บทที่ 9 น้ำพุิญญา
“ท่านแม่! ท่านเซียนหนวดขาวใจดีมอบน้ำทิพย์์ให้ข้าแล้วเ้าค่ะ!” ไป๋อวี้เจียวที่นั่งทับเท้าทั้งสองอยู่ ในมือเล็กๆ ของนางกำขวดหยกสีเขียวมรกตไว้แน่น ดวงตากลมโตเป็ประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว
“ดูสิเ้าคะท่านแม่! ข้าดื่มน้ำทิพย์นี่แล้วหายป่วยไข้เป็ปลิดทิ้งเลยนะเ้าค่ะ! ตอนนี้ข้าแข็งแรงราวกับัน้อย! ท่านแม่ลองดื่มดูเถิด รับรองว่าท่านจะหายป่วยกลับมาแข็งแรงเหมือนข้าแน่นอน!”
ว่าแล้วเด็กน้อยก็ยื่นขวดหยกให้มารดาอย่างกระตือรือร้น กลิ่นหอมประหลาดล้ำลึกคล้ายดอกไม้หอมเย็นสดชื่นโชยออกมาจากปากขวด หยางหลิงเย่วมองขวดหยกในมือลูกสาวด้วยความฉงน แต่เมื่อได้สูดดมกลิ่นหอมนั้น ความอ่อนล้าที่เคยกัดกินร่างกายก็พลันมลายหายไปราวกับต้องมนตร์ ความรู้สึกสดชื่นเบิกบานค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“น้ำทิพย์…เช่นนั้นรึ?” หยางหลิงเย่วทวนคำอย่างแ่เบา ดวงตางดงามจับจ้องขวดหยกในมือลูกสาวอย่างพิจารณา “เจียวเจียว… นี่เ้าได้มาจากท่านเซียนหนวดขาวจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอนเ้าค่ะท่านแม่!” ไป๋อวี้เจียวยืนยันหนักแน่น “ท่านเซียนหนวดขาวใจดีมีเมตตาให้ข้ากับมือเลย! ท่านแม่รีบดื่มเถิดนะเ้าค่ะ! รับรองว่าท่านจะต้องรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอน!” ดวงตากลมใสของเด็กหญิงอ้อนวอนเว้าวอน แดงปลั่งด้วยความตื่นเต้น
หยางหลิงเย่วมองดูลูกสาวด้วยความรักใคร่ ความไร้เดียงสาและความปรารถนาดีของเด็กน้อยทำให้หัวใจของนางอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด นางคลี่ยิ้มอ่อนโยน เอื้อมมือไปรับขวดหยกจากลูกสาวอย่างช้าๆ
“เอาเถิด… แม่จะลองดื่มดูก็ได้ ในเมื่อเจียวเจียวอุตส่าห์ตั้งใจหามาให้แม่ถึงเพียงนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเปิดจุกขวดหยกอย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมละมุนยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น ราวกับสวนดอกไม้์ทั้งสวนเบ่งบานพร้อมกันในรถม้าคันน้อย
หยางหลิงเย่วค่อยๆ ยกขวดหยกขึ้นจรดริมฝีปาก น้ำทิพย์สีฟ้าครามใสราวกับอัญมณีล้ำค่า ส่องประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวเล็กๆ นับพันส่องแสงอยู่ภายใน นางสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจจิบน้ำทิพย์นั้นเข้าไปเพียงเล็กน้อย
ทันทีที่น้ำทิพย์ััปลายลิ้น รสชาติหวานละมุนบริสุทธิ์ราวกับน้ำผึ้งเดือนห้าก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ความรู้สึกเย็นสดชื่นราวกับน้ำค้างยามเช้าค่อยๆ ซึมซาบไปทั่วร่าง หยางหลิงเย่วรู้สึกราวกับร่างกายที่เคยหนักอึ้งราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน พลันเบาสบายขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ความเ็ปรวดร้าวที่เคยกัดกินกระดูกพลันมลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
ภายในร่างกายนางบังเกิดปรากฏการณ์อันน่าพิศวง แสงสีทองอร่ามบริสุทธิ์ผุดขึ้นจากกลางอก แผ่ขยายไปทั่วร่างราวกับใยไหมทองคำที่ถักทอร่างกายของนางขึ้นมาใหม่ แสงเ่าั้เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน ราวกับกระแสน้ำอุ่นที่ไหลวนไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ปลุกพลังชีวิตที่เคยเหือดแห้งให้กลับคืนมาอีกครั้ง
หยางหลิงเย่วรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง ร่างกายที่เคยอ่อนแอและทรุดโทรม กลับแข็งแรงและกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ นางลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปรอบกายด้วยความตื่นตะลึง โลกที่เคยพร่ามัวและมืดมน กลับสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที
“เจียวเจียว… น้ำทิพย์นี้… มันวิเศษยิ่งนัก!”
หยางหลิงเย่วพึมพำเสียงสั่นเครือ ดวงตางดงามเบิกกว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ นางยกมือขึ้นััใบหน้าของตนเองเบาๆ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“เป็อย่างไรบ้างเ้าคะท่านแม่? ท่านรู้สึกดีขึ้นใช่หรือไม่?” ไป๋อวี้เจียวถามอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตากลมโตเป็ประกายวาววับ
“ดีขึ้น… ดีขึ้นมากจริงๆ ลูก!” หยางหลิงเย่วตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “แม่รู้สึกเหมือน… เหมือนได้ร่างใหม่เลยทีเดียว!” นางลูบไล้ไปทั่วร่างกายของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ไป๋อวี้เจียวได้ยินคำชมของมารดาก็ยิ้มแก้มปริ นางะโโลดเต้นด้วยความดีใจ “ข้าบอกแล้วว่าท่านแม่จะต้องหายดีแน่นอน! น้ำทิพย์ของท่านเซียนหนวดขาววิเศษที่สุดในโลก!”
“เจียวเจียวเก่งที่สุดเลยลูกรัก!” หยางหลิงเย่วดึงลูกสาวเข้ามากอดแนบอก ลูบศีรษะเล็กๆ ของนางด้วยความรักใคร่ “ขอบใจนะลูก… ที่ทำให้แม่หายป่วย ตอนนี้แม่รู้สึกดีมากทีเดียว”
แม้ว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าร่างกายของนางเป็เช่นไรนั้นหยางหลิงเย่วรู้ดีที่สุด เพราะไม่นานนี้ นางถึงกับคิดว่านางอาจจะต้องจากลูกและสามีไปแล้วก็เป็ได้ เพราะร่างกายที่ผุผังของนาง..
ไป๋อวี้เจียวซุกหน้าลงกับอ้อมอกอุ่นของมารดา ดวงตาเป็ประกายแวววาวด้วยความมุ่งมั่น
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้วนะเ้าคะ เจียวเจียวจะดูแลท่านแม่เอง และจะทำให้ครอบครัวของเรากลับมามีความสุขอีกครั้งให้ได้!”
ในเวลานั้นเอง ทั้งสองแม่ลูกยังไม่รู้เลยว่า นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของพลังวิเศษที่ซ่อนอยู่ในน้ำพุิญญาและแหวนหยกพันปี ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกนางตลอดไป…
หยางหลิงเย่วมองออกไปนอกม่านรถม้า ภาพสามีลูกๆ ทั้งสองและญาติพี่น้องที่เลือกที่จะอยู่ฝั่งเดียวกับสามีของนางกำลังช่วยกันก่อไฟหุงหาอาหารอย่างขะมักเขม้นปรากฏแก่สายตา กลิ่นข้าวต้มเจือจางลอยมาตามลม แต่ในใจของนางกลับรู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก จากคุณหนูผู้สูงศักดิ์ มีชีวิตสุขสบาย บัดนี้กลับต้องระหกระเหินร่อนเร่ ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ไป๋อวี้เจียวสังเกตเห็นความเศร้าหมองในแววตาของมารดา จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง
“ท่านแม่เ้าคะ… ตอนนี้ท่านแม่ปรารถนาสิ่งใดมากที่สุดหรือเ้าคะ?”
หยางหลิงเย่วหันมามองลูกสาว ดวงตาทอประกายอ่อนโยน นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแ่เบา
“หากแม่สามารถขอสิ่งใดจากท่านเซียนหนวดขาวของลูกได้ เช่นนั้นสิ่งที่แม่อยากได้มากที่สุดในตอนนี้ ก็คงเป็เพียงผ้าห่มอุ่นๆ สักผืน ให้พวกเราคลายหนาวในคืนนี้ และข้าวต้มร้อนๆ สักชาม ให้ทุกคนในครอบครัวได้อิ่มท้อง… แค่นั้นก็พอแล้วลูก” น้ำเสียงของนางแ่เบา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง แม้ว่าน้ำทิพย์ที่ลูกรักให้มาทำให้นางดีขึ้น แต่ว่าบางที่ อาจจะเป็เพียงเหตุบังเอิญก็เป็ได้นางคิด
ไป๋อวี้เจียวฟังคำพูดของมารดาด้วยความสงสารจับใจ นางกำมือเล็กๆ แน่น ดวงตากลมโตฉายแววแน่วแน่
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงนะเ้าคะ ข้าสัญญาว่าจะทำให้ท่านได้ทุกสิ่งที่ท่านปรารถนา!”
หยางหลิงเย่วยิ้มบางๆ ให้ลูกสาว ลูบศีรษะเล็กๆ ของนางอย่างอ่อนโยน
“แม่เชื่อใจเ้าเสมอ เจียวเจียวของแม่เก่งที่สุดแล้ว”
นางกล่าวด้วยความรักใคร่ โดยหารู้ไม่ว่า… คำสัญญาของลูกสาวในวันนี้ จะกลายเป็จริงในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากพูดคุยกับมารดาแล้ว ไป๋อวี้เจียวก็ลงจากรถม้า เดินตรงไปยังบริเวณที่ญาติๆ กำลังช่วยกันเตรียมอาหารเย็น สายตากลมโตของนางกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่กระทะใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ ข้าวต้มสีขาวใสกำลังเดือดปุดๆ แต่กลิ่นกลับจืดชืดไร้ชีวิตชีวา
“ข้าวต้มมื้อเย็น…” นางพึมพำเสียงเบา “ช่างดูน่าอนาถยิ่งนัก… น้อยและใส่แบบนี้จะอิ่มท้องได้อย่างไรกัน?”
สายตาของนางเหลือบไปเห็นพี่สาวรองกำลังนั่งคนข้าวต้มอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของพี่สาวดูอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้ใครในครอบครัว ไป๋อวี้เจียวจึงเดินเข้าไปหาอย่างเงียบๆ
“พี่รองเ้าคะ ให้ข้าช่วยคนข้าวต้มนะเ้าคะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส
พี่สาวรองสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองน้องสาว เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวแต่แววตาสดใสของน้องสาว นางก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน
"เจียวเจียว เ้าเพิ่งจะหายป่วย ยังจะออกมาเดินเล่นอีก เดี๋ยวล้มป่วยอีกหรอก กลับไปรถม้าเถอะ พี่กำลังจะหุงข้าวเสร็จแล้วล่ะ"
"ข้าหายแล้วจริงๆ เ้าค่ะ!" ไป๋อวี้เจียวยืนยันเสียงสดใส
“ข้าอยากทำเ้าค่ะพี่รอง! ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว! ยาที่พี่รองต้มให้ข้ากินนั้นดียิ่งนักตอนนี้ข้าหายแล้ว” ไป๋อวี้เจียวยืนยันเสียงหนักแน่น
“ถ้าเช่นนั้น… ก็ตามใจเ้าเถิด” พี่สาวรองพยักหน้า
“แต่ระวังน้ำร้อนด้วยเล่า อย่าซุ่มซ่ามเหมือนเมื่อก่อน” พี่รองของนางเอ่ยเตือน ความจริงนางก็ดีใจที่น้องเล็กหายป่วยและกลับมาสดใสได้อีกครั้ง
“รับทราบเ้าค่ะพี่รอง!”
ไป๋อวี้เจียวรับคำอย่างร่าเริงขันแข็ง รีบคว้าทัพพีขนาดใหญ่มาคนข้าวต้มอย่างตั้งใจ มือเล็กๆ จับทัพพีอย่างคล่องแคล่ว สีหน้ามุ่งมั่นจนผู้ใหญ่ที่เห็นอดอมยิ้มไม่ได้
แต่ในความเป็จริง ขณะที่คนข้าวต้มอย่างขะมักเขม้นนั้น ไป๋อวี้เจียวแอบนำข้าวสารออกมาหนึ่งกำใหญ่ใส่ลงไปเพิ่มปริมาณและหยิบขวดหยกเล็กๆ ออกมา เปิดจุกขวดอย่างรวดเร็ว แล้วเทน้ำทิพย์์ลงไปในหม้อข้าวต้มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
ทันทีที่หยาดน้ำทิพย์สีฟ้าครามัักับข้าวต้มเดือดพล่าน ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด! เม็ดข้าวที่เคยลีบเล็กขาวซีด พลันอวบอิ่มเต่งตึงขึ้นในพริบตา น้ำข้าวต้มที่เคยใสจืดชืด กลับกลายเป็สีขาวนวลข้นคลั่ก ส่งกลิ่นหอมละมุนอบอวลไปทั่วบริเวณ ราวกับข้าวต้มธรรมดาแปรเปลี่ยนเป็อาหารทิพย์จากสรวง์!
“กลิ่นอะไรน่ะ?” พี่สาวรองเบิกตากว้าง สูดดมกลิ่นหอมที่โชยมาอย่างประหลาดใจ “ข้าวต้มหอมขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่กัน? ข้าไม่ได้ใส่อะไรลงไปเพิ่มเลยนี่นา!”
กลิ่นหอมประหลาดล้ำลึกของข้าวต้ม แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว ดึงดูดความสนใจของทุกคนในครอบครัวที่อยู่ใกล้เคียง ต่างคนต่างหันมามองที่กระทะข้าวต้มด้วยความฉงนสนเท่ห์ บางคนถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ความหิวโหยที่เคยมี พลันทวีความรุนแรงขึ้นเป็ทวีคูณ
“เหตุใดวันนี้ข้าวต้มถึงได้หอมเย้ายวนถึงเพียงนี้?” พี่ชายคนโตเดินเข้ามาใกล้ สูดกลิ่นหอมเข้าปอดลึกๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หรือว่าเ้าใส่อะไรพิเศษลงไปในข้าวต้มหรือเปล่า?” เขาหันไปถามพี่สาวรองด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง
พี่สาวรองส่ายหน้าอย่างงุนงง “ข้าเปล่านี่นะเ้าคะพี่ใหญ่ ก็แค่ข้าวสารกับน้ำเปล่าเหมือนทุกที”
ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงสงสัย ไป๋อวี้เจียวกลับทำทีเป็เด็กไร้เดียงสา เงยหน้าขึ้นมองพี่ๆ ด้วยดวงตากลมโตใสซื่อ
“อาจจะเป็เพราะว่าข้ามาช่วยคนข้าวต้มก็ได้นะเ้าค่ะ ทำให้ข้าวหอมขึ้นและอร่อยมากขึ้น?” นางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ต่อไปข้าจะเป็เด็กที่โชคดีที่สุดในโลก ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมดีที่สุดเ้าค่ะพี่ใหญ่พี่รอง!” นางพูดพลางหัวเราะคิกคัก ทำท่าทางไร้เดียงสาจนพี่ๆ อดเอ็นดูไม่ได้
****
