เสียงกรีดร้องระงมและเสียงรถพยาบาลแว่วมาจากทุกทิศทุกทาง ขณะที่ หลินเว่ย วิ่งสุดชีวิตออกจากประตูหลังของโรงพยาบาล หัวใจเต้นรัวดังกึกก้องในอก เขายังรู้สึกถึงรอยเปรอะเปื้อนของเืคนไข้บนนิ้วชี้ซ้าย ความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดที่เขาเรียนมาตลอดหลายปีบอกว่าเขามีโอกาสติดเชื้อแล้ว
"อย่าคิดมาก จุดโฟกัสตอนนี้คือความปลอดภัย" หลินเว่ยบอกตัวเอง
เขากวาดตามองรอบตัว ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูมืดครึ้มกว่าปกติ ไฟถนนกะพริบเป็่ๆ บ่งบอกถึงระบบไฟฟ้าที่ไม่เสถียร ตึกระฟ้าหลายแห่งดับมืด มีเพียงแสงไฟฉุกเฉินกระจัดกระจาย เสียงไซเรนรถตำรวจและรถดับเพลิงดังไม่ขาดห่ทั่วเมือง
หลินเว่ยเปิดดูข้อความลึกลับอีกครั้ง "...มุ่งหน้าไปทางสวนสาธารณะกลางเมือง..." ไม่มีเหตุผลให้เชื่อคนแปลกหน้าใน่วิกฤตเช่นนี้ แต่เขาไม่มีที่ไปอื่น อพาร์ตเมนต์ของเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง และข่าวระบาดกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ตูม!
เสียงะเิดังสนั่นจากโรงพยาบาลอีกครั้ง กลุ่มควันดำพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า หลินเว่ยไม่รอช้า เขาวิ่งไปตามถนนที่มุ่งสู่ใจกลางเมือง
ถนนหนทางอยู่ในสภาพโกลาหล รถยนต์จอดระเกะระกะ บางคันชนกัน บางคันถูกทิ้งร้างโดยที่ประตูยังเปิดค้างอยู่ "เมืองที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวากลับกลายเป็ภาพจำลองของนรก เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพูนั่งร้องไห้อยู่ข้างร่างของหญิงสาวที่น่าจะเป็แม่ของเธอ หลินเว่ยอยากจะเข้าไปช่วย แต่ในวินาทีนั้นเอง เด็กหญิงหันมา ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำลายสีขาวอมแดงไหลออกจากมุมปาก เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่น่าสงสารอีกต่อไป แต่กลายเป็สัตว์ร้ายที่กำลังจ้องเหยื่อ หัวใจของหลินเว่ยแทบสลาย—นี่คือความโหดร้ายของโรคนี้ มันไม่เพียงแต่คร่าชีวิต แต่ยังเปลี่ยนแม้แต่ความบริสุทธิ์ให้กลายเป็ความโเี้" คนจำนวนมากพากันวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทาง เสียงกรีดร้องและเสียงแตกของกระจกดังมาเป็ระยะ
"หลบไป! มันกำลังมา!" เสียงะโดังมาจากไม่ไกล
หลินเว่ยหลบเข้าซอกระหว่างตึก ชายกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีจากอะไรบางอย่าง เขามองเลยพวกเขาไปและเห็นสิ่งที่ทำให้เืในกายเย็นเฉียบ—กลุ่มคนที่มีอาการเหมือนคนไข้ในโรงพยาบาล ตาแดงก่ำ น้ำลายฟูมปาก เคลื่อนที่ด้วยท่าทางกระตุกกระตัก แต่รวดเร็วผิดมนุษย์ กำลังไล่ล่าผู้คนบนถนน
หลินเว่ยหลบต่อไป เขาเลือกเส้นทางที่มีผู้คนน้อยที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงทั้งฝูงชนที่ตื่นตระหนกและกลุ่มคนติดเชื้อที่ไล่ล่าอยู่ ใจหนึ่งเขาอยากช่วยเหลือผู้คน แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดบอกให้เขาเอาชีวิตตัวเองเป็อันดับแรก
ขณะที่หลินเว่ยเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ เขาเกือบชนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังหอบแฮ่กๆ ซ่อนตัวอยู่หลังถังขยะ
"อย่าทำร้ายฉัน!" เธอเอามือกำบังหน้า กลัวว่าหลินเว่ยจะเป็คนติดเชื้อ
"ผมไม่ได้ติดเชื้อ" หลินเว่ยยกมือขึ้นอย่างใจเย็น แม้จะไม่แน่ใจนักว่าตัวเองปลอดภัยจริงหรือไม่ "ผมเป็หมอ... เอ้อ... นักศึกษาแพทย์"
หญิงสาวค่อยๆ ลดมือลง แต่ยังคงดูหวาดระแวง "พวกเขาเป็บ้าอะไรกัน? แม้แต่น้องชายฉันก็..." เธอสะอื้น "เขาโจมตีแม่ของเราเอง ฉันต้องวิ่งหนีออกมา"
หลินเว่ยมองเธอด้วยความเห็นใจ "เขาอาจติดเชื้ออะไรบางอย่าง มันแพร่กระจายเร็วมาก แผลเปิดหรือสารคัดหลั่งอาจเป็ตัวแพร่เชื้อ" เขาพยายามอธิบายด้วยความรู้จำกัดที่มี
"คุณกำลังจะไปไหน?" หญิงสาวถาม
"สวนสาธารณะกลางเมือง... รู้สึกว่าที่นั่นอาจปลอดภัย" หลินเว่ยตอบอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าควรเปิดเผยแผนกับคนแปลกหน้าหรือไม่
"ฉันจะไปกับคุณได้ไหม?" เธอถามด้วยเสียงสั่น "ฉัน... ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว"
หลินเว่ยลังเล มองไปที่ข้อมือของหญิงสาว ไม่พบรอยแผลเป็รูปนาฬิกาหรือร่องรอยความผิดปกติใดๆ ข้อความเตือนบอกให้ "อย่าไว้ใจใคร" แต่เขาไม่อาจทิ้งคนที่กำลัง้าความช่วยเหลือ
"ตกลง แต่เราต้องระวังตัว" เขาตอบ "คุณชื่ออะไร?"
"หลิวซิน" เธอตอบพลางสบตากับหลินเว่ย ดวงตาของเธอแดงเรื่อจากการร้องไห้ ไม่ใช่แดงก่ำเหมือนผู้ติดเชื้อ "เราควรไปกันแล้ว เสียงพวกมันใกล้เข้ามา"
หลินเว่ยและหลิวซินออกจากซอยอย่างระมัดระวัง พวกเขาเลือกเส้นทางที่หลบหลีกถนนสายหลัก มุ่งหน้าไปทางสวนสาธารณะโดยซ่อนตัวและหยุดฟังเสียงเป็ระยะ
ขณะย่องผ่านร้านสะดวกซื้อที่ถูกปล้นสะดม หลินเว่ยแวะเข้าไปหยิบน้ำและขนมขบเคี้ยวที่เหลืออยู่ เขาเคาะเคาน์เตอร์เบาๆ เผื่อว่ายังมีพนักงานอยู่ แต่ร้านร้างไร้ผู้คน
"ผมรู้ว่าไม่ดีที่จะขโมยของ แต่สถานการณ์ฉุกเฉิน" หลินเว่ยพูดกับหลิวซิน
"ฉันคิดว่าตอนนี้กฎหมายคงใช้ไม่ได้แล้วละ" หลิวซินตอบขณะหยิบกระเป๋าพยาบาลเล็กๆ จากชั้นวางสินค้า "คุณว่าไง? เราคง้ายาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล"
"ดีความคิด" หลินเว่ยพยักหน้า "คุณยังพอใช้สมองคิดได้ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเรา..."
แกร๊ง!
เสียงของหล่นดังมาจากหลังร้าน แว่วเสียงครางคล้ายคนกำลังเ็ป หลินเว่ยกวาดตามองหาอาวุธ คว้าไม้เบสบอลที่วางอยู่ตรงชั้นขายของเล่น หลิวซินหยิบมีดทำครัวจากชั้นวางใกล้ๆ
พวกเขาถอยออกจากร้านอย่างเงียบที่สุด ไม่อยากเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น
"เรียนรู้เร็วดีนะ" หลินเว่ยกระซิบชมหลิวซินขณะพวกเขาวิ่งออกมา
"ฉันเคยอ่านนิยายซอมบี้มาเยอะ" หลิวซินตอบเบาๆ "แม้จะไม่คิดว่าจะได้ใช้ในชีวิตจริงก็เถอะ"
การเดินทางสู่สวนสาธารณะกลางเมืองไม่ง่ายดังที่คิด พวกเขาต้องหลบภัยหลายครั้ง บางครั้งจากกลุ่มคนติดเชื้อ บางครั้งจากคนปกติที่กำลังบ้าคลั่งจากความกลัว ปล้นสะดมสิ่งของและรถยนต์ สองครั้งพวกเขาต้องวิ่งหนีจากรถตำรวจที่พุ่งมาอย่างไร้ทิศทาง คนขับมีอาการคล้ายติดเชื้อ
เมื่อมาถึงขอบสวนสาธารณะ หลินเว่ยรู้สึกแปลกใจที่พบว่าที่นี่เงียบสงบกว่าที่อื่น ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีเสียงะเิ ไม่มีคนติดเชื้อวิ่งไล่ล่า มีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่พริ้วไหวในสายลมค่ำคืน
"ที่นี่ดูแปลกๆ นะ" หลิวซินกระซิบ "เงียบเกินไป"
หลินเว่ยพยักหน้า ความรู้สึกไม่ไว้วางใจเริ่มก่อตัว เขาดึงโทรศัพท์ออกมาเพื่อตรวจสอบข้อความนั้นอีกครั้ง แต่แบตเตอรี่เหลือเพียงสองเปอร์เซ็นต์ เขาพอจะอ่านได้ว่า "สวนสาธารณะกลางเมือง ศาลาริมน้ำ"
"เราต้องไปที่ศาลาริมน้ำ" หลินเว่ยบอกหลิวซิน "แต่ระวังตัวไว้ ที่นี่อาจเป็กับดัก"
"หรืออาจเป็ที่ปลอดภัยจริงๆ" หลิวซินตอบ "เราไม่มีทางเลือกมากนัก"
พวกเขาเดินลัดเลาะตามทางเดินในสวน แสงจันทร์เป็เพียงแสงสว่างเดียวที่นำทาง ไม่กล้าใช้ไฟฉายเพราะกลัวดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ เสียงน้ำไหลค่อยๆ ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทะเลสาบใจกลางสวน
ศาลาริมน้ำสไตล์จีนโบราณตั้งตระหง่านบนเนินเล็กๆ สะท้อนเงาบนผิวน้ำนิ่ง ภายในศาลามีแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ เห็นเงาร่างของคนบางคนนั่งอยู่
"มีคนรออยู่จริงๆ" หลินเว่ยกระซิบ กระชับไม้เบสบอลในมือแน่นขึ้น
"สวัสดี หมอหลินเว่ย" เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากศาลา "เข้ามาได้ คุณปลอดภัยแล้ว... สำหรับตอนนี้"
หลินเว่ยและหลิวซินมองหน้ากัน ความระแวดระวังยังไม่จางหาย แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกนัก ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดศาลาไปทีละขั้น อาวุธในมือพร้อมใช้งานทุกเมื่อ
ภายในศาลามีชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคอจีนสีดำนั่งอยู่ ข้างๆ มีกระเป๋าใบใหญ่และหนังสือเล่มหนาวางกองอยู่ เขามีท่าทางสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
"ผมเป็คนส่งข้อความหาคุณ" ชายผู้นั้นพูด "ผมชื่อ จางเฉิง เป็อดีตศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์จีน แต่นั่นไม่สำคัญแล้ว สิ่งสำคัญคือ..." เขาชะงัก มองที่หลิวซิน "คุณพามาด้วย?"
"เธอชื่อหลิวซิน" หลินเว่ยแนะนำ "เราพบกันระหว่างทาง เธอไม่ได้ติดเชื้อ"
จางเฉิงพินิจมองหลิวซินอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้า "ยินดีต้อนรับ คุณหลิวซิน ผมแปลกใจที่คุณยังรักษาสติสัมปชัญญะได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้"
"ฉันแค่พยายามเอาชีวิตรอด" หลิวซินตอบเรียบๆ ดวงตายังจ้องมองจางเฉิงอย่างระแวง
"ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง?" หลินเว่ยถาม เขายังไม่วางไม้เบสบอลลง
จางเฉิงถอนหายใจลึก "นั่งก่อนเถอะ เรามีเวลาไม่มาก" เขาชี้ไปที่ม้านั่งตรงข้าม "สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่โรคระบาดธรรมดา มันเป็สิ่งที่ผมเฝ้าหวาดกลัวมานานหลายปี—การกลับมาของ 'นาฬิกานรก'"
หลินเว่ยนึกถึงรอยแผลเป็รูปนาฬิกาบนข้อมือคนไข้คนแรกที่เขาพบ และคำพูดสุดท้ายของเขา "นาฬิกา...จะเดินอีกครั้ง"
"นาฬิกานรก?" หลิวซินทวนคำ
"มันเป็สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในยุคราชวงศ์ฮั่นโบราณ" จางเฉิงเริ่มเล่า "ถูกออกแบบโดยนักเล่นแร่แปรธาตุจอมเวทที่พยายามสร้างยาอายุวัฒนะ แต่สิ่งที่เขาสร้างกลับกลายเป็ต้นกำเนิดของโรคร้ายที่สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็สัตว์ร้าย"
"ผมเป็หมอ... หรือจะเป็" หลินเว่ยพูดแทรก "เื่ที่ท่านเล่าฟังดูเหมือนเทพนิยาย สิ่งที่ผมเห็นในโรงพยาบาลน่าจะเป็ไวรัสหรือเชื้อโรคชนิดใหม่มากกว่า"
จางเฉิงยิ้มขมขื่น "ธรรมชาติของเชื้อโรคนี้แตกต่างจากที่วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันเข้าใจ มันเป็เชื้อโรคอัจฉริยะที่มีจิตสำนึก"
"คุณกำลังพูดถึงเชื้อโรคที่คิดเป็?" หลิวซินถามด้วยความประหลาดใจ "เป็ไปไม่ได้"
"มันเป็ไปได้" จางเฉิงยืนยัน มือลูบปกหนังสือโบราณที่วางอยู่ข้างตัว "เอกสารโบราณเรียกมันว่า 'ปรสิตแห่งิญญา' มันไม่เพียงแค่ทำลายร่างกาย แต่ยังบ่อนทำลายจิติญญา ตามบันทึก มันเคยระบาดในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ทำให้เมืองทั้งเมืองล่มสลาย ก่อนที่จะถูกปิดผนึกไว้โดยนักพรตเต๋า"
"แล้วมันกลับมาได้อย่างไร?" หลินเว่ยถามต่อ
"คนโง่เขลาขุดค้นโบราณสถานโดยไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร" จางเฉิงตอบ สีหน้าเคร่งเครียด "ผมเป็ส่วนหนึ่งของทีมนักโบราณคดีที่ค้นพบวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งในสุสานโบราณเมื่อหกเดือนก่อน—นาฬิกาทรายทองแดงโบราณ มีจารึกเตือนไม่ให้เปิดมัน แต่..."
"แต่พวกคุณเปิดมัน" หลิวซินพูดต่อ น้ำเสียงเ็า
จางเฉิงพยักหน้า ดวงตาฉายแววเศร้า "เราคิดว่ามันเป็เพียงเื่เล่า เป็คำเตือนงมงายของคนโบราณ ไม่มีใครเชื่อในคำสาปแช่ง... จนกระทั่งสมาชิกในทีมเริ่มแสดงอาการประหลาด รอยแผลเป็ปรากฏบนข้อมือพวกเขา แล้วต่อมาก็กลายเป็... สิ่งที่คุณเห็นในโรงพยาบาล"
"ทำไมคุณไม่ติดเชื้อ?" หลินเว่ยถามอย่างสงสัย
"ผมติดเชื้อแล้ว" จางเฉิงตอบเรียบๆ ก่อนจะพลิกข้อมือขวาขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็รูปนาฬิกาที่อยู่ในระยะเริ่มต้น "แต่ผมพบวิธีชะลอมัน ชั่วคราว ด้วยวิชาลมปราณโบราณ—ชี่กง"
เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือส่งให้หลินเว่ย "นี่คือตำราที่ผมค้นพบในสุสานเดียวกัน มันอธิบายวิธีควบคุมพลังชีวิตเพื่อต่อต้านปรสิต และอาจเป็กุญแจสู่การรักษา"
หลินเว่ยรับหนังสือมาอย่างลังเล เปิดดูและพบหน้ากระดาษที่เหลืองกรอบเต็มไปด้วยอักษรจีนโบราณและภาพวาดท่าทางการฝึกร่างกายแปลกๆ
"วิชา ัทะยานฟ้า" จางเฉิงอธิบาย "เป็วิชาฝึกกายใจที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านปรสิต และในขั้นสูงสุด อาจกำจัดมันได้"
"ทำไมคุณให้หนังสือนี้กับผม?" หลินเว่ยถาม ความสงสัยปรากฏชัดบนใบหน้า
"เพราะคุณติดเชื้อแล้ว" จางเฉิงตอบตรงๆ "แต่ยังอยู่ในระยะแรกเริ่ม คุณมีเวลาไม่มากก่อนที่อาการจะแสดง คุณต้องเริ่มฝึกฝนทันที"
หลินเว่ยถอยกรูดจากจางเฉิง แววตาหวาดระแวง หันไปมองหลิวซินที่ยืนนิ่งอย่างใ
"ไม่ต้องกลัว คุณหลิวซิน" จางเฉิงยิ้มบางๆ "เชื้อไม่แพร่จากคนสู่คนโดยง่าย ต้องมีการััสารคัดหลั่งหรือเืโดยตรง แต่..." เขาหยุดชั่วครู่ "นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดของเรา"
"มีอะไรที่แย่กว่าโรคระบาดที่ทำให้คนเป็บ้า?" หลิวซินถามอย่างไม่เชื่อ
"มี" จางเฉิงพยักหน้า "องค์กรเทียนซื่อ พวกเขารู้เื่นาฬิกานรกมานาน และมีเหตุผลที่เชื่อว่าพวกเขาตั้งใจปล่อยให้มันหลุดจากการควบคุม เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง"
"องค์
"องค์กรเทียนซื่อ?" หลินเว่ยทวนคำ "พวกเขาคือใครกัน?"
"องค์กรลับที่ตั้งขึ้นในยุคจักรพรรดิจิ๋นซี" จางเฉิงตอบ "ดำรงอยู่มานับพันปี ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาความเป็ะ แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็องค์กรอันตรายที่มุ่งควบคุมมนุษยชาติ"
หลิวซินฟังอย่างเงียบๆ สายตาจับจ้องไปที่จางเฉิงอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะถามขึ้น "คุณรู้ได้อย่างไรว่าองค์กรนี้มีจริง?"
"เพราะผมเคยเป็สมาชิกของพวกเขา" จางเฉิงตอบตรงๆ ทำให้ทั้งหลินเว่ยและหลิวซินสะดุ้ง "แต่ผมลาออกเมื่อรู้ว่าพวกเขาวางแผนจะใช้นาฬิกานรกเพื่อการทดลองบนมนุษย์"
ตูม!
เสียงะเิดังมาจากทางเข้าสวนสาธารณะ ตามด้วยเสียงรถและเสียงฝีเท้าจำนวนมาก
"พวกเขามาแล้ว" จางเฉิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว "เราไม่มีเวลาอีกแล้ว หลินเว่ย คุณต้องเก็บตำรานี้ไว้ ศึกษามัน ฝึกฝนมัน มันอาจเป็ความหวังเดียวของมนุษยชาติ"
"แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอ่านอักษรโบราณพวกนี้ได้อย่างไร!" หลินเว่ยโวยวาย
"ฉันอ่านได้" หลิวซินพูดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งหลินเว่ยและจางเฉิงหันมามอง เธอยืนในท่าสงบ ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย "ฉันเรียนมาทางนี้... เอ่อ... ประวัติศาสตร์จีนโบราณ"
จางเฉิงมองหลิวซินด้วยสายตาประหลาด ก่อนจะพยักหน้า "โชคดีสำหรับพวกเรา ผมจะรั้งพวกเขาไว้ ส่วนคุณทั้งสองรีบหนีไปทางนั้น" เขาชี้ไปทางเส้นทางลับด้านหลังศาลา "มีทางหนีลอดออกไปทางสวนหลังวัดเก่า ที่นั่นน่าจะปลอดภัย...ชั่วคราว"
หลินเว่ยกำลังลังเล แต่หลิวซินคว้าแขนเขาไว้ "เราต้องไป เดี๋ยวนี้" เธอดึงเขาไปทางประตูหลัง
"จำไว้" จางเฉิงะโไล่หลัง "การฝึกฝนท่าแรก 'ัหลับใหล' จะช่วยชะลอการแพร่กระจายของเชื้อ และอย่าเชื่อใจใครง่ายๆ แม้แต่คนที่อยู่ข้างกายคุณ!"
หลินเว่ยมองกลับไปเป็ครั้งสุดท้าย เห็นจางเฉิงยืนตัวตรง เสื้อคอจีนสีดำพลิ้วไหวในสายลมราตรี ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและวิ่งตามหลิวซินไป
พวกเขาวิ่งลัดเลาะผ่านต้นไม้ใหญ่ เสียงปืนและเสียงะโดังขึ้นจากศาลาที่พวกเขาเพิ่งออกมา แต่พวกเขาไม่กล้าหยุดหรือหันกลับไปมอง
"มาทางนี้" หลิวซินกระซิบ ดึงหลินเว่ยเข้าไปในพุ่มไม้ขนาดใหญ่ "มีทางลับซ่อนอยู่"
หลินเว่ยรู้สึกตงิดใจเล็กน้อย "คุณรู้ได้อย่างไร?"
"ฉัน... เคยมาที่นี่" หลิวซินตอบอึกอัก "สมัยเด็กๆ พ่อพาฉันมาเล่นที่นี่บ่อยๆ"
หลินเว่ยไม่มีเวลาสงสัย เขาตามหลิวซินลอดผ่านช่องแคบระหว่างกำแพงสวนที่พังทลาย ออกสู่ซอยเล็กๆ ที่อยู่เื้ัวัดเก่า
เมื่อพวกเขาวิ่งออกมาได้ไกลพอ หลิวซินพาหลินเว่ยเข้าไปหลบในตรอกมืด พวกเขาหยุดพักหอบหายใจ ท่ามกลางเสียงอลหม่านที่ยังคงดังอยู่ห่างๆ
"คุณคิดว่า... จางเฉิง... จะรอดไหม?" หลินเว่ยถามระหว่างพยายามหายใจให้เป็ปกติ
หลิวซินส่ายหน้า "ไม่มีทาง หากเทียนซื่อ้าใครสักคน พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนนั้นหลุดมือไปง่ายๆ"
"คุณดูจะรู้จักองค์กรนี้ดีนะ" หลินเว่ยมองหลิวซินอย่างสงสัย
เธอนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบเสียงเบา "ทุกคนที่สนใจประวัติศาสตร์จีนโบราณต้องเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับพวกเขา... แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเื่นี้ เราต้องหาที่ซ่อนตัวก่อน"
หลินเว่ยกุมข้อมือซ้ายของตัวเอง ที่มีรอยเืของคนไข้ติดอยู่ เขานึกถึงคำพูดของจางเฉิงที่ว่าเขาอาจติดเชื้อแล้ว ความกังวลปรากฏชัดบนใบหน้า
หลิวซินสังเกตเห็น เธอจับมือหลินเว่ยไว้ "อย่ากังวลไปเลย ถ้าจางเฉิงพูดความจริง การฝึกวิชาัทะยานฟ้าอาจช่วยคุณได้ ฉันจะช่วยแปลตำราให้"
"ทำไมคุณถึงช่วยผม?" หลินเว่ยถามตรงๆ "เราเพิ่งเจอกัน คุณไม่จำเป็ต้องเสี่ยงอันตรายไปกับคนที่อาจกลายเป็สัตว์ร้ายได้ทุกเมื่อ"
"เพราะ..." หลิวซินลังเลเล็กน้อย "เพราะฉันเองก็้าความช่วยเหลือเหมือนกัน ในเวลาแบบนี้ เราต้องช่วยเหลือกัน ใช่ไหม?"
หลินเว่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของหลิวซิน มีบางอย่างที่เขาไม่สามารถอ่านออก แต่เขาไม่มีทางเลือกมากนัก เขาอาจตายได้ทุกเมื่อหากอาการของโรคปริศนานี้เริ่มแสดงออกมา
"ตกลง" หลินเว่ยพยักหน้า "เราร่วมมือกัน"
หลิวซินยิ้ม เป็รอยยิ้มที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็มิตรหรือซ่อนความลับกันแน่ "ดี งั้นมาหัดท่าแรกกันเลยดีไหม? 'ัหลับใหล' ที่จางเฉิงพูดถึง"
"ตอนนี้เลยเหรอ?" หลินเว่ยแปลกใจ
"ช้าไป อาจสายเกินแก้" หลิวซินเปิดตำราเล่มนั้น กวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว "ท่านี้เน้นการนั่งสมาธิ ควบคุมลมหายใจเพื่อรวบรวมพลังปราณ ดูเหมือนแนวทางหลักของวิชานี้จะใช้พลังธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน" "หลินเว่ยพลิกหน้าตำราที่เหลืองกรอบด้วยกาลเวลา ทันใดนั้นสายตาเขาก็สะดุดกับบทกวีที่เขียนด้วยตัวอักษรจีนโบราณ:
เคลื่อนไหวดั่งน้ำ ล้ำลึกไร้แบบแผน
ลื่นไหลไร้แรงเสียดทาน ผ่านทุกอุปสรรค
จงดั่งัที่หลับใหล รอเวลาตื่น
พลังภายในคือสายธารอันไม่มีวันเหือดแห้ง
เขาอ่านออกเสียงช้าๆ รู้สึกถึงจังหวะของถ้อยคำที่ราวกับพาร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไปเอง แม้จะไม่เข้าใจอักษรโบราณเ่าั้ทั้งหมด แต่ความหมายกลับซึมลึกเข้าสู่จิติญญาของเขาอย่างประหลาด ราวกับร่างกายจดจำสิ่งที่จิตใจยังไม่เข้าใจ"
เธอช่วยจัดท่านั่งให้หลินเว่ย โดยให้นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือทั้งสองวางบนหัวเข่า
"หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ" หลิวซินแนะนำ "จินตนาการว่ามีแสงสว่างไหลเข้าสู่ร่างกายผ่านจมูก แผ่ซ่านไปทั่วอวัยวะภายใน... และเมื่อหายใจออก จินตนาการว่าความมืดและพิษร้ายถูกขับออกไป"
หลินเว่ยทำตามคำแนะนำ เขาไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่พยายามทำใจให้สงบ
"รวมความสนใจไปที่จุดตรงกลางหน้าอก จินตนาการว่ามีพลังงานสีทองรวมตัวอยู่ตรงนั้น" หลิวซินอ่านคำแนะนำจากตำรา "แล้วค่อยๆ ให้พลังนั้นแผ่กระจายออกไป ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างกาย"
หลินเว่ยพยายามจินตนาการตาม แม้จะรู้สึกประหลาดที่ต้องมาทำเื่พวกนี้ในยามวิกฤต แต่ความรู้สึกอุ่นๆ แปลกๆ เริ่มก่อตัวขึ้นที่หน้าอกของเขาจริงๆ
"ฉันรู้สึก... แปลกๆ" เขาพึมพำโดยไม่ลืมตา "เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังไหลเวียนในตัวผม" "กระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านจากจุดศูนย์กลางหน้าอกของหลินเว่ย ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปราวกับวงแหวนระลอกคลื่นบนผิวน้ำเมื่อหยดน้ำตกกระทบ ความรู้สึกนี้ทั้งแปลกประหลาดและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน เหมือนการได้พบกับสิ่งที่หายไปนานจนลืมไปแล้ว เขารู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจตัวเอง ได้ยินเสียงเืไหลผ่านเส้นเื ััได้ถึงอณูเล็กๆ ที่ประกอบกันเป็ร่างกายของเขา ในวินาทีนั้น หลินเว่ยเหมือนได้ัักับความลับอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล—สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน เป็หนึ่งเดียวกัน"
"นั่นคือ ชี่—พลังปราณ" หลิวซินตอบ น้ำเสียงมีความยินดีแฝงอยู่ "คุณมีพร์นี่ ปกติแล้วต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่าจะรู้สึกได้"
เวลาผ่านไปราวสิบนาที หลินเว่ยรู้สึกตัวเบาโหวงเมื่อลืมตาขึ้น "ผมรู้สึก... ดีขึ้น"
"นั่นเป็เพียงการเริ่มต้น" หลิวซินปิดตำรา "เราต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และเรียนรู้ท่าต่อไป แต่ตอนนี้ เราต้องหาที่ปลอดภัยก่อน"
พวกเขาลุกขึ้น เตรียมออกเดินทางอีกครั้ง ทันใดนั้น เสียงกระซิบแ่เบาดังขึ้นจากปลายตรอก
"หลินเว่ย อย่าเชื่อใจ..."
หลินเว่ยสะดุ้ง หันไปมองหาต้นเสียง แต่ไม่เห็นใคร มีเพียงเงามืดและกองขยะ เขาหันไปมองหลิวซินที่กำลังเก็บตำราใส่กระเป๋า
"มีอะไรหรือเปล่า?" หลิวซินถาม
"คุณได้ยินอะไรไหม?"
"แค่เสียงลมกับเสียงไฟไหม้ห่างๆ" หลิวซินตอบ "ทำไม?"
หลินเว่ยส่ายหน้า บางทีอาจเป็เพียงความเหนื่อยล้าและความเครียดที่ทำให้เขาหูแว่ว "ไม่มีอะไร เรารีบไปกันเถอะ"
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากตรอก หลินเว่ยนึกถึงคำเตือนสุดท้ายของจางเฉิง "อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ แม้แต่คนที่อยู่ข้างกายคุณ!" เขาลอบมองหลิวซินที่เดินนำหน้า ในใจเริ่มเกิดความสงสัย
แต่ตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ในโลกที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่แน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้