" ไม่ละ" แม้ว่าหลินกู๋หยู่้าเป็อิสระจริงๆ แต่ในเวลานี้ ถ้านางทิ้งฉือหาง เขาจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร ?
เมื่อตัดสินใจแล้ว หลินกู๋หยู่พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า "เื่นี้เราคุยกันทีหลังเถอะ”
ถ้านางทิ้งฉือหางด้วยอีกคน ฉือหางและลูกชายของเขาก็จะไม่มีใครดูแลแล้วจริงๆ
นอกจากนี้ในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีใครสามารถรักษาฉือหางให้หายป่วยได้ รอให้นางรักษาฉือหางให้หายป่วยแล้ว จะจากไปตอนนั้นย่อมไม่สายเกินไป
"ก็ได้" เสียงของฉือหางสั่นเครือ "พวกเราปลงใจหย่าประนีประนอมทันทีที่เ้า้าจะไป”
ในยุคนี้ การบังคับหย่าร้างหมายถึง หากระหว่างสามีภรรยา ญาติฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองฝ่าย หรือญาติฝ่ายสามีภรรยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีการทุบตี ก่นด่าว่าร้าย ฆ่า ทําร้ายร่างกาย ข่มขืนและก่อกระทำไม่ดีอื่นๆ ก็จะนับเป็การตัดสายสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ทางการจะเป็ฝ่ายตัดสินและบังคับให้หย่าร้าง
และการปลงใจหย่าประนีประนอมหมายถึงการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยา หลังจากทั้งคู่ได้ตกลงกันตามหลักการของความประนีประนอม ซึ่งไม่ใช่การหย่าจากสามีฝ่ายเดียว
"อืม" หลินกู๋หยู่ตอบเบาๆ และช่วยประคองฉือหางไปที่เตียง
หลังจากยึดตรึงกระดูกทำให้ร่างกายส่วนบนของฉือหางมั่นคงแล้ว การเคลื่อนไหวของฉือหางนั้นสะดวกกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย อย่างน้อยก็จะไม่เ็ปยามเคลื่อนไหวมากเท่าแต่ก่อน
"หิวไหม?" หลังจากที่หลินกู๋หยู่ช่วยประคองฉือหางนอนลง นางมองฉือหางอย่างห่วงใย
หลินกู๋หยู่ไม่ได้ถามก็ยังดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคําถามของหลินกู๋หยู่ ฉือหางก็รู้สึกหิวทันที พร้อมพยักหน้าและมองเข้าไปข้างใน
"ข้าจะไปทําอาหารให้เ้า" หลินกู๋หยู่เดินตรงไปที่เตา
มุมดวงตาของฉือหางชุ่มน้ำเล็กน้อย ยกมือขึ้นซับหยาดน้ำบนใบหน้าของเขา
หลินกู๋หยู่ไม่เคยใช้เตาเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเถ้าถ่าน
แต่แล้วในที่สุดไฟก็ติดเสียที
ในห้องตอนนี้ไม่มีอะไรอื่นนอกจากข้าวสารเล็กน้อย
หว่างคิ้วของหลินกู๋หยู่ขมวดเล็กน้อย กินสิ่งเหล่านี้ทุกวัน ร่างกายของฉือหางจะดีขึ้นได้อย่างไร?
แต่ที่นี่ยังมีอะไรที่สามารถกินได้อีก
ขณะต้มข้าว เด็กสาวรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจากทางประตูกำลังจ้องมองมาที่นาง
หลินกู๋หยู่มองออกไปอย่างสงสัย และเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งโผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา เด็กน้อยยืนอยู่ข้างนอกอย่างกล้าๆ เขินๆ อุ้งมือเล็กๆ ของเขาจับกรอบประตู และดวงตาสีดําคู่หนึ่งของเขาทอดมองตรงมาทางนาง
เมื่อเห็นว่าข้าวสุกแล้วจึงลุกขึ้น เช็ดมือที่เปรอะเปื้อนบนร่างกายพลางเงยหน้าขึ้นมองเด็กน้อยคนนั้น
"มานี่มา" หลินกู๋หยู่กวักมือเรียกพลางมองไปที่เด็กชายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เด็กคนนั้นซ่อนตัวอยู่ข้างนอกอย่างประหม่าและเขินอาย มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างเขินอาย
หลินกู๋หยู่มองไปที่ลานบ้านก็เห็นว่าไม่มีใคร นางรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคนสกุลฉือได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้นางดูแลฉือหางและเด็กคนนี้
หลินกู๋หยู่ค่อยๆ เดินไปที่ประตูอย่างเนิบช้า นั่งยองๆ และมองไปที่เด็กตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เอ่ยถามเบาๆ ว่า "เ้าชื่ออะไรหรือ
"โต้ โต้ซา" เสื้อผ้าบนร่างกายของเด็กน้อยสกปรก เหลือเพียงใบหน้าเล็กๆ ของเขายังคงสะอาดอยู่บ้าง ดวงตากลมของเขากะพริบปริบๆ ขณะมองหลินกู๋หยู่อย่างตั้งใจ และเขาก็เปล่งเสียงอย่างเขินอาย "ท่านแม่?"
เปรี้ยง!
ราวกับมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงอยู่เหนือศีรษะ ประหนึ่งถูกศรยิงทะลุกลางใจ นางอดรู้สึกสงสารตัวเองอย่างอธิบายไม่ได้
ปีนี้หลินกู๋หยู่อายุสิบสี่ หากเป็ยุคปัจจุบัน เด็กคนนี้ควรเรียกนางว่าพี่สาวถึงจะถูก
แต่สถานะของนางก็ชัดเจนแล้ว หลินกู๋หยู่รู้สึกเศร้า คนโบราณจะมีลูกตอนอายุน้อยขนาดนี้ทำไมกัน!
เมื่อเห็นหลินกู๋หยู่เงียบไป มุมปากของโต้ซาก็เริ่มเบะ ดวงตาสีดำกะพริบปริบๆ เบ้าตาคลอด้วยหยาดน้ำ ดูเหมือนว่าเขาจะร้องไห้
"เด็กดี" หัวใจของหลินกู๋หยู่แทบจะะเิ มือเอื้อมไปแตะศีรษะของโต้ซา
นางพาโต้ซาเข้าบ้าน ให้เขานั่งบนตั่งไม้เล็กๆ ด้านข้าง
"ท่านย่า" โต้ซามุ่ยปากมองหลินกู๋หยู่ เสียงเล็กๆ ร้องเรียก "ท่านแม่! "
ทันทีที่เด็กสาวเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หลินกู๋หยู่เห็นเงาร่างของโจวซื่อกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ประตูตะวันออกเฉียงเหนือ
หลินกู๋หยู่ไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อโจวซื่อเลยแม้แต่น้อย
"วันข้างหน้าข้าจะดูแลเ้าเอง" หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปแตะที่ศีรษะของโต้ซา และพูดเบาๆ ว่า "เด็กดี”
คิดไม่ถึงว่าโจวซื่อจะมีจิตใจโเี้มากขนาดนี้ หว่างคิ้วของหลินกู๋หยู่ปรากฏรอยย่นเพิ่มมากขึ้น
เมื่อหันไปมองคนบนเตียง หลินกู๋หยู่ก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง
ไม่นานก็ทำอาหารเสร็จแล้ว หลินกู๋หยู่ตักข้าวหนึ่งชามวางไว้บนโต๊ะรอให้เย็น จากนั้นก็ตักข้าวอีกชามนําไปวางที่หน้าเตียงของฉือหาง
ฉือหางนอนอยู่บนเตียง เดิมทีเขาอยากกินด้วยตัวเอง แต่หลินกู๋หยู่กลับไม่ยอม
ป้อนข้าวให้ฉือหางทีละช้อนจนกระทั่งเห็นก้นชาม หลินกู๋หยู่ก็เปิดปากพูด "กินอีกชามไหม?”
เมื่อหัวใจค่อยๆ อุ่นขึ้นและดูเหมือนว่าคนทั้งคนก็พลอยดีขึ้นมากเช่นกัน
ฉือหางพยักหน้าช้าๆ
หลังจากป้อนข้าวให้ฉือหาง หลินกู๋หยู่ก็หยิบชามข้าวที่วางบนโต๊ะที่เย็นแล้วอีกชาม ก่อนจะเรียกโต้ซาและป้อนให้อย่างพิถีพิถัน
โต้ซาไม่ดื้อไม่ซน เขาเป็เด็กดีเชื่อฟังทำให้หลินกู๋หยู่รู้สึกเอ็นดูอย่างมาก
เด็กอายุหนึ่งขวบควรจะซุกซนและโวยวายมากไม่ใช่หรือ แต่โต้ซากลับติดตามนางต้อยๆ ไปไหนไปด้วยอย่างเชื่อฟังเสมอ เขาไม่ร้องไห้ ไม่สร้างปัญหา คล้ายกับลูกแมวที่ว่านอนสอนง่ายตัวหนึ่ง
หลังจากดูแลคนสองคนแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ไปซักผ้าต่อโดยมีโต้ซานั่งอยู่บนตั่งไม้เล็กๆ ข้างๆ ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองฝูงมดบนพื้นอย่างไม่ละสายตา
กว่าหลินกู๋หยู่จะตากผ้าปูที่นอนและผ้านวมทั้งหมดบนเสาไม้ไผ่เสร็จก็ยามบ่ายแล้ว หยดน้ำจากผ้าที่ตกลงในลานบ้านประหนึ่งหย่อมฝน
หลังจากจัดการส่วนนี้แล้ว หลินกู๋หยู่ก็หยิบเสื้อผ้าของทั้งสามคนออกมาซัก ก่อนจะตากให้แห้ง
แสงอาทิตย์ในฤดูร้อนนั้นร้อนมากเป็พิเศษ ราวกับจะแผดเผาพื้นโลก
ในตอนเย็นหลินกู๋หยู่ต้มเกอต่าทัง[2] ถอนผักในลานบ้านเล็กน้อยมาผัด
หลังจากดูแลให้ทั้งสองคนทานอิ่มแล้ว หลินกู๋หยู่ถึงได้กินข้าวอย่างรวดเร็ว นางล้างจานและตะเกียบก่อนจะนําที่นอนมาวางไว้บนตั่งไม้เล็กๆ ด้านนอก
หลินกู๋หยู่เดินไปพูดกับฉือหางที่นอนอยู่บนเตียง "ข้าจะช่วยพยุงเ้าลุกขึ้น ข้าจะเปลี่ยนที่นอนใหม่ให้เ้า”
ห้องพักที่พวกเขาอาศัยอยู่นี้ไม่ใหญ่มาก มีเตียงเพียงหนึ่งหลัง
ฉือหางให้ความร่วมมือกับการเคลื่อนไหวของหลินกู๋หยู่ พยายามลุกขึ้น
เขาถูกหลินกู๋หยู่พยุงลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง แต่แม้จะเป็การเคลื่อนไหวง่ายๆ หว่างคิ้วของฉือหางก็ขมวดด้วยความเ็ป
เด็กสาวนำปลอกคลุมผ้าห่มบนเตียงมาวางบนพื้น ปูฟูกเครื่องนอน หลังจากปูที่นอนเสร็จ นางก็ช่วยประคองฉือหางนอนลง
ฉือหางนอนอยู่บนเตียง โดยมีโต้ซานั่งยองๆ ข้างๆ ถัดจากเขา มือเล็กๆ แตะที่ใบหน้าของฉือหาง
เขาอยากจะยิ้มให้โต้ซา ทว่าเขาก็เ็ปจนไม่สามารถแสดงสีหน้าใดๆ ได้
หลังจากหลินกู๋หยู่จัดเตียงแล้ว นางก็หันไปมองร่างสกปรกของพ่อลูกคู่นี้ ก่อนจะเดินไปนั่งยองๆ ต่อหน้าฉือหาง
เอื้อมมือแตะหน้าผากของฉือหาง
ฝ่ามือที่ทาบวางบนหน้าผากของเขาค่อนข้างเย็น ฉือหางรู้สึกว่าความรู้สึกไม่สบายในร่างกายของเขาค่อยๆ หายไป ร่างกายที่ร้อนระอุของเขาค่อยๆ เย็นลง
ชั่วขณะนั้นชายหนุ่มรู้สึกสดชื่น
แต่มันเป็เพียง่เวลาหนึ่งเท่านั้น มือบนศีรษะก็หายไป
รอยย่นตรงหว่างคิ้วของหลินกู๋หยู่ปรากฏ นางรีบถอดผ้าเช็ดหน้าออกไปซักก่อนจะบิดให้แห้งแล้ววางไว้บนร่างกายของฉือหางอีกครั้ง
ฉือหางมองหลินกู๋หยู่ที่เดินเข้าเดินออกไปข้างนอกด้วยแววตาว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าทําไมตนเองถึงได้รู้สึกอ้างว้าง
เด็กสาวออกไปผ่าฟืนและต้มน้ำ
นางรู้สึกว่าวันนี้ตนเองเหนื่อยมากจริงๆ
นางเป็โรคจากการทํางานแพทย์สินะ นางถึงยอมเหนื่อยที่จะอยู่ดูแลฉือหางที่นี่
นางนั่งพักอยู่ข้างเตาเงียบๆ ทันใดนั้นแขนเสื้อก็ถูกดึง
"ท่านแม่"
"อืม?" หลินกู๋หยู่เอื้อมมือออกไปััใบหน้าของโต้ซา ผิวหน้าของเด็กนั้นนุ่มลื่นและเรียบเนียนเหมือนกับนมวัว นางอดไม่ได้ที่จะััมันอีกเป็ครั้งที่สอง
แตะแล้วรู้สึกนุ่มลื่นดี เพียงแต่เด็กคนนี้ผอมเกินไปอยู่หลายส่วน ต้องบำรุงร่างกายให้มากกว่านี้
โชคดีที่เด็กคนนี้อายุหนึ่งขวบกว่าและสามารถกินข้าวได้แล้ว เพราะหลินกู๋หยู่ไม่สามารถให้นมเขาได้
"ง่วง ง่วงนอน" โต้ซายกมือเล็กๆ ขยี้ตาพูดพึมพําอย่างคลุมเครือ
หลินกู๋หยู่รีบนําเสื้อผ้า เครื่องนอนทั้งหมดจากด้านนอกเข้ามาวางไว้บนตั่งไม้สะอาด ส่วนข้าวของอื่นๆ ในกล่อง นางจะนํามันออกไปตากแดดในวันพรุ่งนี้
"อื้ม เ้าต้องอาบน้ำและบ้วนปากก่อน เ้าจึงสามารถเข้านอนได้" หลินกู๋หยู่เกลี้ยกล่อมอย่างอดทนด้วยรอยยิ้มพลางเดินออกไปข้างนอก และหยิบอ่างไม้เข้าไปใส่ผ้าเช็ดตัวที่ทําความสะอาดแล้วลงในอ่าง
น้ำที่ต้มไว้ร้อนแล้ว นางเทน้ำร้อนบางส่วน เอื้อมมือไปถอดเสื้อผ้าให้โต้ซา จากนั้นช่วยโต้ซาเช็ดร่างกาย และในที่สุดก็ห่อเขาด้วยผ้าปูเตียง
หลังโต้ซาบ้วนปาก นางก็อุ้มเด็กน้อยไปที่เตียง
"นอนเถอะ!" มือของหลินกู๋หยู่ััที่ท้องของโต้ซาเบาๆ ในขณะที่กำลังอาบน้ำ โต้ซาง่วงนอนจนเปลือกตาบนและเปลือกตาล่างคล้ายกำลังต่อสู้กันอย่างหนักแล้ว ในเมื่อได้ยินคําพูดของหลินกู๋หยู่ในเวลานี้ เด็กน้อยก็หลับตาลงทันที ครู่เดียวก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเห็นว่าโต้ซาหลับไปแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนน้ำสะอาดในอ่างเข้ามา และนั่งลงข้างๆ ฉือหาง
ตอนนี้ฉือหางไม่มีแรงที่จะพูด เขาแค่มองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยดวงตาที่เปิดกว้างเพียงครึ่ง
ใบหน้าของหลินกู๋หยู่ภายใต้ตะเกียงน้ำมันก๊าดนั้นไม่ชัดเจน ทว่ากลับปรากฏความงามเลือนราง ทําให้เขาไม่เต็มใจที่จะละสายตาไปทางอื่น
หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปหยิบไม้กระดานที่ทาบติดกับร่างของฉือหางออกมา พูดพลางมือเคลื่อนไหวไปพลาง "ใน่เวลานี้เ้าต้องผูกติดสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา ทำเช่นนี้อาการจะดีเร็วขึ้น”
อาการป่วยของเขาจะสามารถดีขึ้นได้หรือไม่? ฉือหางไม่มีความหวังว่าตัวเขาจะสามารถฟื้นตัวได้
หลินกู๋หยู่ช่วยฉือหางถอดแผ่นไม้ออกอย่างระมัดระวัง และเอื้อมมือปลดเสื้อผ้าของฉือหาง
ฉือหางขยับศีรษะเล็กน้อยอย่างไม่สบายใจ แม้ว่านางจะเห็นมันในตอนกลางวันไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกอยู่หลายส่วน
ไร้ซึ่งเสื้อผ้าปกคลุมกาย ฉือหางตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
"หนาวหรือ?" หลินกู๋หยู่ถามเสียงเบา
"ไม่" เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย
หลินกู๋หยู่พยักหน้า จากนั้นก็หยิบผ้ามาเช็ดร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนสายตาจะตกลงไปที่หน้าท้องส่วนล่างของเขา นางเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเขามีกล้ามเนื้อหน้าท้องถึงแปดลูก
กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็แนวเส้น เป็ร่องที่ชัดเจน ซึ่งดูแข็งแรงมาก
เส้นกล้ามเนื้อหน้าท้องตรงลงจนสุด
รูปร่างของเขานั้นดีมาก หลินกู๋หยู่คิดในใจ หากเขาไม่ได้พบนางในครั้งนี้ คาดว่าชีวิตของเขาต้องจบสิ้นแล้วจริงๆ
หลังจากเช็ดร่างกายส่วนบนแล้ว นางเอื้อมมือไปัักางเกงของฉือหางโดยไม่ลังเล
ฉือหางเองก็ไม่สนใจความเ็ปแล้ว เขาจับกางเกงโดยสัญชาตญาณ ฝ่ามือหนาของเขาห่อมือของหลินกู๋หยู่
ฝ่ามือของทั้งสองคนซ้อนทับกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉือหางก็อดไม่ได้ที่จะจับมือนางไว้
ฝ่ามือของคนทั้งสองถูกวางทับกันบนขอบกางเกง
อย่างน้อยก็เป็เวลาครึ่งเดือนแล้วที่ฉือหางไม่ได้อาบน้ำ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็่ฤดูร้อน ร่างกายของเขาจึงส่งกลิ่นฉุนไม่พึงประสงค์
ในตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตเห็น แต่เมื่อครู่หลินกู๋หยู่ขัดตัวเขา อ่างไม้วางอยู่ใกล้ใบหน้าของเขา ทำให้เขาได้กลิ่นอย่างชัดเจน เขาไม่้าดมกลิ่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
"มีอะไรเหรอ?" หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางอย่างงงงวย
"ข้า..." ฉือหางคล้ายกลายเป็คนติดอ่าง เขาเอ่ยไม่ออกอยู่พักใหญ่
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางอย่างไม่เข้าใจ ทันใดนั้นนางก็คิดได้ว่าเขาคงจะอาย
แต่ก็ใช่ คนทั่วไปมักจะอายกับเื่นี้มาก ในตอนแรกที่นางเรียนแพทย์ นางก็อายเช่นกัน
ในเวลานั้นอาจารย์หมอเคยกล่าวว่า ในสายตาของหมอแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิงในผู้ป่วย
นางไปเป็ผู้ตรวจทางการแพทย์เมื่อก่อน นางเห็นคนเ่าั้บิดตัวไปมาเนื่องจากความอาย แต่สุดท้ายแต่ละคนก็เริ่มที่จะถอดเสื้อผ้าและกางเกงด้วยตัวเอง
นางที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ก็เป็หมอด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลินกู๋หยู่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็คนโบราณ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เข้าใจว่าต่อหน้าแพทย์นั้นไม่มีความแตกต่างทางเพศสภาพ
"ไม่ต้องเช็ดแล้ว" สุดท้ายฉือหางก็พูดอย่างลังเล เสียงของเขาเบามาก ถ้าไม่ใช่เพราะหลินกู๋หยู่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ก็คงไม่ได้ยินคำพูดของเขา
…………………………………………………………………..
[1] โรคที่เกิดจากการทำงาน หมายถึง ทำงานในอาชีพนั้นๆ จนเผลอแสดงลักษณะเฉพาะบางอย่างของอาชีพนั้นในชีวิตประจำวันด้วย อย่างแพทย์ก็จะพูดศัพท์โรค ศัพท์ยายากๆ ในบทสนทนาอย่างหน้าตาเฉย โดยที่เพื่อนๆ อาจจะงง
[2] เกอต่าทัง ทำจากแป้งสาลีนวดให้เข้ากัน ปั้นเป็ก้อนเล็กๆ บ้าง เส้นเล็กๆ อ้วนๆ แบบลอดช่องบ้าง แล้วใส่ลงไปในซุปข้นๆ ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ ซุปไข่ใส่มะเขือเทศ หรือทำเป็ซุปใสๆ ก็มี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้