ภายในโถงรับรองของจวนตระกูลมู่ มู่เฉินกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานสูงสุดของจวน ขณะที่ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวลายเมฆา ผู้มีใบหน้าสะอาดสะอ้านไร้หนวดเครากำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เป็รองเพียงแค่ตำแหน่งประธานเท่านั้น
นอกจากนี้ ที่นั่งประจำตำแหน่งทั้งสองฝั่งของโถงรับรองยังมีเหล่าผู้าุโตระกูลมู่กำลังนั่งประจำที่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
"ฮ่าๆ ท่านอวิ๋น นานมากแล้วที่ท่านไม่ได้มาเยือนตระกูลมู่ของข้า"
มู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่สาวใช้กำลังยกน้ำชาเข้ามาต้อนรับแขก
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวผู้นี้ก็คือผู้นำตระกูลอวิ๋น บิดาของอวิ๋นชิงว่าน
“เฮ้อ หลังจากจบาระหว่างหนานหลิงและเป่ยหลิง ภายในตระกูลของข้าก็มีเื่ให้ต้องสะสางมากมายนัก ท่านมู่เองก็เป็ผู้นำตระกูลเช่นกัน หวังว่าท่านคงจะเข้าใจถึงความยากลำบากของข้า ต้องขออภัยท่านด้วย”
อวิ๋นไห่ถอนหายใจ เขากำมือของตนแน่นพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจื่อนๆ ออกมา ดวงตาของมู่เฉินขรึมลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น น้องรองของเขาก็ไม่ใช่เพิ่งจะตายไปท่ามกลางเพลิงาหรอกหรือ? นอกจากนี้ยังมีกองทัพทหารตระกูลมู่อีกสองแสนนาย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็กองกำลังส่วนใหญ่ของตระกูลทั้งสิ้น
มู่เฉินเพียงแค่นั่งจิบน้ำชาโดยไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก
เวลานี้อวิ๋นไห่ยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัดของตระกูลมู่ ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็กล่าวทักทายกันพอเป็พิธีแล้ว เขาจึงลองถามหยั่งเชิงขึ้นมาว่า "ท่านมู่ ข้าได้ยินมาว่าเส้นลมปราณของเฟิงเอ๋อร์ถูกทำลายจนสูญสิ้นวรยุทธ์ไปหมดแล้ว ไม่ทราบว่าเื่นี้จริงหรือไม่"
ใบหน้าของมู่เฉินยังคงราบเรียบ เขาพยักหน้าก่อนกล่าวว่า "ถูกต้อง เส้นลมปราณของเฟิงเอ๋อร์ถูกทำลายไปแล้ว เวลานี้ตระกูลมู่ของข้ากำลังหาหนทางรักษาให้เขาอยู่"
เป็กระดาษย่อมไม่อาจต้านทานเปลวเพลิง แต่ละตระกูลล้วนมีหูตาของตัวเอง มู่เฉินทราบดีว่าข้อเท็จจริงในเื่นี้ไม่อาจปกปิดได้ ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“หนทางการรักษา? นอกจากยาครอบจักรวาลที่เล่าขานกันในตำนานแล้ว ยังจะมีวิธีการรักษาอื่นอยู่อีกหรือ เกรงว่าหลานชายผู้น่าสงสารของข้าคงต้องกลายเป็คนไร้ประโยชน์แล้ว”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนา ครานี้เป็ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำซึ่งกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้าุโของจวนทางฝั่งซ้าย ชายผู้นี้มีนามว่ามู่เยี่ย เขาคือน้องสามของมู่เฉินและมู่เทียน ทว่าเขากลับมีความขัดแย้งและไม่ลงรอยกับมู่เทียนมาั้แ่เด็ก
คำพูดนี้ของมู่เยี่ยฟังดูเหมือนเป็การเย้ยหยัน และเมื่อมู่เฉินเหลือบมองไปทางเขา เขาก็ทำเพียงยิ้มเจื่อน ทว่าสายตากลับเป็ประกาย
“ไอหยา ระหว่างข้าและสหายเทียนนั้นเคยผ่านศึกร่วมเป็ร่วมตายกันมาก่อน เวลานี้เขากลับต้องมาจบชีวิตลงในสนามรบ อีกทั้งเฟิงเอ๋อร์ก็ยังกลายเป็เช่นนี้ไปอีก ์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
อวิ๋นไห่ถอนหายใจ แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเศร้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ปรบมือขึ้นครั้งหนึ่ง
"เข้ามา!"
ไม่นานคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นหลายคนที่อยู่ด้านนอกก็นำหีบขนาดใหญ่สองหีบเข้ามาในห้องโถงก่อนจะวางมันเอาไว้ตรงกลางห้อง ขณะที่พวกเขากำลังวางหีบเสียงโลหะกระทบกันอยู่ภายในก็ดังขึ้นมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน
เหล่าผู้าุโในตระกูลมู่ต่างก็จ้องมองด้วยความสงสัย อวิ๋นไห่โบกมือส่งสัญญาณให้คนรับใช้เปิดหีบทั้งสองออกในทันที เมื่อหีบถูกเปิดแสงสีทองภายในก็พลันส่องสว่างออกมาหลังจากที่โดนแสงตกกระทบ
หีบใหญ่ทั้งสองหีบนี้ถูกบรรจุแน่นไว้ด้วยเหรียญกษาปณ์ทอง!
"เหรียญทองมากมายเหล่านี้..."
“เหรียญทองมากมายขนาดนี้ เกรงว่าคงมีไม่ต่ำกว่าสองแสนตำลึงทองแล้ว”
เมื่อเหล่าผู้าุโของตระกูลมู่ได้เห็นเหรียญตำลึงทองถึงสองหีบใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาต่างก็แสดงออกถึงความประหลาดใจและมีร่องรอยของความโลภเผยออกมาให้เห็น
เหรียญกษาปณ์สีทองคือเงินตำลึงที่ใช้จ่ายกันทั่วไปบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ สิบเหรียญทองแดงหรือสิบอีแปะมีค่าเท่ากับหนึ่งเหรียญตำลึงเงิน และสิบเหรียญตำลึงเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งเหรียญตำลึงทอง
โดยปกติแล้วรายได้ของชนชั้นแรงงานทั่วไป ในหนึ่งวันนั้นพวกเขาได้ค่าแรงไม่ถึงหนึ่งเหรียญตำลึงเงินด้วยซ้ำ แต่ในหีบสองหีบใหญ่นี้ เกรงว่าคงมีเหรียญตำลึงทองบรรจุเอาไว้ภายในไม่ต่ำกว่าสองแสนเหรียญ
“ท่านอวิ๋น ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
มู่เฉินเอ่ยถามพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็ปม
“ภายในหีบทั้งสองหีบนี้บรรจุเหรียญตำลึงทองเอาไว้จำนวนสองแสนเหรียญ ข้าพอจะทราบถึงสถานการณ์ของตระกูลมู่ดี ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างเราแล้ว ข้าจึง้าที่จะมอบเหรียญตำลึงทองที่บรรจุอยู่ภายในหีบทั้งสองหีบนี้แก่ตระกูลมู่”
อวิ๋นไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้แน่นอนว่าเหล่าผู้าุโตระกูลมู่ย่อมรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
"ผู้นำตระกูลอวิ๋นช่างมีคุณธรรมสูงส่งนัก"
"ถูกต้อง นับเป็พรของตระกูลมู่เราที่มีพันธมิตรที่ดีเช่นนี้"
"..."
เหล่าผู้าุโตระกูลมู่ต่างกล่าวประจบสอพลอ สายตาของพวกเขาเสมองไปทางเหรียญกษาปณ์สีทองโดยหมายมาดว่าตนจะเป็ผู้ที่ได้มัน
"ท่านอวิ๋น เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ตระกูลมู่ของข้าไม่อาจรับเอาไว้ได้"
มู่เฉินโบกมือด้วยความขอบคุณ แต่อวิ๋นไห่กลับแย้งขึ้นว่า "ไอหยา ระหว่างเราสองตระกูลยังมีเื่ใดต้องเกรงใจกันอีก"
ในเมื่อไม่อาจเลี่ยงได้ มู่เฉินจึงต้องรับเอาไว้ แน่นอนว่าเขาไม่้าเป็หนี้บุญคุณใคร เพียงแต่สถานการณ์ของตระกูลมู่ในตอนนี้กำลังอยู่ใน่วิกฤต และเป็ความจริงที่ว่าพวกเขากำลังขาดแคลนเงินทองในการใช้จ่าย
เหรียญตำลึงทองจำนวนสองแสนเหรียญไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ มันสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของตระกูลมู่ได้ถึงครึ่งปี
“ไม่ขอปิดบังท่านมู่ แท้จริงแล้วการมาในครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อมอบของพวกนี้ให้กับตระกูลมู่แล้ว ข้ายังมีอีกหนึ่งคำขอที่อาจจะฟังดูไม่สมควรเท่าไรนัก”
หลังจากมู่เฉินตกลงรับเหรียญตำลึงทองเ่าั้เอาไว้แล้ว อวิ๋นไห่จึงรีบกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางลำบากใจ
"ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเราสองตระกูล ไม่ว่าท่านจะมีสิ่งใดในใจก็พูดออกมาตามตรงเถิด"
มู่เฉินรับเหรียญตำลึงทองเอาไว้ ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
“เื่การแต่งงานระหว่างว่านเอ๋อร์และเฟิงเอ๋อร์นี่พวกเราเลื่อนมันออกไปอีกสักหน่อยดีหรือไม่ หากจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เื่การแต่งงานของเด็กทั้งสองข้าเห็นสมควรว่าควรจะให้เป็เช่นนี้ไปก่อน”
"ว่าอย่างไรนะ!"
เมื่อมู่เฉินได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็เคร่งขรึมลงในทันใด "ท่านอวิ๋น ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"
อวิ๋นไห่ยิ้มเจื่อนและกล่าวว่า "ไม่ขอปิดบังท่านมู่ เมื่อไม่นานมานี้ผู้นำตระกูลซั่งกวานได้มาเยือนตระกูลอวิ๋นของข้าเพื่อสู่ขอว่านเอ๋อร์ให้กับซั่งกวานเชียนจื้อบุตรชายของเขา ท่านมู่ท่านย่อมทราบดีว่าเวลานี้องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานตระกูลซั่งกวานเพียงใด อีกทั้งพวกเขายังมีท่านอ๋องหนานหาวคอยหนุนหลังอยู่อีก ด้วยเหตุนี้แล้วตระกูลอวิ๋นของข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"
"เหอะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตระกูลมู่ของข้ากันเล่า ท่านอย่าได้ลืมไปว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็ตัวท่านและน้องรองของข้าที่กำหนดเอาไว้ั้แ่แรก ตระกูลมู่ไม่ได้เป็ฝ่ายร้องขอก่อน บัดนี้น้องรองได้จากไปแล้ว ส่วนมารดาของเฟิงเอ๋อร์ก็จากเขาไปั้แ่ยังเด็ก เหลือตัวเขาเพียงลำพัง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับว่านเอ๋อร์เป็อย่างไรท่านเองก็ทราบดี แล้วแบบนี้ท่านจะให้ข้าเผชิญหน้ากับเฟิงเอ๋อร์อย่างไร จะให้ข้าเผชิญหน้ากับน้องรองของข้าที่ตายไปแล้วได้อย่างไร”
มู่เฉินหยัดกายลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขากำลังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“ท่านมู่ การแต่งงานครั้งนี้เป็ข้าที่ตัดสินใจเองก็จริง แต่มันก็เป็เพียงแค่สัญญาปากเปล่าระหว่างข้ากับน้องชายของท่านเท่านั้น ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถพิสูจน์ได้ หากท่านคิดว่าเงินจำนวนนี้ยังไม่เพียงพอ ตระกูลอวิ๋นของข้าสามารถมอบมันเพิ่มให้ท่านได้อีกหนึ่งแสนเหรียญตำลึงทอง”
อวิ๋นไห่เริ่มไม่สบอารมณ์ เขาหยัดกายลุกขึ้นก่อนจะกล่าว
ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันไม่วางตา บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที พลังสีแดงเพลิงของมู่เฉินกำลังลุกโชนอยู่ภายในตัวของเขา ส่งผลให้คลื่นพลังอันแข็งแกร่งเริ่มแผ่กระจายออกมาจากร่างกาย
คลื่นพลังอันแข็งแกร่งนี้เป็พลังของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน!
ทางฝั่งอวิ๋นไห่ก็มีคลื่นพลังสีน้ำเงินห้อมล้อมอยู่รอบกาย แน่นอนว่าพลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าของมู่เฉินเลย ทันใดนั้นคลื่นพลังของทั้งคู่ก็พุ่งเข้าปะทะกันกลางห้องโถง ส่งผลให้โต๊ะและเก้าอี้ภายในห้องถึงกับสั่นะเื
เหล่าผู้าุโตระกูลมู่ต่างพากันลุกพรวดขึ้น ก่อนจะพยายามเกลี้ยกล่อมคนทั้งสอง
ฉับพลันนั้นเอง เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำที่อยู่นอกห้องโถงก็เดินเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าของเขาดูแน่วแน่นและเด็ดเดี่ยว ท่าทางการเดินโดยการยืดอกเชิดหน้าของเขาเช่นนี้ดูราวกับทหารกล้าในกองทัพ
เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือมู่เฟิง
“ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงอวิ๋น”
หลังจากมู่เฟิงเดินเข้ามา เขาได้โน้มศีรษะทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสอง เมื่อคนทั้งคู่เห็นเด็กหนุ่ม พวกเขาต่างก็รีบดึงพลังกลับไปในทันที คลื่นพลังที่แผ่ออกมาเมื่อครู่พลันสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“เฟิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เ้า...”
มู่เฉินมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าซับซ้อน ส่วนอวิ๋นไห่ก็กลับลงไปนั่งในที่นั่งเดิมอีกครั้ง
“ท่านลุงใหญ่ ข้าได้ยินทั้งหมดแล้ว”
ใบหน้าของมู่เฟิงยังคงสงบนิ่ง เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา แต่หากมองลึกเข้าไปในแววตาของเขา ย่อมเห็นถึงร่องรอยของความโกรธ
“ในเมื่อเ้าได้ยินทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความอีก มู่เฟิง เ้าย่อมทราบถึงสถานการณ์ของเ้าและตระกูลมู่ในตอนนี้เป็อย่างดี หากว่านเอ๋อร์แต่งเข้าตระกูลมู่ของเ้า นางย่อมไม่สามารถมีความสุขได้ ข้าหวังว่าเ้าจะคำนึงถึงว่านเอ๋อร์ด้วย"
อวิ๋นไห่มองมู่เฟิงพลางแอบทอดถอนใจ จากอัจฉริยะผู้มากพร์ มาเวลานี้กลับกลายเป็เพียงแค่คนไร้ค่า
หากเส้นลมปราณของมู่เฟิงไม่ถูกทำลาย เขาก็ยังถือเป็อัจฉริยะผู้หนึ่ง แม้สถานการณ์ของตระกูลมู่จะน่ากังวล แต่อวิ๋นไห่ก็คงไม่ถึงกับ้าที่จะถอนหมั้นเหมือนอย่างตอนนี้
หากยังเยาว์วัยขอเพียงมีความแข็งแกร่งในสักวันก็ย่อมสามารถผงาดขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง แต่ปัจจุบันเด็กหนุ่มผู้นี้ได้สูญเสียคุณสมบัติที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปแล้ว เมื่อประกอบกับสถานการณ์ของตระกูลมู่ในตอนนี้ และความกดดันที่ได้รับจากตระกูลซั่งกวาน อวิ๋นไห่จำเป็ต้องเลือกที่จะถอนหมั้นให้กับบุตรสาว
"เ้าหุบปาก!"
มู่เฉินตวาดอวิ๋นไห่ด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความโกรธจัด เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายพูดจาทำร้ายจิตใจและเพิ่มาแภายในใจให้กับหลานชายของตนอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้