เกิดเื่ใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในวังหลวงย่อมเป็ไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะไม่ทรงทราบ แต่สิ่งที่ทำให้อวี๋ผินในั่นคือท่าทีของเหยาเชียนเชียนต่างหาก ดวงตาคู่นั้นคล้ายกับรู้อะไรบางอย่าง
ภายในรถม้า เหยาเชียนเชียนสบตากับเป่ยเหลียนโม่ ทว่าไม่นานนักก็ต้องยอมแพ้ นางเบะปากแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องอยากถามอะไรหรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่ส่งเสียง ‘หึ’ เบาๆ สุดท้ายเขาก็ต้องเป็ฝ่ายเอ่ยปากถามด้วยตัวเอง โดยไม่คิดสักนิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มีจุดผิดปกติที่อธิบายไม่ได้อยู่มากเพียงใด
“ไฉนวันนี้ถึงตกน้ำได้เล่า?” เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็คำถามใหม่ “ผู้ใดเป็คนผลักเ้าตกทะเลสาบ?”
เหยาเชียนเชียนถอนใจ จะว่าไปเื่นี้ก็เป็ความโชคร้ายของนางจริงๆ เดิมทีนางหย่อนใจอยู่ที่ริมทะเลสาบ แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีคนเพ่งเล็งจังหวะนี้เข้ามาทำร้ายนาง
“ทว่าคนผู้นั้นไม่รู้” เหยาเชียนเชียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างได้ใจ “ว่าที่จริงแล้วหม่อมฉันว่ายน้ำได้”
แต่นางก็ไม่ได้ว่ายน้ำได้ดูดีมากนัก เป็เพียงแค่ท่าลูกหมาตกน้ำธรรมดาเท่านั้น
นางไม่ใช่คนประเภทที่ชอบไปสระว่ายน้ำเพื่อความสนุกสนาน นางเติบโตมาแถบชายหาด กลุ่มเพื่อนวัยเด็กของนางมักจะลงทะเลในยามที่ผู้ใหญ่ไม่ได้อยู่ดูแล ดังนั้นนางจึงมีทักษะทางน้ำที่ไม่เลว
“หม่อมฉันรู้ได้ว่าเหตุการณ์ผิดปกติทันทีที่ถูกผลักตกลงไป ดังนั้นจึงกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำ ท่านอ๋อง คนผู้นั้นขว้างก้อนหินใส่หม่อมฉันด้วยนะเพคะ” เมื่อกล่าวขึ้นมาเหยาเชียนเชียนก็ยังคงโกรธ “เหมือนกับกลัวว่าหม่อมฉันจะลอยขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น”
อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่า้าฆ่านางให้ตาย ดังนั้นเหยาเชียนเชียนจึงงัดเอาทักษะพิเศษของตัวเองออกมา รอจนอีกฝ่ายไปแล้วจึงลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ
“หม่อมฉันคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเห็นให้ได้ว่าผู้ใด้าทำร้ายหม่อมฉัน ดังนั้นจึงแอบเดินตามนางไป จากนั้น...” เหยาเชียนเชียนทิ้ง่เล็กน้อย “ท่านอ๋องลองเดาดูสิเพคะว่าหม่อมฉันเห็นอะไรเข้า”
เป่ยเหลียนโม่อยากจะกดใบหน้าเล็กอันมีชีวิตชีวานั้นเข้ามาในอ้อมแขนแล้วจูบเสียเหลือเกิน แต่ก็รู้ดีว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขาทำได้เพียงอดทนไว้ก่อนและตอบนางอย่างให้ความร่วมมือ “เห็นอะไรหรือ?”
เหยาเชียนเชียนชูนิ้วชี้ขึ้นมา แววลึกลับวูบไหวอยู่ในดวงตา
“หม่อมฉันเห็นข้าหลวงผู้นั้นลอบเข้าไปในตำหนักหลังอย่างเงียบๆ และได้พบกับแม่นมหลี่ ข้าหลวงที่หม่อมฉันรู้จักในวังแห่งนี้มีน้อยแสนน้อย แต่ช่างบังเอิญเหลือเกิน หม่อมฉันเคยพบกับแม่นมผู้นั้นมาก่อน นางคือแม่นมที่คอยรับใช้อวี๋ผินเหนียงเหนี่ยงเพคะ”
ในวันนั้นอวี๋ผินถูกฮ่องเต้ปลดตำแหน่งเพราะนาง นอกจากนี้เหยาเชียนเชียนยังเทียบยาอาหารบำรุงที่เป่ยเซวียนเฉิงรับประทานมาตลอดไว้ด้วย ทว่ายามนี้นางยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเป่ยเหลียนโม่แล้ว จึงกลายเป็ความทุกข์ในใจของอวี๋ผินมานาน ย่อม้าจะกำจัดนางอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นแล้ว ครั้งนี้จึงเป็การใส่ร้ายซ่งอีอีแทน
“ท่านอ๋อง อวี๋ผินเหนียงเหนี่ยงหมายจะทำร้ายหม่อมฉัน แต่กลับเลือกลงมือในวันอภิเษกสมรสขององค์ชายสาม พระองค์คิดว่านางไม่ทรงโปรดซ่งอีอีเหมือนกันหรือไม่เพคะ?”
เหยาเชียนเชียนเอียงศีรษะครุ่นคิด หากอวี๋ผินเอ็นดูสะใภ้คนนี้ก็คงไม่เลือกลงมือในวันนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าโอกาสจะหายาก แต่เมื่อเกิดเื่ขึ้นกับนาง ผู้ต้องสงสัยคนแรกย่อมเป็ซ่งอีอีอย่างแน่นอน
“ต้องกล่าวว่าอวี๋ผินผู้นี้โเี้ยิ่งนัก แม้แต่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาก็สามารถใช้ประโยชน์ได้” เหยาเชียนเชียนทอดถอนใจอย่างหดหู่ จากนั้นจึงนั่งลงข้างกายเป่ยเหลียนโม่
“ท่านอ๋องอยากรู้หรือไม่ว่าหม่อมฉันถูกผู้ใดวางลงไปในหีบสินเดิม?”
เป่ยเหลียนโม่ประหลาดใจเล็กน้อย “เ้ารู้หรือ?”
เหยาเชียนเชียนเม้มปากแล้วพยักหน้า “ไม่ใช่แค่รู้ แต่หม่อมฉันเป็คนมุดตัวเข้าไปเองเสียด้วยซ้ำ”
เป่ยเหลียนโม่อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาคิดว่านางถูกตีให้สลบหรือเพราะด้วยเหตุอื่นๆ ถึงได้ถูกวางลงไปในหีบด้วยสภาพที่ไม่รู้เื่เสียอีก ทว่าดูจากยามนี้ นางคล้ายกับยินยอมเสียอย่างนั้น
“เ้าอยากโยนเื่นี้ให้เป็ความผิดของซ่งอีอีหรือ?”
นอกเหนือจากคำอธิบายนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว
“แม้ว่านางจะทำร้ายหม่อมฉันหลายครั้ง แต่การใส่ร้ายผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผล หม่อมฉันจะทำได้อย่างไรเล่า”
เหยาเชียนเชียนกล่าวเสียงเบา “มียอดฝีมือผู้หนึ่งบังคับให้หม่อมฉันเข้าไปด้วยตัวเองเพคะ”
ยอดฝีมือ?
เป่ยเหลียนโม่ได้ยินเช่นนั้นก็หุบยิ้ม เขารู้จักยอดฝีมือในวังหลวงแห่งนี้ทั้งหมด นอกจากองครักษ์ที่คอยรับใช้เขา เช่นนั้นก็มีเพียงหน่วยทหารกล้าตายที่เร้นกายรับใช้ฮ่องเต้ พวกเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เท่านั้น และการมีอยู่ของพวกเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้
“เ้าได้เห็นยอดฝีมือผู้นั้นแล้ว ลักษณะของเขาเป็อย่างไรหรือ?”
เหยาเชียนเชียนเล่าว่า “เขาสวมอาภรณ์สีดำล้วน ปิดบังใบหน้าไว้จนมองไม่เห็นหน้าตา ทว่าเข็มขัดสีเหลืองอร่ามบน่เอวนั้นงดงามยิ่งนัก และบนนั้นปักลายประดับอย่างประณีต จะทำเป็มองไม่เห็นก็ไม่ได้”
เป่ยเหลียนโม่พยักหน้า นั่นเป็ทหารกล้าตายของฮ่องเต้จริงๆ เช่นนั้นแสดงว่าฮ่องเต้ก็ทรงทราบความเคลื่อนไหวของอวี๋ผินแล้ว
“เขาสั่งให้หม่อมฉันมุดเข้าไปด้วยตัวเอง และยังกล่าวอีกว่าเื่นี้ไม่จำเป็ต้องกล่าวมากความ ไม่ว่าทุกคนจะพูดอย่างไร หม่อมฉันก็ต้องว่าไปตามนั้น” เหยาเชียนเชียนยู่ปาก พูดในใจว่าฮ่องเต้ทรงรักอวี๋ผินผู้นี้เหลือเกิน ไม่คิดว่าเขาจะสั่งให้นางปิดบังเื่นี้ไว้อย่างโจ่งแจ้ง
“ท่านอ๋องคิดดูสิเพคะ ทุกคนยังจะกล่าวอย่างไรได้อีกเล่า หลักฐานทั้งหมดล้วนชี้ไปที่ซ่งอีอี เห็นได้ชัดเจนว่า้าจะผลักเื่นี้ให้เป็ฝีมือของนาง”
เหยาเชียนเชียนเบ้ปาก กล่าวเน้นย้ำว่า “ทว่านางก็ไม่ถือว่าเป็ผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ บ่าวไพร่ใต้บัญชาของนางเห็นว่าหม่อมฉันถูกผลักตกลงไป แต่กลับไม่แจ้งให้ผู้อื่นทราบ ช่างน่าชิงชังเช่นเดียวกับคนที่เห็นคนตายแล้วไม่ให้ความช่วยเหลือ”
แม้ว่าจะไม่บอกแก่เป่ยเหลียนโม่ ทว่าเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็น่าจะนำไปแจ้งแก่ซ่งอีอี
คนผู้นั้นอาจจะคิดว่ามีคนช่วยตัวเองจัดการนางพอดี และนั่นสามารถช่วยนางระบายโทสะได้ด้วยเช่นกัน
แต่ผู้ใดจะคิดเล่า อวี๋ผินไม่ได้คิดจะยอมรับสารภาพั้แ่แรก นางเลือกลงมือในวันอภิเษกสมรส และผลักข้อสงสัยทุกอย่างไปให้ซ่งอีอี เมื่อข่าวการตายของเหยาเชียนเชียนถูกแพร่ออกไป หากจะส่งมือสังหารออกไปจริงๆ ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความ้าของนาง
หากเป่ยเหลียนโม่ไม่ยอมความ และผลักซ่งอีอีออกไปนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
“ท่านอ๋อง หากวันนี้หม่อมฉันกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ พระองค์จะแก้แค้นให้หม่อมฉันหรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนมองเขาตาปริบๆ หากนางว่ายน้ำไม่เป็วันนี้นางก็คงตายอยู่ในทะเลสาบแล้วเป็แน่ และหากถูกตัดสินคดีอย่างเลอะเลือนดังเช่นซ่งอีอีอีก เช่นนั้นนางก็คงตายตาไม่หลับแล้วจริงๆ
เป่ยเหลียนโม่ขมวดคิ้วแน่นกับคำพูดของนางและกล่าวเสียงแข็งว่า “เ้าจะตายไม่ได้ เปิ่นหวังไม่อาจรู้ได้ว่าเ้าจะมีอันตราย อีกทั้งยังจะสั่งให้เ้าบุกเข้าไปด้วย”
คำตอบนี้คลุมเครือเหลือเกิน เหยาเชียนเชียนเม้มปาก เช่นนั้นแล้วตกลงว่าได้หรือไม่ได้กันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาจะรู้ได้อย่างไรว่านางจะมีอันตรายเมื่อไร ดูอย่างวันนี้เขาก็ไม่รู้อยู่ดี
“เ้าคือหวังเฟยของเปิ่นหวัง อย่าว่าแต่ตายเลย ต่อให้ผมขาดไปเพียงเส้นเดียว เปิ่นหวังก็จะไม่มีทางปล่อยให้พวกมันลอยนวล”
เป่ยเหลียนโม่สบเข้ากับแววตาเป็ประกายของนาง และยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กของนางอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาจะปกป้องนางอย่างดี ไหนเลยจะทำให้นางกังวลใจอยู่เช่นนี้
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลถามท่านอ๋องด้วยคำถามที่ไม่เคารพสักคำถาม” เหยาเชียนเชียนกล่าวหยั่งเชิง “หากวันหน้าเสด็จพ่อทรงป้ายความผิดให้หม่อมฉัน ท่านอ๋องจะยังปกป้องหม่อมฉันอยู่หรือไม่?”
เหตุการณ์ในวันนี้ฮ่องเต้ทรงรู้ทุกอย่างชัดเจน กระทั่งส่งทหารกล้าตายที่รับใช้ข้างกายมาจัดการเื่นี้อย่างลับๆ จุดประสงค์คือเพื่อไม่ให้เหยาเชียนเชียนพูดเื่ของอวี๋ผินออกมา และความประสงค์ของพระองค์ก็เป็อย่างเดียวกัน นั่นคือหากจำเป็ต้องมีคนร้ายสักคน เช่นนั้นก็คงเป็ซ่งอีอีกระมัง
สำหรับฮ่องเต้แล้ว เหยาเชียนเชียนคิดว่านางมีความสำคัญน้อยกว่าอวี๋ผินมากโข ต่อให้เพิ่มซ่งอีอีเข้าไปอีกคน สะใภ้เช่นพวกนางทั้งสองคนก็ยังคงไม่สำคัญมากพอ
หากมีวันหนึ่งนางทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว นางจะยังสามารถมั่นใจในคำพูดของชิงผิงอ๋องได้หรือไม่?
“เหตุใดเสด็จพ่อต้องลงโทษเ้าอย่างไม่มีเหตุผลด้วยเล่า” เป่ยเหลียนโม่ขยี้หัวนางเบาๆ “แม้ว่าจะมีวันนั้นจริงๆ เปิ่นหวังก็จะอ้อนวอนขอความเมตตาจากเสด็จพ่อ เ้าจงจดจำคำนี้ไว้ในใจ เปิ่นหวังจะไม่ให้ผู้ใดมาทำให้เ้าาเ็ได้”
ั์ตาล้ำลึกคู่นั้นทำให้เหยาเชียนเชียนมองเห็นนัยของการสัญญาว่าจะรักกันตลอดไปอยู่หลายส่วน นางจึงก้มหน้าลงและกำชายผ้าไว้อย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ไม่กล้าถามอะไรอีก
เป่ยเหลียนโม่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม เอาเพียงพอเหมาะพอควรก็พอ มิเช่นนั้นเมื่อดูจากความกล้าที่มีเพียงเท่านั้นของนาง หากไม่ระวังคงจะทำให้ใจนหนีเตลิดเอาได้
ภายในรถม้าพลันเงียบลง เหยาเชียนเชียนที่ไม่มีคำใดจะพูดจึงพยายามหาเื่คุยและเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง พระองค์คิดว่าเหตุใดอวี๋ผินเหนียงเหนี่ยงถึงไม่ทรงโปรดซ่งอีอีหรือ บิดาของนางเป็ถึงเฉิงเซี่ยง หากสามารถชักชวนเฉิงเซี่ยงมาเป็พรรคพวกได้ เช่นนั้นก็จะเป็ผลดีต่อองค์ชายสามไม่ใช่หรือเพคะ?”
เหตุใดถึงต้องสละสะใภ้ที่มีประโยชน์ หรือว่าอวี๋ผินจงเกลียดจงชังนางถึงขั้นนั้นจริงๆ ้าจะเอาชีวิตนางโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเลยหรือ?
“เ้ารู้หรือไม่ว่าซ่งอีอีเป็บุตรสาวที่เฉิงเซี่ยงรักที่สุด” เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเรียบ “หากนางตายไป หรือตายเพราะเ้าเป็เหตุ เ้าลองเดาดูสิว่าเฉิงเซี่ยงจะทำอย่างไร?”
เหยาเชียนเชียนกลืนน้ำลายอย่างเงียบเชียบ คาดว่าเขาคงฉีกนางออกเป็ชิ้นๆ ขยี้กระดูกเป็ผงและนำไปโปรยเล่นกระมัง...
“งานแต่งงานเพียงผิวเผินสามารถดึงเฉิงเซี่ยงมาเป็พวกได้จริง ถึงอย่างไรบุตรสาวที่เขารักที่สุดก็แต่งเป็สะใภ้ของนางแล้ว จะไม่คิดช่วยเหลือแม้เพียงน้อยนิดได้อย่างไร ทว่าแทนที่จะอาศัยสิ่งนี้เชื่อมทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน มิสู้อาศัยความเคียดแค้น”
เป่ยเหลียนโม่ประคองใบหน้าเล็กของนางขึ้นมาเบาๆ และมองด้วยสีหน้าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“หากซ่งอีอีต้องตายเพราะเ้า ไม่ต้องถึงคราวอวี๋ผินเป็ฝ่ายชักชวนมาเป็พวก เฉิงเซี่ยงย่อมไปหานางถึงที่เพื่อร่วมมือกัน และนี่มั่นคงกว่าความสัมพันธ์ที่เกี่ยวดองกันแบบจอมปลอมนั้นมากโข”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกขมขื่นในใจ ดังนั้นอวี๋ผินถึงได้ไม่สนใจไยดีความเป็ตายของสะใภ้อย่างซ่งอีอี สิ่งที่นาง้าั้แ่แรกมีเพียงการสนับสนุนของเฉิงเซี่ยง ซ่งอีอีจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ หรือหากจะตายไปก็ช่าง อย่างไรนางก็สามารถรอให้เฉิงเซี่ยงเป็ฝ่ายมาขอความร่วมมือเองถึงที่ได้อยู่ดี
เวียนหัวจัง คนเมืองอย่างพวกเขาอุบายล้ำลึกยิ่งนัก
“เพราะฉะนั้นความจริงแล้ววันนี้เสด็จพ่อ้าช่วยหม่อมฉัน เพื่อไม่ให้เราขึ้นชื่อเป็บัญชีสังหารของเฉิงเซี่ยง ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้หม่อมฉันชี้ตัวอวี๋ผินเหนียงเหนี่ยง ถูกต้องหรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่อยากบอกนางเหลือเกินว่าหากยืนอยู่ในมุมมองของฮ่องเต้ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้คำนึงถึงนางมากเท่าไรนัก
ฮ่องเต้ไม่อยากให้เหยาเชียนเชียนเปิดโปงอวี๋ผิน ประการแรก เพราะนางเป็มารดาผู้ให้กำเนิดเป่ยเซวียนเฉิง ประการที่สอง อาจจะยังมีไมตรีต่ออวี๋ผินอยู่หลายส่วน ยิ่งไปกว่านั้นเื่นี้เมื่อถูกสืบสาวราวเื่อย่างละเอียดมากเกินไปก็จะพัวพันไปถึงบุตรชายทั้งสองของฮ่องเต้ ลูกสะใภ้ทั้งสองและยังมีพระสนมอีกหนึ่งคน
ถึงอย่างไรเหยาเชียนเชียนก็ไม่ตาย มิสู้ทำเื่ใหญ่ให้เป็เื่เล็ก ตักเตือนอวี๋ผินสักครั้งก็พอ
แต่เมื่อเขาสบเข้ากับสายตาน่าสงสารของเหยาเชียนเชียน ชิงผิงอ๋องก็ยังทำใจบอกความจริงกับนางไม่ได้ เขาทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
“อาจเพราะเป็เช่นนี้ ถึงอย่างไรเ้าก็เป็หวังเฟยของเปิ่นหวัง เสด็จพ่อก็ยังคงเอ็นดูเ้าอยู่ไม่มากก็น้อย”
ไฉนต้องพูดสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจนขนาดนั้น ทําให้นางรู้สึกอุ่นใจย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ
จิตใจมนุษย์นั้นน่ากลัว หากเป็ไปได้เขากลับอยากให้อีกฝ่ายไม่รับรู้ไปตลอดชีวิต
“หม่อมฉันเกือบเข้าใจเสด็จพ่อผิดไปแล้ว” เหยาเชียนเชียนหัวเราะอย่างเก้อเขิน “หม่อมฉันยังคิดว่าเสด็จพ่อเพียงแค่อยากปกป้องอวี๋ผินเหนียงเหนี่ยงเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ให้หม่อมฉันกล่าวอะไรมากเกินไปเสียอีก”
แค่ก! ชิงผิงอ๋องสำลักอากาศโดยพลัน
“เหตุการณ์นี้ย่อมต้องมีข้อสรุป ในเมื่อคนร้ายเป็อวี๋ผินเหนียงเหนี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นท่านอ๋องจะหาตัวคนร้ายมาจากที่ใดเล่าเพคะ”
เื่นี้ถ้าหาตัวคนร้ายไม่ได้ก็ต้องกล่าวว่าชิงผิงอ๋องทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ความสามารถไม่เอาไหน อ้อมค้อมวกไปวนมา หม้อ [1] นี้จะให้เป็คนในตระกูลถือไว้ไม่ได้เด็ดขาด
“วางใจเถิด” เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเรียบ “เร็วๆ นี้ก็จะมีข้อสรุปออกมาเอง ้าคนร้ายที่ไม่สลักสำคัญสักคนนั้นง่ายดายที่สุดแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] หม้อ เป็คำอุปมา หมายถึง ความผิด
