“ทำไมต้องช่วยอ๋าวหราน?”
ถึงแม้เหยียนเฟิงเกอจะยังตั้งท่ากระบี่อยู่ แต่ปราณกระบี่ก็อ่อนลงไปเยอะ จิ่งฝานยังคงสบายๆ เหมือนเดิม เก็บแรงกระบี่ตามเขาไปด้วย
“ในเมื่อน้องสาวข้าช่วยเขาแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด” ตอนที่จิ่งฝานพูดคำเหล่านี้ริมฝีปากก็ประดับรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาก็โค้ง ราวกับว่าจริงใจเป็อย่างยิ่ง “เขาคู่ควรที่จะคบเป็สหาย เป็คนซื่อสัตย์เปิดเผย”
เหยียนเฟิงเกอมองไม่ชัดว่าเขากำลังโกหกหรือไม่ สีหน้านั้นแสดงความยอบรับและยินดี ไม่มีการแสดงและความฝืนใจปนอยู่แม้แต่น้อย ทำให้คนรู้สึกอยากลดการป้องกันลง
จิ่งฝานพูดจบ ในชั่วขณะที่หันศีรษะก็เก็บรอยยิ้ม แค่หมุนตัวทีเดียวก็ยืดระยะห่างระหว่างสองคน
และยิ้มพูดว่า “สู้กันต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว พอแค่นี้เถอะ”
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้า แขนสั่นน้อยๆ “วันหน้าหวังว่าจะได้รับการชี้แนะอีก”
จิ่งฝานยกริมฝีปากยิ้มน้อยๆ รับไปคำหนึ่งว่าได้
เวทีประลองพังทลายไปแล้ว คนทั้งสองเหยียบบนไม้เน่าๆ แผ่นนั้นเบาๆ แล้วบินขึ้น จิ่งเซียงรีบรุดไปด้านหน้า ถามว่า: “ใครชนะ?”
จิ่งฝานยังไม่ทันพูด เหยียนเฟิงเกอก็พูดว่า: “ข้าเทียบคุณชายจิ่งไม่ได้”
จิ่งเซียงยิ้มฮิฮะดีใจ
แม้แต่จิ่งจื่อก็ถอนหายใจทันใด
อย่างไรเสียจิ่งฝานก็เป็อัจฉริยะของตระกูลจิ่ง หากว่าแพ้ให้กับคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ถ้างั้นวันหน้าก็ยากจะยิ่งใหญ่ในตระกูลจิ่งได้แล้ว
คนที่เหลือที่รอบอยู่รอบๆ เริ่มขยับวงแคบเข้ามา วิพากษ์วิจารณ์ ชมไม่ขาดปาก จิ่งฝานก็ตอบบ้าง
หวางฮวายเหล่ยที่ยืนอยู่ในที่ไกลๆ อดลูบแขนตัวเองไม่ได้ พูดอย่างเขินๆ ว่า: “น้องจิ่งฝานเก่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ถึงแม้หวางฮวายเหล่ยจะมีความคิดอยากดึงจิ่งฝานมาเป็พวก เพราะคนคนนี้เป็ผู้นำตระกูลจิ่งในอนาคต ถ้าหากผูกสัมพันธ์กันได้ต่อไปก็จะเป็ประโยชน์กับเขาอย่างยิ่ง แต่ในใจลึกๆ เขาก็ยังดูถูกตระกูลจิ่งอยู่ จึงไม่ค่อยจะให้ความสนใจกับจิ่งฝานเท่าไร ตระกูลจิ่งสมารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้นานหลายปีบนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ค่อยจะสงบสุขนี้ได้ ส่วนใหญ่ก็เพราะวิชาแพทย์ที่ช่วยชีวิตคนทั่วหล้า ถึงจะบอกว่าตระกูลจิ่งค่อนข้างหลบเร้นจากโลกภายนอก แต่ก็เป็ที่รู้จักอย่างมากบนแผ่นดินใหญ่ คนทั่วไปส่วนมากจะยกย่องเชิดชูคนตระกูลจิ่ง ตระกูลใหญ่ทั้งหลายภายนอกก็ค่อนข้างนับถือตระกูลจิ่งอยู่สองส่วน แต่ภายในใจกลับมีความดูถูก
ที่ไม่จัดการทำอะไรตระกูลจิ่งนั่นเป็เพราะตระกูลใหญ่ส่วนมากก็ยังคงต้องสร้างลักษณะความเป็สุภาพชนให้ตนเองอยู่บ้าง ตระกูลที่ได้รับความยกย่องจากคนทั่วหล้าเช่นนี้ พวกเขาก็ต้องตามใจคนทั่วหล้าไป จะได้แสดงความเมตตาอบอุ่นของตนเองให้ผู้คนเห็นไปด้วย อีกอย่างก็เพราะในสายตาของพวกเขา ตระกูลจิ่งที่เป็แค่หมอกลุ่มหนึ่ง ไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปกระทบพวกเขาได้ เพราะวิชาแพทย์ไม่อาจเทียบได้กับวรยุทธ์ที่สามารถสังหารไปทั่วสี่ทิศได้ หากมีคนอยากจะทำอะไรตระกูลจิ่งจริงๆ คาดว่าตระกูลจิ่งคงไม่มีความสามารถใดจะไปขัดขวางได้ เพราะอย่างไรก็เป็พวกหมอที่มือมีแรงแค่พอมัดไก่เท่านั้น ความสามารถก็คงมีแค่ยารักษา กับยาพิษ แต่สิ่งเหล่านี้อย่างไรก็มีวิธีศึกษารับมือได้
วิชาแพทย์ ก็แค่อะไรเล็กๆ ที่ไม่สำคัญ ส่วนตระกูลจิ่งไม่ช้าก็เร็วก็คงจะต้องยอมศิโรราบให้กับตระกูลใหญ่ๆ
ทว่าตอนนี้ หวางฮวายเหล่ยรู้สึกขนลุกแล้วจริงๆ จิ่งฝานกับคนหนุ่มหน้านิ่งคนนั้น คนทั้งสองแข็งแกร่งราวกับไม่ใช่คน
หวางฮวายเหล่ยไม่นับว่าเป็อัจฉริยะอันดับต้นๆ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนเป็อย่างมาก เขาคิดเอาเองว่าเขายังอายุน้อย สู้คนที่อายุเยอะๆ ในตระกูลหวางไม่ได้ก็เป็เื่ธรรมดา อีกทั้งเขายังคิดเอาเองว่าใน่อายุเช่นเขานี้ สามารถเป็คู่ต่อสู้เขาได้นอกจาก ยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ๆ แล้วก็คงไม่มีใครอีก
แต่วรยุทธ์และกำลังภายในของจิ่งฝานกับคนคนนั้น เกรงว่าใน่อายุเดียวกันนี้คงไม่มีใครเทียบทั้งสองคนได้แล้ว หวางฮวายเหล่ยรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าหรือว่าควรจะเริ่มให้ความสำคัญกับตระกูลจิ่งได้แล้ว และเขาควรจะส่งจดหมายไปถึงบิดาของตนแล้วหรือเปล่า
แต่ก็เป็ไปได้ว่า ตระกูลจิ่งอาจจะมีจิ่งฝานเพียงคนเดียวที่เป็ยอดฝีมือ? งั้น งั้นหนุ่มน้อยหน้านิ่งคนนั้นเป็ใคร? ทำเนียบอัจฉริยะของแผ่นดินใหญ่นี้ต้องเพิ่มเข้าไปอีกคนหนึ่งแล้วหรือ?
ในบางมุม หวางฮวายเหล่ยคาดการณ์ได้ถูกแล้ว
หวางฮวายเหล่ยถามหยั่งเชิงว่า: “ไม่รู้เลยว่าพี่ชายน้องชายในตระกูลจิ่งฝีมือร้ายการขนาดนี้ เมื่อใดมีเวลาแล้วมาประลองกันสักหน่อย”
หวางฮวายเหล่ยพูดจบ ตั้งนานก็ไม่ได้ยินเสียงจิ่งเคอตอบรับ หันหน้าไปกลับเห็นว่า จิ่งเคอสีหน้าแข็งค้างยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งร่างเหมือนถูกคนเอาเชือกมารัดไว้ ดูแข็งเกร็งเป็อย่างมาก โดยเฉพาะแขนข้างที่ถือกระบี่นั้น มีเส้นเอ็นเขียวขึ้นเต็ม เหมือนว่าใช้แรงไปมากมาย
“พี่ชาย?” หวางฮวายเหล่ยถูกบรรยากาศอันน่ากลัวของจิ่งเคอทำให้รู้สึกกลัวๆ ถามอย่างกลัวๆ ว่า”ท่านป็นอะไร? ไม่สบายหรือ?”
จิ่งเคอที่ถูกเรียกสติกลับมาก็รู้ตัว มือที่ถือกระบี่คลายลง มือชื้นเหงื่อ ยิ้มแบบฝืนทนทำเป็สงบนิ่งส่งกลับไปให้หวางฮวายเหล่ย “ไม่มีอะไร เห็นพวกจิ่งฝานประลองกัน อดรู้สึกใจคันยุบยิบอยากลองบ้างไม่ได้”
หวางฮวายเหล่ย: “!!!” คนตระกูลจิ่งพวกนี้บ้าไปหมดแล้วหรือ? หรือว่าหลายปีมานี้เข้าใจเื่ความสามรถของพวกเขาผิดมาตลอด พวกเขาต่างหากที่เป็ยอดฝีมือของจริงที่แอบซ่อนอยู่?
จิ่งฝานที่อยู่ไกลออกไปในฝูงชนซัดสายตามาทางนี้พอดี เหมือนว่าจะเห็นคนทั้งสอง ส่งยิ้มอ่อนโยนมาจากที่ไกลๆ จิ่งเคออดที่จะออกแรงจับกระบี่ให้แน่นขึ้นอีกไม่ได้ กลับเป็หวางฮวายเหล่ย รีบยิ้มอย่างสว่างสดใสพร้อมโบกมือตอบกลับไป
“พี่ชาย พวกเราเข้าไปทักทายเถอะ เมื่อกี้น้องจิ่งฝานก็คงจะมองเห็นพวกเราแล้ว”
จิ่งเคอตอบเสียงแข็ง: “ข้ายังมีเื่ต้องทำ เ้าเข้าไปก่อนเถอะ”
หวางฮวายเหล่ยคิดๆ แล้วก็พยักหน้าตอบตกลง
จิ่งเคอมองดูหวางฮวายเหล่ยที่รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกว่าความโกรธคาอยู่ที่หลอดลม ยากจะกลืนลงไป ตั้งนาน ถึงจะกดมันลงไปได้ หันกายพุ่งไปทางเรือนพักของจิ่งเหวินซานผู้เป็บิดาเขา
เรือนพักของจิ่งเหวินซานและลูกหลานของเขาอยู่ทางทิศตะวันออกของตระกูลจิ่ง เป็เรือนขนาดใหญ่ ด้านในยังมีเรือนเล็กๆ ซ้อนทับกันนับไม่ถ้วน จิ่งเหวินซานเป็คนรักหน้าตัวเองและใส่ใจกับรูปลักษณ์ เขาฝันมาั้แ่เด็กว่าอยากจะเป็ผู้นำของตระกูลจิ่ง อีกทั้ง เขายังคิดเอาเองว่าไม่มีใครในบรรดาพี่น้องของเขาจะมีความบ้าบิ่นและทะเยอทะยานได้เท่าเขา พวกน้องชายเขาถ้าไม่ใช่พวกไม่สนใจโลก ก็เป็คนป่วยร่างกายอ่อนแอ มีเพียงจิ่งเหวินเหอที่พอๆ กับเขา สุดท้ายทุกคนกลับยอมรับจิ่งเหวินเหอเป็ผู้นำ ได้ไปอยู่ในเรือนหลักของตระกูลจิ่ง
เรือนของตระกูลจิ่งถึงแม้จะเป็เพราะสภาพพื้นที่ทำให้ดูไม่เป็ระเบียบอยู่บ้าง แต่เรือนหลักๆ ก็ค่อนข้างชัดเจน เรือนหลักอยู่ทิศใต้ ทิศตะวันออกตะวันตกสองด้านเป็ที่อยู่ของคนตระกูลจิ่งสายหลักคนอื่นๆ ด้านเหนือเป็โรงเรียนและลานประลอง และเหนือขึ้นไปอีกก็เป็โรงสมุนไพรกับผู้าุโที่ค่อนข้างมีอำนาจในตระกูลอยู่อาศัย
เื่ที่ไม่ได้พักอยู่ในเรือนหลักของตระกูลนี้ก็เป็เื่ที่จิ่งเหวินซานคับข้องใจ แต่ตำแหน่งผู้นำตระกูลถูกกำหนดมาแล้ว ก็มีแต่ต้องถอยออกมาแล้วรอโอกาสใหม่ จิ่งเหวินซานจึงเลือกเรือนใหญ่ทิศตะวันออก เดิมทีการประดับตกแต่งของเรือนนี้ค่อนข้างธรรมดา แต่ตอนนี้กลับหรูหรายิ่งใหญ่ไปตามน้ำเงินของจิ่งเหวินซาน สะพานเล็กมีน้ำไหล หอสูงสวยงามราวกับภาพวาด หากอ๋าวหรานมาเห็นเข้า จะต้องทอดถอนใจเป็แน่ จิ่งเหวินซานนี่เป็คนมีรสนิยมดีทีเดียว ไม่ได้ทำให้เรือนพักกลายเป็ทองคำวาววับไปทั้งแถบ
ตอนที่จิ่งเหวินเคอไปถึงเรือนของจิ่งเหวินซานนั้น จิ่งเหวินซานกำลังคุยอะไรบางอย่างกับคนอื่นอยู่ จิ่งเหวินซานเป็คนเข้มงวด วางมาตรฐานสูงสุดไว้ให้จิ่งเคอมาเสมอ ้าให้เขาทำทุกๆ เื่ให้ออกมาดีที่สุด และคาดหวังอย่างยิ่งใหญ่กับตัวเขาด้วย จิ่งเคอก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบอย่างเข้มงวดมาั้แ่เล็ก ทำตามความ้าของบิดาเขาทุกอย่าง ตอนนี้จิ่งเหวินซานกำลังคุยกับคนอื่นอยู่เขาก็ไม่สะดวกจะข้าไป ทำเพียงแค่ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างเรียบร้อย รอจิ่งเหวินซานคุยธุระเสร็จ
ดีที่ด้านในน่าจะคุยมานานแล้ว จิ่งเคอยืนอยู่หน้าประตูไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออก คนที่ออกมาคือท่านอาที่ญาติห่างๆ มากๆ ของจิ่งเคอ จิ่งเคอฝืนคาราวะออกไป พูดว่า: “อาแปดมาแต่เช้าเชียว”
“หลานจิ่งเคอหรือ มาหาบิดาเ้าล่ะสิ รีบเข้าไป รีบเข้าไป” คนคนนั้นรูปร่างหน้าตาดูค่อนข้างผอมสูงไว้หนวดสองข้าง ชอบลูบมันบ่อยๆ ดูแล้วท่าทางเข้าที แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเ้าเล่ห์และแฝงเจตนาร้าย ไม่รู้ว่าเป็มาแต่เกิด หรือเพิ่งมาเป็เอาตอนหลัง
จิ่งเคอก้มหน้า อดขมวดคิ้วไม่ได้ พอดีเห็นว่าในอกเขานูนออกมา จิ่งเคอคาดว่าคนคนนี้คงมาขอเงินจากบิดาเขาอีกแล้ว อดรู้สึกเกลียดมากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้
ระบบการสืบทอดสำหรับลูกหลานตระกูลจิ่งในบางมุมมีความคล้ายกับการแบ่งเขตการปกครองในสมัยราชวงศ์โจว หรือก็คือ ตระกูลใหญ่ๆ ทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่ก็เป็ระบบเช่นนี้ ไว้ใช้กับลูกหลานสายรองของตระกูล
ลูกหลานที่ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้นั้น ตระกูลจิ่งก็ให้ความสำคัญ จะแบ่งสรรร้านยา ร้านค้าของตระกูลจิ่งให้ ยิ่งสายเืใกล้เท่าไรก็ยิ่งสามารถได้ัักับการค้าหลักของตระกูลจิ่งมากขึ้นเท่านั้น สถานที่อยู่ก็จะยิ่งใกล้กับบ้านตระกูลจิ่งมากขึ้นเท่านั้น ส่วนพวกที่สายเืห่างไกล ตระกูลจิ่งจะให้เงินและสร้างร้านค้าให้กับพวกเขาตามสถานที่ต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่นี้ ให้พวกเขาเปิดร้านเอาเอง และให้สิทธิพวกเขาจัดการเองทั้งหมด ส่วนจะบริหารไปรอดไหม ทำให้กลายเป็ร้านค้าที่ยิ่งใหญ่ได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว แน่นอน ว่าทางตระกูลจิ่งเองก็จะให้การช่วยเหลือบ้างอยู่แล้วในทุกๆ ปี หรือไม่ก็หากบริหารไปได้อย่างยากลำบากจริงๆ ก็มาแจ้งต่อตระกูลจิ่ง ตระกูลจิ่งก็จะไปดูแลจัดการ
อาแปดจิ่งคนนี้ก็มาจากตระกูลจิ่งสายรอง คนผู้นี้ชื่อเดิมจิ่งต้าเทา ถูกจัดให้อยู่บริเวณภาคกลางของแผ่นดินใหญ่ั้แ่สมัยบรรพบุรุษ
บรรพบุรุษของคนผู้นี้นั้นเป็คนซื่อสัตย์รู้จักที่ของตนเองไม่ก่อปัญหา ดูแลร้านค้าในอำนาจของต้นเองอย่างซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง และได้รับเงินช่วยเหลือจากตระกูลจิ่งทุกปี ใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ น่าเสียดายที่เมื่อมาถึงรุ่นของบิดาจิ่งต้าเทาก็เปลี่ยนไป บิดาของเขาเป็คนี้เีสันหลังยาว เป็คนี้เีที่คิดแต่จะให้เงินร่วงลงมาจากฟ้า ถึงแม้จะสืบทอดร้านค้าของตระกูลมา แต่ทั้งวันกลับไม่ทำการทำงาน ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไปกับกลุ่มเพื่อน เสเพลจนบ้านไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากกำแพงสี่ด้าน ยังดีที่ไม่ว่าจะใช้ชีวิตย่ำแย่แค่ไหนก็ยังมีความเกรงกลัวในอำนาจของบิดาั้แ่ยังมีชีวิตอยู่อยู่ จึงไม่กล้าขายร้านไป
ผลสุดท้ายเมื่อมาถึงรุ่นของจิ่งต้าเทาก็สูญสิ้นไปทั้งหมด ขายของทุกอย่างในบ้านที่สามารถขายได้ จนตัวเองเกือบจะเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัย เกือบจะต้องไปขอทานตามถนน แต่์กลับไม่มีตา ยังจะให้คนชั่วที่ขโมยไก่เตะหมา รังแกผู้หญิงชิงทรัพย์ฆ่าคนผู้นี้ได้มีทางรอด
คนคนนี้ความสามารถอื่นไม่มี แต่กลับรู้จักพูดเป็อย่างมาก อีกทั้งคนผู้นี้ตอนยังหนุ่มก็ยังหน้าตาดูเป็คุณชายตระกูลผู้ดีอยู่บ้าง แน่นอนว่านี่ก็เป็คุณลักษณะพิเศษของคนตระกูลจิ่ง
อาศัยลมปากและใบหน้านี้ ไปจับลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานของตระกูลหนึ่งที่นับได้ว่าค่อนข้างมีฐานะ ทำให้แม่นางคนนั้นหลงใหลจนอยากจะแต่งงานกับเขาเท่านั้นหากไม่ใช่ก็จะไม่แต่งงาน คนตระกูลนั้นก็มีลูกสาวเพียงคนเดียว จึงรักมาก และยังได้ยินมาว่าเขาเป็คนตระกูลจิ่ง สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาเป็เขยแต่งเข้าตระกูล
จิ่งต้าเทาก็นับว่ามีความสามารถ หลายปีมานี้นับว่าไปได้ดีอยู่ที่บริเวณภาคกลาง ถึงจะทำแต่เื่ชั่วๆ ที่ไม่น่าเชิดชู แต่เื่ชั่วๆ ก็มีประโยชน์ในตัวมันเอง เช่น จิ่งเหวินซาน้าคนเช่นนี้ เพราะงั้นเขาจึงสามารถมาเกาะจิ่งเหวินซานเกาะตระกูลจิ่งที่เป็ดังต้นไม้ใหญ่นี้ได้
ไม่พูดถึงจิ่งต้าเทา จิ่งเคอเดินเข้าไปในเรือน จิ่งเหวินซานกำลังนั่งอยู่บนตั่ง ในมือถือถ้วยชา ค่อยๆ เกลี่ยใบชาเบาๆ กลิ่นหอมของชาลอยไปไกล เป็ชาซีหูจิ่งหลงชั้นดี
จิ่งเหวินซานวางถ้วยชาลง “ไม่ใช่ว่าไปสนามประลองหรือ? เหตุใดจึงกลับมา”
จิ่งเคอคาราวะอย่างนอบน้อม เกร็งใบหน้าไม่ปล่อยตัวตามสบาย ดูจริงจังอย่างยิ่ง : “เมื่อครู่เห็นจิ่งฝานที่สนามประลองแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ทราบชื่อ ดูแล้วน่าจะสิบแปดสิบเก้าปี”
จิ่งเหวินซานขมวดคิ้ว “แล้วยังไง?”
จิ่งเคอ: “พวกเขากำลังประมือกันอยู่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้