ร่างสูงมองกองหนังสือมากมายที่จัดเรียงไว้รอสะสาง
‘ดูท่าเห็นทีคืนนี้คงต้องพักไว้ก่อน’ ใบหน้าเคร่งขรึมยามนี้ได้หยุดมือลงละมองไปนอกหน้าต่างที่มีเพียงแสงส่องของดวงจันทร์และตะเกียงไฟที่จุดไว้เรียงรายตามทางเดิน
“เหิงกงกงเตรียมเกี้ยวข้าจะไปตำหนักสนมหลิว” เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่น ยามนี้เขาไม่สามารถข่มใจให้นั่งอยู่ต่อได้
“ฮ่องเต้จะเสด็จตำหนักซูฮวากง เด็ก ๆ เตรียมเกี้ยววว” เสียงเหิงกงกงประกาศบอกเหล่าขันทีองครักษ์ที่ดูแลรอบด้านตำหนักให้ทราบ ก่อนที่ร่างสูงจะทอดเดินไป
ตำหนักซูฮวากงยามนี้มีเพียงแสงไฟบางจุดที่ส่องแสงรวมถึงในห้องหอนางยามนี้ก็ดูสลัวยิ่งนัก ฮ่องเต้ลุกก้าวลงจากเกี้ยวจนเหล่านางกำนัลขันทีวิ่งรับกันแทบไม่ทัน
“ถวายพระพร//ถวายบังคมฮ่องเต้ เพค่ะ//พะย่ะค่ะ” เสียงดังในยามค่ำคืนปลุกให้เธอที่กำลังขดตัวกอดหมอนอุ่นต้องพลิกฟัง
‘ฮ่องเต้..มายามนี้ทำไมกัน หรือวันนี้เราจะสร้างเื่อะไรให้พระองค์ไม่พอใจกันนะ’ หลิวเซียงเอ๋อร์ผลักตัวลุกจากเตียงนอนก่อนรีบลุกไปเปิดประตูห้องหออย่างไม่รอช้า หลินเสียงที่ดูท่าที่ยังไม่ตื่นจากฝันได้ยกศีรษะเล็ก ๆ หันมองก่อนรีบยอบตัวลงแทบติดพื้น
“ถะ..ถวายพระพรฝ่าา” หลินเสียงรีบคารวะฮ่องเต้หนุ่มก่อนจะรีบคลานออกจากห้องหอไปทันที
“ฝ่าา..มีเื่อันใดถึงมาในยามนี้” หลิวเซียงเอ๋อร์จับผ้าคลุมไหล่กระชับด้วยเพราะอากาศเย็นทำให้ร่างนางสั่นระริก เมื่อเขามองนางจึงได้รีบดันตัวเข้าห้องหอนี้ไป
“เจิ้นแค่มีเื่อยากถามเ้า เห็นว่าวันนี้องค์หญิงหนานเว่ยมารบกวนเ้าให้สอนศิลปะป้องกันตัว”
“เพค่ะ..หม่อมฉันแค่ฝึกเพื่อออกกำลังกันเสียมากกว่ามิได้เอาจริงเอาจัง” หลิวเซียงเอ๋อร์พยายามมองดูท่าทางเคร่งขรึมของเขาราวหาจังหวะหลบเลี่ยง
“เช่นนั้นมิชวนเจิ้นมาออกกำลังด้วยกันกับเ้าด้วยเล่า” ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปมือที่ว่าวางไว้นิ่งยามนี้กลับลูบไล้ใบหน้านางจนรู้สึกขนลุก
“หม่อมฉันเห็นฝ่าาทรงมีงานต้องรีบสะสางจึงมิอยากรบกวน” หนานรั่วหานสะดุดมือลงที่คำว่ามิอยากรบกวน ผิดกลับรองแม่ทัพจิ้งแล้วนางกลับกล้ารบกวนเขา หนานรั่วหานกำมือแน่นอย่างเก็บอารมณ์ขุ่นเคืองไว้
“งั้นเ้าจึงรบกวนให้รองแม่ทัพจิ้งมาร่วมเรียนศิลปะป้องกันตัวกับเ้าด้วยงั้นสินะ” น้ำเสียงตัดพ้องอย่างเอาแต่ใจ ใบหน้าที่ว่าเคร่งขรึมอยู่แล้วตอนนี้กลับขุ่นมัวหนักกว่าเดิม หลิวเซียงเอ๋อร์ที่พอจับอาการของเขาได้ก็รีบปฏิเสธ
‘นี่ฮ่องเต้หึงหวงสนมหลิวหรือน่าแปลกใจเสียจริง’ ดวงตาจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อใครจะคิดว่าสตรีที่มิเคยยินดีที่จะร่วมหอกลับมาถูกหึงหวง
“จริง ๆ แล้วหม่อมฉันนัดไว้เพียงองค์หญิงหนานเว่ยแต่รองแม่ทัพจิ้งและอ๋องสี่มาทีหลังเพค่ะ”
“เออร์หลงก็มาด้วยเหรอ”
“เพค่ะ..ชินอ๋องก็มาเพค่ะ” เธอรีบกล่าว หนานรั่วหานที่อารมณ์ขุ่นมัวก็พลางเย็นลง
“แล้วใยเ้ามิบอกเจิ้นเสียแต่แรก”
“หม่อมฉันเห็นว่ามิได้เป็เื่ใหญ่อะไรจึงไม่ได้กราบทูล”
“เ้าเป็ผู้หญิงของเจิ้น ต่อไปห้ามบุรุษใดเข้าใกล้เด็ดขาดแม้แต่เออร์หลงก็ห้าม”
“แต่...ฝ่าา”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้นเจิ้นหวงเ้า ห้ามใครผู้ใดทั้งนั้น” หนานรั่วหานเอ่ยบอกอย่างเอาแต่ใจ หลิวเซียงเอ๋อร์หน้าเหวอเพราะไม่คิดว่ายามนี้เธอจะกลายเป็ผู้หญิงคนโปรดของฮ่องเต้เสียแล้ว
‘เช่นนั้นเราก็อาจมิต้องโดนเข้าตำหนักเย็นแล้วนะซิ’ ความดีใจในอกทำให้เธอเผยยิ้มบางๆ ยังไม่ทันจะหายดีใจริมฝีปากอุ่นของเขาก็จูบลงบนริมฝีปากเธอแต่ครานี้ช่างต่างออกไปกว่าทุกครั้ง เขาค่อย ๆ ประกบลงอย่างละมุนละไมจนเธอเผลอเพยอปากอิ่มออกจนลิ้นหนาร้อนของเขาค่อย ๆ เกี่ยวพันปลายลิ้นเธอราวดูดกินน้ำหวาน พร้อมขบเม้มริมฝีปากอย่างไม่ละปล่อย ร่างบางยันกายออกก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาละปล่อยให้เธอได้พอหายใจก่อนจะค่อย ๆ ซุกไซ้ไปตามลำคอระหง ชุดบางถูกปลดเปลื้องออกโดยมิรู้ตัว อากาศเย็นกระทบผิวชวนขนลุกจนเธอต้องรีบซุกตัวเขาหาอกแกร่งที่ปลดเปลื้องเช่นเดียวกัน ทั้งสองกอดเกี่ยวไปมา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวลง
“อ่ะ..ฝะ..ฝ่าา” หลิวเซียงเอ๋อร์สะดุงตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากปลายมือที่กำลังลูบไล้จากปลายด้านล่าง หลิวเซียงเอ๋อร์ยามนี้สติเธอได้หลุดลอยปล่อยไปตามอารมณ์ของเขาและเธอเอง ร่างสูงดันกายแทรกกลางตัวนางราวทะนุถนอมความเ็ปทำให้เธอต้องใช้มือหนึ่งดันกายเขาไว้ แต่เหมือนหนานรั่วหานจะเข้าใจความรู้สึกนาง เขาจึงค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้านวลก่อนจะบดจูบริมฝีปากอิ่มของนางอีกครั้ง เพื่อเบี่ยนความเ็ป ก่อนจะกดลำตัวลงแนบชิดนาง เรียวขาเล็กเกาะเกี่ยวเขาราวขืนตัวยันทั้งสองใช้เวลาร่วมกันจนเกือบฟ้าสาง
ผิวกายเย็นชนกระทบความอุ่นของเนื้อทำให้เธอค่อย ๆ ปรือตามองดูใบหน้าหล่อเหลายามหลับของเขาราวเด็กน้อย หลิวเซียงเอ๋อร์ค่อย ๆ ใช้นิ้วจิ้มไป เพื่อที่หารอยบุ๋มยามที่เขายกยิ้ม
‘ตรงนี้หรือเปล่าน้า...’ หลิวเซียงเอ๋อร์บอกกล่าวกับตัวเองอย่างไม่แน่ใจ จนคนถูกจิ้มต้องลืมตาจ้อง
“ฝ่าา!!” เธอใรีบลุกแต่ด้วยที่ร่างเธอยามนี้ไร้อาภรจึงได้แต่คว้าผ้าแพรมาคลุมกาย
“เ้าเพลียหรือไม่ เดี๋ยวเจิ้นสั่งให้กำนัลนำอาหารมาให้เ้าที่เตียง”
“ม่ะ..มิเป็ไรเพค่ะ..เดี๋ยวนางกำนัล...” หลิวเซียงเอ๋อร์พูดจาติด ๆ ขัด ๆ ใบหน้าแดงก่ำ เพียงแค่เธอลุกมาเห็นเขาในยามนี้ก็รู้สึกเขินอายมากพอแล้ว ไหนจะต้องถูกเหล่ากำนัล ขันทีมาเห็นอีกเธอคนไม่กล้าออกไปมองผู้คนได้
“ใครกล้าขัดคำสั่งเจิ้น” หนานรั่วหานผู้เอาแต่ใจได้แต่จ้องมองใบหน้านางยามไล้เครื่องประทินโลมดูสดใสจนนึกอย่ากแกล้ง
“อ่ะ..ฝ่าาหยิกแก้มหม่อมฉันทำไมเพค่ะ”
“แก้มเ้าเหมือนซาลาเปาก้อนน้อย ๆ ข้าเลยนึกอยากจะลงชิมดู” หลิวเซียงเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นกลับหน้าแดงกว่าเดิม จนคนมองต้องหลุดหัวเราะออกมา เหล่าข้ารับใช้ที่รออยู่ด้านนอกห้องหอต่างได้ยินเสียงก็รู้สึกแปลกใจและดีใจแทนนายตน หากแต่บุคคลผู้หนึ่งที่เพิ่งมาถึงก็ต้องรีบกลับออกไป
เฉินฮั่วที่ยามนี้ได้กลับมา หมายจะอยู่ดูแลนางหลังจากที่เสร็จสิ้นงานของเสนาบดีหลิวที่ไหว้วานให้เขาเอาสานไปส่งให้อีกแคว้นหนึ่ง แต่กลับมาครานี้ดูท่าแล้วเขาคงจะมิต้องค่อยห่วงกังวลนางอีกต่อไป แววตาพลางเศร้าหมองของเขาทอดมองไปยังประตูห้องหอราวรู้ตัวเองดี เฉินฮั่วได้แต่หันหลังจำใจก้าวออกไปจากตำหนักเธอ
ทางด้านจิ้งหนี่เหยียนที่ได้ยินเหล่ากำนัลต่างพูดคุยก็ได้แต่กรีดร้อง
“คงเป็เพราะเราหลงปล่อย มิได้ดูแลฝ่าา นางจึงได้มีโอกาสเช่นนี้ เ้ากับข้าต้องได้เห็นดีกันสนมหลิว” แววตาเฉียวจับจ้องออกไปริมฝีปากขบเม้มอย่างแรง มือเล็กกำแน่นราวเจ็บใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้