กังวล
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องตระกูลฉิน อย่างน้อย ตอนนี้ก็มีเพียงจื่อซวินเอ๋อคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองคือฉินอวี่ โชคดีที่สยงท่าเทียนเรียกตนเองว่าพี่ใหญ่ และไม่เรียกด้วยคำว่าฉิน ไม่เช่นนั้น อาจทำให้ผู้คนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่ใหญ่ ท่านจะมาขวางข้าทำไม?” ทันทีที่เขาเดินเข้ามา สยงท่าเทียนก็พูดอย่างไม่พอใจ ในความเห็นของเขา เขากำลังคิดว่าฉินอวี่ไม่เชื่อเขา
“แม้ว่าเ้าสามารถเอาชนะเขาได้แล้วอย่างไร? เ้าสามารถฆ่าเขาได้แล้วเป็อย่างไร? แม้ว่าเ้าจะมีพลังที่จะฆ่าเขาได้ ก็ต้องมีใครบางคนเข้ามาขวางอยู่ดี การต่อสู้ในครั้งนี้เป็เื่ไม่จำเป็ ยิ่งไปกว่านั้น หากต่อสู้กันต่อไป ก็ต้องพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย” ฉินอวี่พูดช้าๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อสยงท่าเทียน แต่ด้วยเพราะระดับการฝึกฝนของทั้งสองคนที่แตกต่างกันเกินไป และด้วยสติปัญญาที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของสยงท่าเทียน ทั้งสองอย่างเป็ข้อเสียอย่างมาก
“พี่ใหญ่ ท่านไม่เชื่อข้าแล้วหรือ? เขากล้าดูถูกท่าน ข้าก็แค่อยากจะฆ่าเขา” สยงท่าเทียนจ้องเขา พลางพูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ฉินอวี่พูดอะไรไม่ออก หลังจากพูดออกมามากมายเป็ชุดใหญ่ เขาเหมือนได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจของตนเอง แต่ด้วยน้ำใจของสยงท่าเทียนทำให้ฉินอวี่รู้สึกซาบซึ้ง เขาจึงพูดออกไปอย่างสงบ “ข้าแค่ไม่อยากให้เ้าได้รับาเ็”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี่พูด หัวใจของสยงท่าเทียนก็อบอุ่นขึ้นมา เขายิ้มกว้างพลางพูดว่า “เฮ้ พี่ใหญ่ ท่านประเมินข้าสยงท่าเทียนต่ำไปแล้วล่ะ อาการาเ็พวกนี้มันไม่มีอะไรสำคัญเลย ท่านไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ที่ข้าถูกตาแก่นั่นไล่ล่าและทุบตี มันน่าอนาถสิ้นดี ท่านลองคิดดูนะ เมื่อก่อนข้าโดนตาแก่นั่นต่อยตีมาเป็ปีๆ ก็ยังไม่เป็อะไรเลย ท่านรู้หรือไม่ว่ามันรู้สึกอย่างไร? ท่านดูสิ ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตชีวาดีอยู่หรือไม่?”
ฉินอวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่คำพูดของสยงท่าเทียนก็ทำให้ฉินอวี่รู้สึกโล่งใจจริงๆ ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยเืและดูเหมือนจะาเ็สาหัส แต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวได้อย่างสบายๆ
“จริงสิ สยงท่าเทียน ตอนนี้คนในตระกูลขวงสยงของเ้ามีกันอยู่กี่คน?” ฉินอวี่ถาม ภายใต้ปมของความบาดหมางครั้งนี้ ฉินอวี่กำลังเป็กังวลว่าถงอวิ๋นเฟยอาจจะลงมือทำร้ายสยงท่าเทียน
สยงท่าเทียนเกาศีรษะอย่างเชื่องช้า ยกมือใหญ่เหมือนพัดขึ้นมาและพับนิ้วโป้งลงหนึ่งนิ้ว
“สี่คน?”
สยงท่าเทียน คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพับนิ้วก้อยลงอีกหนึ่งนิ้ว
“สามคน?” ดวงตาทั้งสองของฉินอวี่ตกตะลึง
สยงท่าเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียดนิ้วก้อยกลับออกไปให้ตรง
ฉินอวี่รู้สึกปวดหัวกับท่าทีของสยงท่าเทียน และพูดขึ้นอีกหนว่า “มีกี่คน”
สยงท่าเทียนยิ้มและพูดว่า “สามคน แต่ก็มีสี่คนเช่นกัน” เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี่เต็มไปด้วยความตกตะลึง สยงท่าเทียนก็กล่าวอย่างเขินอาย “ในบ้านของข้ามีเพียงพ่อ ตาเฒ่าและตัวข้าเอง แต่ตาเฒ่ากล่าวว่ามีชายชราอีกคนที่หายไป และเขาน่าจะยังไม่ตาย... ดังนั้น ควรนับชายชราคนนั้นอีกหนึ่งคนด้วยใช่หรือไม่?”
ฉินอวี่ถึงกับถอนหายใจทันที เวลาล่วงเลยถึงตอนนี้ ตระกูลขวงสยงโรยราไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงกระนั้นนี่ก็เป็เื่ปกติ เพราะตอนยุคสมัยรุ่งเรืองสูงสุดก็มีคนไม่เกินหนึ่งร้อยคน...
“เอาล่ะ เ้าก็ควรไปนั่งทำสมาธิสักพักนะ ตลอดหนึ่งเดือนนี้อย่าไปวุ่นวายที่ไหน ข้าต้องใช้เวลาฝึกฝนสักระยะหนึ่ง”
ฉินอวี่ไม่ได้ถามอะไรมากเกี่ยวกับเื่ของตระกูลขวงสยง ตามคำพูดของสยงท่าเทียน แม้ว่าคนตระกูลขวงสยงจะมีอยู่เพียงสี่คน แต่อย่างน้อยที่สุดก็มีผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าอยู่สองคน ยิ่งไปกว่านั้น ตาเฒ่าคนที่สยงท่าเทียนพูดถึงก็น่าจะไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ท้ายที่สุด หากสยงท่าเทียนเติบโตเต็มวัยก็จะต้องเข้าสู่ระดับเขตแดนเต๋า และหากถงอวิ๋นเฟย้าจะทำร้ายสยงท่าเทียน เขาก็คงจะต้องไตร่ตรองดูดีๆ เสียก่อน
“อ้อ พี่ใหญ่ ท่านจะสู้กับเขาจริงหรือ? เขาแข็งแกร่งมาก ท่านอย่าได้ไปต่อสู้กับเขาเชียวนะ เมื่อถึงเวลาเขาอาจหาเื่วุ่นวายมาให้ได้ ข้าจะสู้กับเขาอีกครั้ง ข้าโกรธมากจริงๆ ข้า... ข้า...” สยงท่าเทียนพูดอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อพูดจบแสงแห่งความเคียดแค้นอันรุนแรงก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาเขา
“เอาล่ะ! ถ้าเขาระงับระดับการฝึกฝนเอาไว้ข้าก็แน่ใจมากว่าจะเอาชนะเขาได้ เ้าลืมเื่ที่เ้าเคยระงับระดับการฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับข้าแล้วหรือ?” ฉินอวี่ขัดจังหวะคำพูดของสยงท่าเทียนและพูดเบาๆ
สยงท่าเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ก็จริง ตอนนั้นท่านสามารถสู้กับพละกำลังห้าส่วนของข้าได้ แต่... การสู้กับเขาย่อมไม่เหมือนกัน และร่างกายนี้ของท่านก็ไม่อาจจะหยุดยั้งเขาได้นะสิ”
“ข้ารู้อยู่แล้ว เอาล่ะ สยงท่าเทียน เ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะอยู่ฝึกตนในห้องถัดไป รอให้เ้าฟื้นฟูกำลังได้ดีแล้ว หาก้าออกไปภายนอก จงจำไว้ห้ามก่อเื่เป็อันขาด รู้หรือไม่?” ฉินอวี่กล่าวเตือน เขาจำเป็ต้องเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน และต้องเรียนรู้ทักษะการต่อสู้อีกสองสามชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเอาชนะถงอวิ๋นเฟยได้เมื่อถึงเวลานั้น
“ได้!” สยงท่าเทียนพยักหน้าและตอบตกลงอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นดังนี้ ฉินอวี่จึงยืนขึ้นช้าๆ ขณะที่เขากำลังจะออกไปนั้น เขาก็ได้ยินสยงท่าเทียนพูดขึ้นว่า “อ้อจริงสิ พี่ใหญ่ ท่านมาดูนี่สิ... ของชิ้นนี้มันคืออะไร”
ฉินอวี่หันศีรษะด้วยความสงสัย แต่กลับพบว่าสยงท่าเทียนกำลังหยิบถุงมือนวมสีดำที่เต็มไปด้วยโคลนออกมา ไม่รู้ว่ากำปั้นนวมนี้สร้างมาจากวัสดุชนิดใด จึงมีแสงแวววาวของโลหะ ดูเหมือนว่าถุงมือนวมนี้จะมีสิ่งอื่นที่แปลกประหลาดกว่าตัวกำปั้น และนึกไม่ถึงว่าจะมีอยู่เป็จำนวนมากเสียด้วย และส่วนตรงข้อมือก็มีแผ่นเหล็กอยู่ ซึ่งมองดูแล้วเป็เหมือนโล่ป้องกันชิ้นหนึ่ง
“เ้าไปเอาของชิ้นนี้มาจากไหน?” ฉินอวี่ถาม
“ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่แดนสุสานอสูระเิออกมา ของชนิดนี้มันตกมากระแทกตัวข้า กระแทกจนข้าถึงกับกระอักเื ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะทุบทำลายมัน แต่ไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ทุบทำลายมันไม่ได้” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างโกรธจัด ตอนนั้น เขาและหลี่เทียนจีอยู่บริเวณรอบนอกของแดนสุสานอสูร และถูกกำปั้นนี้กระแทกอย่างจัง
ฉินอวี่หยิบถุงมือนวมขึ้นมา ถุงมือนวมนี้ทำมาจากวัสดุที่ไม่รู้จัก มันมีน้ำหนักมาก ฉินอวี่คาดไว้ว่ามันน่าจะหนักประมาณพันชั่ง หลังจากเช็ดดินโคลนที่เปื้อนออกไป ฉินอวี่ก็มองกำปั้นยุทธ์นี้อย่างละเอียด จนรู้สึกได้ว่านอกจากความแปลกประหลาดของมันแล้วก็ไม่มีความพิเศษอื่นใด
“เ้าเล่าเื่แดนสุสานอสูรให้ข้าฟังโดยละเอียดเดี๋ยวนี้เลย” ฉินอวี่กระซิบ เขาคาดเดาได้อย่างคร่าวๆ ว่ากำปั้นยุทธ์ชิ้นนี้อาจจะอยู่ในพื้นที่นั้น
“หลังจากที่พวกข้าแยกจากท่านแล้ว หลี่เทียนจีและข้าก็รออยู่พื้นที่รอบนอกของแดนสุสานอสูร หลี่เทียนจีบอกว่าท่านจะต้องออกมาอย่างแน่นอน พวกข้าจึงรอเ้าอยู่ตรงนั้น...” สยงท่าเทียนเงยหน้าขึ้นและเล่าเหตุการณ์ในความทรงจำออกมาช้าๆ
“เ้ากำลังหมายถึงเกิดการะเิขึ้นที่แดนสุสานอสูรหรือ? หลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งก็เข้าไปเป็เ้านวนมากหรือ? กำปั้นนี้กระเด็นออกมาจากที่นั่นหรือ? ฉินอวี่กล่าวอย่างประหลาดใจ หากฟังจากที่สยงท่าเทียนเล่า เขาสามารถคิดได้อย่างคร่าวๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น
การะเินั่นจะต้องเกิดจากการแตกออกของเจดีย์ที่ป้องกันเือสูรอย่างแน่นอน เพียงแต่ เมื่อสยงท่าเทียนเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเข้าไปในแดนสุสานอสูร สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฉินอวี่อยากจะรู้มากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้นกันแน่ แต่สยงท่าเทียนกลับไม่รู้อะไรเลย... เขาพูดจาไร้สาระอยู่นาน แต่ก็ไม่มีประเด็นสำคัญอะไร
“เอาล่ะ กำปั้นยุทธ์ชิ้นนี้ไม่ธรรมดา เ้าลองเก็บเอาไปศึกษาดูก่อนเถอะ วันหลังข้าค่อยดูมันอีกครั้ง” ฉินอวี่พูดอย่างช้าๆ และคิดว่าค่อยสอบถามวันหลังว่าเกิดอะไรขึ้นในแดนสุสานอสูรกันแน่
“อืม!” สยงท่าเทียนพยักหน้า
จากนั้น ฉินอวี่ก็ได้สร้างค่ายกลกันเสียงขึ้นในห้องของสยงท่าเทียน แล้วจึงเริ่มการเก็บตัวบำเพ็ญ
ครึ่งเดือนต่อมา
ณ ประตูทางเข้าเมืองหลักเทียนอู่
กระบี่ั์เล่มหนึ่งได้พาชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนเก้าคนมาถึงยังประตูของเมืองหลักเทียนอู่
“ศิษย์พี่ใหญ่หวัง ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิงทุกท่าน ที่นี่คือเมืองหลักเทียนอู่” เมื่อทุกคนลงมาจากกระบี่ั์ ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็โค้งตัวเล็กน้อย และพูดอย่างตื่นเต้น
ชายหนุ่มที่เป็หัวหน้าชุด แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีม่วง รูปร่างหน้าตาปกติทั่วไป จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง และดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยแฝงไปด้วยความเ็า เขากวาดสายตามองไปยังเมืองหลักเทียนอู่ และมองดูผู้คนที่หนาแน่นรอบตัวเขาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวว่า “เ้าบอกว่านักปรุงยาจื่อซวินเอ๋ออยู่ในเมืองนี้หรือ?”
“จริงแน่นอน หากไม่เชื่อข้าจะพาศิษย์พี่ใหญ่หวังไปพบนางเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มชุดดำพูดด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ เด็กคนนี้คือคนตระกูลชุย ชุยซั่ว!
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย และกลุ่มคนทั้งเก้าก็เดินเข้าสู่เมืองหลักเทียนอู่
เมื่อเข้าไปถึงทางเข้าประตูร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่งก็ไม่พบร่องรอยของการต่อสู้เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว ในบรรดาของผู้คนที่เดินไปมาอยู่บนท้องถนน มีชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังยืนสอดส่องสายตาอยู่ตรงประตูร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่ง เหมือนกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง
“หลีกไป!” ชุยซั่วผลักชายหนุ่มชุดขาวที่ขวางทางอยู่ตรงหน้าออกไป จากนั้นจึงหันไปพูดอย่างอ่อนน้อมกับชายหนุ่มชุดม่วง “ศิษย์พี่ใหญ่หวัง ข้าได้พบนักปรุงยาจื่อที่นี่ จะให้ข้า...”
ชุยซั่วยังไม่ทันพูดจบ เขากลับได้ยินเสียงที่แสนเ็าดังขึ้นมา “เ้าทำอะไรของเ้า?” ชายหนุ่มชุดขาวพูดขึ้นมา
ชายหนุ่มชุดขาวมีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางดูเย่อหยิ่ง สายตาของเขาจ้องมองชุยซั่วอย่างเ็า
ชุยซั่วหันศีรษะมาอย่างรุนแรง และมองไปด้วยสายตาที่ดุเดือด ที่นี่คือเมืองหลักเทียนอู่ เป็อาณาเขตของตระกูลชุย หากชายหนุ่มเพียงคนเดียวก็ยังควบคุมไม่ได้ เขาจะมองหน้าบรรดาศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิงเหล่านี้ได้อย่างไร? ทันใดนั้น ชุยซั่วที่กำลังจะเอ่ยปากดุเขา กลับได้ยินชายหนุ่มชุดขาวพูดขึ้น “ช่างเถอะ ไม่เป็ไร”
ชุยซั่วผงะ เมื่อมองไปยังชายชุดขาวที่กำลังหันหลังออกไป เขาคิดว่าชายหนุ่มคนนี้คงจะรู้จักตัวตนของตนเองจึงได้รีบออกไปเสียก่อน สิ่งนี้ทำให้เขาแอบสดชื่นอยู่ในใจ และขณะที่เขากำลังจะเรียกชายหนุ่มคนนั้นให้หยุดเพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานะของเขาในเมืองหลักเทียนอู่ กลับได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่เป็ผู้นำกลุ่มพูดขึ้น “คนผู้นั้นคือใคร? เ้ารู้จักหรือไม่?”
“คนที่ค่อนข้างคุ้นเคยคนหนึ่ง ไปกันเถอะ ศิษย์พี่ใหญ่หวังเชิญเข้าไปกันเถอะ” ชุยซั่วรีบระงับความคิดภายในใจของเขา และยังไม่สามารถแสดงออกได้ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มผู้เป็หัวหน้าเข้าไปยังร้านขายยา
ผู้นำหนุ่มเหลือบมองที่ด้านหลังของชายหนุ่มชุดขาวด้วยความประหลาดใจ คิ้วขมวดขึ้นอย่างสงสัย แต่ก็เดินเข้าไปยังร้านขายยาโดยทันที
ชายหนุ่มชุดขาวที่เดินเข้าไปในฝูงชนพึมพำกับตัวเอง “อยู่เหมือนคนใกล้ตายจะไปแก่งแย่งเอาอะไร? ยังไม่รู้เลยว่าครึ่งเดือนก่อนจะเป็คนที่มาสู้โง่ๆ อยู่ที่นี่หรือไม่...”