ภายในโถงรับรองของจวนตระกูลมู่
“นายน้อย ท่านจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากเด็กหนุ่มทั้งสามกลับมาเก็บข้าวของภายในเรือนพักของตัวเองแล้ว พวกเขาก็ไปยังโถงรับรองเพื่อกล่าวอำลามู่ไห่และเหล่าผู้าุโคนอื่น
“นายน้อย ยังเหลือเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าสำนักศึกษาราชวงศ์จะเปิดรับสมัครศิษย์ใน่สารทฤดูนี้ หากท่านเข้าเมืองหลวงไปตอนนี้จะไม่เป็การรีบร้อนเกินไปหน่อยหรือขอรับ?”
มู่ฝูกล่าวด้วยความเป็ห่วง เมื่อเห็นว่ามู่เฟิงเปลี่ยนกำหนดการให้เร็วขึ้น
ในสายตาของพวกเขา อีกไม่นานมู่เฟิงจะต้องกลายเป็ผู้นำตระกูลมู่ที่แท้จริงอย่างแน่นอน
“เวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว ข้าต้องกลับเมืองหลวง เพราะยังมีบางเื่ที่ต้องจัดการก่อน ท่านอาไห่ ท่านลุงฝู ่เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ขอขอบคุณพวกท่านที่ดูแลข้าเป็อย่างดี”
มู่เฟิงกำหมัดโค้งคำนับผู้าุโทั้งสองในฐานะผู้เยาว์
เมื่อเห็นดังนั้น มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ก็รีบทำความเคารพอีกฝ่ายพร้อมกันทันที
“ไหนเลยจะเป็ดั่งที่นายน้อยกล่าว การที่ท่านมายังตระกูลรอง ก็นับว่าเป็เกียรติของพวกเราตระกูลรองแล้ว”
มู่ไห่และมู่ฝูรีบเข้าไปประคองเด็กหนุ่ม สายตาของเขาเปี่ยมล้นด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ
จากนั้นมือของมู่เฟิงก็พลันมีแสงสีขาวส่องประกายออกมา ขวดหยกปรากฏขึ้นบนมือของเขา และภายในขวดหยกนี้ก็ถูกบรรจุไว้ด้วยยาโลหิตขั้นสี่หนึ่งเม็ด ซึ่งถูกกลั่นมาจากแก่นโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน
บนตัวของมู่เฟิงมียาโลหิตขั้นสี่เพียงแค่ห้าเม็ดเท่านั้น
“ท่านอาไห่ วรยุทธ์ของท่านติดอยู่ใน่สุดท้ายของระดับหนิงกังมานานหลายปี นี่คือยาครอบจักรวาลขั้นสี่ บางทียาเม็ดนี้อาจจะช่วยทำให้ท่านสามารถทะลวงอุปสรรคนี้ไปได้”
มู่เฟิงยิ้มกว้าง ก่อนจะนำยาเม็ดนั้นใส่มือมู่ไห่
“ยาครอบจักรวาลขั้นสี่!”
มือของมู่ไห่สั่นระริก เขามองมู่เฟิงอย่างคาดไม่ถึง ยาครอบจักรวาลขั้นสี่นั้นมีมูลค่ามากถึงหนึ่งแสนเหรียญตำลึงทอง
“นายน้อย ของสิ่งนี้ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
มู่ไห่ไม่กล้ารับ เนื่องจากยาเม็ดนี้มีมูลค่าสูงเกินไป
ยาครอบจักรวาลขั้นสี่นั้นไม่ได้มีให้เห็นตามท้องตลาดของอาณาจักรหนานหลิง สามารถพบเห็นได้เป็ครั้งคราวในโรงประมูลขนาดใหญ่บางแห่งเท่านั้น
“รับไว้เถิดขอรับ หากว่ายาเม็ดนี้สามารถช่วยท่านอาไห่ได้ นั่นก็นับว่ามันคุ้มค่าแล้ว ดังนั้นท่านรับมันไว้เถิด”
มู่เฟิงจับมือมู่ไห่เอาไว้แน่น จากนั้นเด็กหนุ่มก็หยิบของบางอย่างออกมาจากถุงหนังสัตว์และมอบให้มู่ฝู
“ท่านลุงฝู นี่คือหินเทวะจำนวนห้าก้อน ข้ามอบมันให้ท่าน”
“นายน้อย... ขอบคุณนายน้อยมากขอรับ”
ชายชรามู่ฝูดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาแสดงความเคารพเพื่อขอบคุณมู่เฟิง
“ข้ายังมีตำราทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬอีกเล่มหนึ่ง และยังมีระดับธาตุทองอีกสามเล่ม ทั้งหมดนี้ข้าขอมอบให้กับตระกูล หากในตระกูลมีศิษย์คนใดมีฝีมือโดดเด่นก็ให้พวกเขาฝึกฝนได้”
มู่เฟิงนำตำราทักษะพลังปราณที่เขาได้รับมาจากถ้ำงูเจียวไฟออกมาส่งมอบให้กับมู่ไห่
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าเป็ตำราทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬ พวกเขาก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมามีเพียงตระกูลสายหลักเท่านั้นที่จะได้ตำราทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬ
“นายน้อย ทำเช่นนี้จะดีหรือ หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้นำตระกูลสายหลัก จะไม่สามารถถ่ายทอดทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬให้กับตระกูลรองได้”
หลังจากดีใจได้ไม่นาน มู่ไห่ก็ต้องปฏิเสธออกมาอีกครั้ง
“ท่านอาไม่ต้องกังวล นี่ไม่ใช่ทักษะวิชาของตระกูล ข้าได้รับมันมาด้วยตัวเอง ท่านสามารถรับมันไว้ได้ วางใจเถิด”
มู่เฟิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองได้ยินเยี่ยงนั้นก็รับเอาตำราเ่าั้มาด้วยความสบายใจ
จากนั้นมู่เฟิงก็กลับไปยังสุสานของตระกูลอีกครั้ง สุสานแห่งนี้เป็สุสานใหม่ที่มีศพถูกฝังอยู่เพียงหนึ่งร้อยกว่าหลุมเท่านั้น เพราะเพิ่งสร้างขึ้นใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ผู้คนส่วนใหญ่ที่ถูกฝังที่นี่ล้วนเสียชีวิตจากเหตุการณ์คืนลอบสังหารเมื่อปีก่อน ซึ่งรวมถึงมู่จงด้วย
ไป๋จื่อเยว่คุกเข่าลงหน้าหลุมฝังศพของมู่จง ดวงตาของเขาแดงก่ำจนมองเห็นเส้นเืฝอยอย่างชัดเจน เขากำลังเผากระดาษอย่างเงียบๆ สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว มู่จงถือเป็คนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะอีกฝ่ายคืออาจารย์คนแรกที่สั่งสอนเขา
ส่วนมู่เฟิงและมู่ขวงก็คุกเข่าลงด้านข้างเช่นกัน
“ท่านอาจง เสี่ยวเฟิง จื่อเยว่และเสี่ยวขวง พวกเราสามคนกำลังจะไปแล้ว ต่อไปเราคงจะไม่สามารถมาเยี่ยมท่านได้บ่อยๆ อีก แต่ท่านไม่ต้องกังวล พวกเรากำลังจะเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ หลังจากที่พวกเราเรียนจบ ไม่ว่าจะเป็ความแค้นของท่าน ของกองทัพตระกูลมู่หรือของท่านพ่อ ข้าจะล้างแค้นพวกมันอย่างสาสม ข้าจะบดขยี้เ้าสุนัขเฒ่าหนานหาวให้ตายคามือเอง”
มู่เฟิงกล่าวเสียงต่ำด้วยความโกรธแค้น
“ท่านอาจง ข้าจะไปกับพี่เฟิงด้วย ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะตั้งใจเรียนรู้จากพี่เฟิง ท่านคืออาจารย์คนแรกของข้า ในชีวิตนี้ของข้าจือเยว่ผู้นี้จะไม่มีวันลืมท่าน ท่านคอยดูเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะกลายเป็เซียนกระบี่ท่องไปทั่วหล้า เป็หน้าเป็ตาให้กับท่าน”
ไป๋จื่อเยว่โขกศีรษะลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังสามครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีน้ำตาไหลอาบทั่วหน้า
มู่ขวงก้มหน้าเงียบ เขาเป็พวกปากหนักไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมา
ไม่นานเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็ลุกขึ้น คนหนึ่งนำไหสุราซิ่งฮวาเทแจกจ่ายให้อีกสองคน ก่อนจะเทลงหน้าหลุมศพ จนกระทั่งเหลือไว้เพียงอึกสุดท้าย
เด็กหนุ่มทั้งสามยืนอยู่หน้าหลุมศพ ก่อนจะะโขึ้นด้วยเสียงอันดังก้องว่า “ศิษย์ตระกูลมู่”
“จงยืนหยัดขึ้นมา อย่าได้ยอมศิโรราบให้ใคร!”
ไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงะโออกมาเสียงดัง จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามก็ยกสุราอึกสุดท้ายขึ้นดื่ม ก่อนจะทุบถ้วยและไหทิ้งลงพื้น จากนั้นก็หันหลังจากไป
เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีทั้งสามคนขึ้นขี่หลังสัตว์พาหนะของตน ไม่นานอสูรร้ายทั้งสามตัวก็วิ่งออกไปจากสุสาน
พระพายพัดวสันต์หวน สารทคิมหันต์ผ่านหลิวแห้งเขียวขจี
หนุ่มน้อยผู้เขลาไม่รู้เศร้าฤดี วสันสารทผันผ่านหญิงงามรอระทม
สามชนขึ้นควบขี่ม้า ทุ่มหยาดเหงื่อเพื่อฝั่งฝัน
เพลานี้บุปผาเริ่มเบ่งบานบานสะพรั่ง ถึงกาลต้องชำระแค้นหนี้ชีวิต
จากเมืองอันหนานไปยังเมืองหลวงรวมระยะทางกว่าหนึ่งพันลี้ เดิมทีมู่เฟิงสามารถบินไปยังเมืองหลวงได้โดยตรง เพียงแต่มันอาจจะสะดุดตาผู้คนมากเกินไป เขาไม่้าให้ผู้คนสังเกตเห็นเขา นอกจากนี้การใช้อสูรร้ายเป็พาหนะในการเดินทางก็นับว่าไม่เลว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าอสูรร้ายทั้งสามตัวนี้แข็งแกร่งมากเพียงใด ดังนั้นการใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนในการเดินทางหนึ่งพันลี้จึงไม่เป็ปัญหาสำหรับพวกมัน
เที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น ภาพเลือนรางของเมืองหลวงหนานหลิงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในระยะที่ไกลออกไป เด็กหนุ่มทั้งสามทอดสายตามองเงาร่างของเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรเกือบสิบล้านคนอาศัยอยู่ตรงหน้า
“เมืองหลวงหนานหลิง ข้ามู่เฟิงกลับมาแล้ว”
มู่เฟิงที่สวมใส่หน้ากากพึมพำกับตัวเองขณะทอดถอนใจออกมา ั์ตาของเขากำลังแสดงความรู้สึกมากมายที่เขาไม่อาจบรรยายออกมาได้
ครั้งสุดท้ายที่เขาจากไป เขาถูกตราหน้าว่าเป็คนไร้ประโยชน์ก่อนจะต้องระเห็จไปยังเมืองอันหนาน
เมื่อเขากลับมาคราวนี้เขาจะลบล้างความอัปยศทั้งหมดให้ได้
“นี่คือเมืองหลวงของหนานหลิงงั้นรึ ใหญ่โตมากทีเดียว”
ไป๋จื่อเยว่พึมพำกับตัวเองขณะมองไปยังฝูงชนบริเวณประตูเมือง
“คิกๆ ก็ต้องใหญ่โตอยู่แล้ว ในเมื่อเมืองหลวงเป็เมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรหนานหลิง ตระกูลมู่ของเราก็ถือเป็หนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงเช่นกัน”
มู่ขวงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ไปกันเถอะ กลับจวนตระกูลมู่กันก่อน”
มู่เฟิงสะกิดท้องเสือดาวหางอสรพิษ เ้าอสูรร้ายจึงพุ่งตัวไปข้างหน้าในทันที โดยมีเด็กหนุ่มสองคนติดตามมาอย่างใกล้ชิด
บริเวณหน้าประตูเมืองมีกองทหารคอยตรวจตราจำนวนมาก เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสามเข้ามาในเมือง พวกเขาก็เดินไปตามถนนอย่างไม่เร่งรีบ ในระหว่างนั้นไป๋จื่อเยว่ก็กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้
เนื่องจากภายในเมืองหลวงมีผู้ใช้อสูรร้ายเป็พาหนะอยู่จำนวนไม่น้อย ดังนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามจึงไม่ได้เป็ที่สะดุดตาของใคร ภายในเมืองหลวงนั้นมีกองกำลังทั้งดีทั้งเลวปะปนกันอยู่เป็จำนวนมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับหนิงกังก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ในที่แห่งนี้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานเป็ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับสูงสุด สถานที่นี้นับเป็สถานที่ที่มีผู้ฝึกยุทธ์มากที่สุดในอาณาจักรหนานหลิง
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนควบขี่อสูรร้ายวิ่งผ่านมาด้วยความเร็ว ด้านหลังมีรถม้าหรูหราคันหนึ่ง ฝูงชนบนถนนรีบแยกตัวออกเป็สองฝั่งเพื่อหลบหลีกทันที
“หลีกทาง หลีกทาง หลีกทางไป!”
ชายร่างใหญ่บนหลังอาชาไนยเกล็ดดำแผดเสียงออกมา มือที่กำลังถือแส้ยาวรีบโบกไปมาเพื่อให้ฝูงชนข้างหน้าเปิดทาง
พวกมู่เฟิงที่กำลังควบขี่อยู่บนหลังอสูรร้ายรีบขยับออกไปให้พ้นทางทันที เพียงแต่ไป๋จื่อเยว่ที่กำลังก้าวถอยดันถูกปลายแส้ของอีกฝ่ายกระแทกเข้าที่ใบหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจและทิ้งรอยแส้ไว้บนใบหน้าของเขา
“มารดามันเถอะ”
ไป๋จื่อเยว่รู้สึกเ็ปที่ใบหน้าอย่างรุนแรง แววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็เ็า เขากระโจนร่างขึ้นคว้าแส้ยาวที่แกว่งไปมานั้นในทันที จากนั้นก็ดึงกระชากชายร่างใหญ่ผู้นั้นให้ตกลงจากหลังอาชาในครั้งเดียว
ชายร่างใหญ่ผู้นั้นร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกเพราะถูกดึงลงจากหลังม้า ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังต้องหยุดชะงักอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากอาชาไนยเกล็ดดำที่อยู่ด้านหลังไม่อาจหยุดได้ ดังนั้นกีบเท้าของมันจึงเหยียบลงบนตัวของชายร่างใหญ่อย่างแรงทันที ทำให้ชายร่างใหญ่ผู้นั้นกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างเ็ป
รถม้าที่อยู่ด้านหลังก็หยุดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งยังเกิดการสั่นะเืเล็กน้อย
“เกิดอันใดขึ้น?"
ทันใดนั้นก็มีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้