หลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงและจบลงด้วยเซ็กซ์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเจแปนและพอร์ตก็กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ราวกับได้ยามาบำรุงความสัมพันธ์
“่นี้หน้าตาสดใสจังวะ เหมือนคนกำลังอินเลิฟเลย”
“มึงหมายถึงกูน่ะเหรอ?” เจแปนหันกลับไปถามเพื่อนพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงุนงง
“อือ กูหมายถึงมึงนั่นแหละ หน้าตาดูสดชื่นมาก” บัวพยักหน้ายืนยัน
“แล้วเพื่อนเป็แบบนี้ไม่ดีหรือไง”
“ดีสิ… ดีมากเลยแหละ แต่มันก็แค่ดูแปลกตาเฉย ๆ” บัวตอบกลับมา โดยนั่นก็ทำให้เจแปนระบายยิ้มเล็กน้อย ถึงค่อยตอบกลับไป
“ตอนนี้มันอาจดูแปลกตา แต่อีกหน่อยเดี๋ยวมึงก็ชินตาเองแหละ”
“หืม? มันขนาดนั้นเชียวนะ ว่าแต่มีเื่อะไรดี ๆ เกิดขึ้นเหรอ” บัวถามต่ออย่างใคร่รู้
“เื่ดี ๆ งั้นเหรอ” เจแปนทวนคำพูดของเพื่อนและนิ่งไปพักหนึ่ง ถึงค่อยตอบกลับไป “มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขนาดนั้นนะ แต่ก็แค่มีเหตุการณ์ที่ทำให้กูกับพอร์ตได้คุย ได้ทำความเข้าใจกันมากขึ้นอะ”
“…”
“สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้่นี้พอร์ตทำตัวดีขึ้น ก็อาจเป็เพราะกูเริ่มไม่ยอมเขาเหมือนอย่างเคยแล้วมั้ง” เจแปนเอ่ยกลับไป ซึ่งเขาก็คิดว่าเพราะเจแปนเริ่มจะไม่อ่อนข้อให้กับคนรักแล้วนี่แหละ พอร์ตที่รู้ว่าอำนาจไม่ได้ตกอยู่แค่เ้าตัวเพียงฝ่ายเดียวแล้ว จึงต้องยอมอ่อนข้อให้กันบ้าง ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะถึงคราวที่ต้องเลิกรากันจริง ๆ
“ดีแล้ว…อย่าไปยอมให้มันข่มขนาดนั้น เพราะมึงก็ไม่ได้พึ่งพามันสักหน่อย มีแต่มันนั่นแหละที่ต้องคอยพึ่งพามึง” บัวว่า โดยมันก็เป็ไปตามที่เธอว่านั่นแหละ
เพราะเวลาที่พอร์ตเกิดภาวะเงินขาดมือก็มีแต่เจแปนทั้งนั้นที่คอยให้ความช่วยเหลือ ตามประสาคนที่มีฐานะทางบ้านดีกว่า แต่ตลอดทั้งการช่วยเหลือทางด้านเงินทองนั้น เจแปนก็ไม่เคยทวงบุญคุณจากคนรักเลยสักครั้ง ต่อให้ทะเลาะกันมากแค่ไหน เพราะเขาเต็มใจที่จะเป็ฝ่ายยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเอง
นั่นก็เนื่องจากเจแปนรักพอร์ตมาก แล้วคนรักที่ไหนมันจะยอมทนเห็นแฟนลำบากได้ล่ะ
“ว่างไหมล่ะ? ถ้าพอร์ตไม่ว่างก็ไม่ต้องไปส่งกันก็ได้นะ เดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้”
“เราแวะไปส่งได้น่า เพราะยังไงมันก็เป็ทางผ่านของเราอยู่แล้ว”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเรารบกวนด้วยก็แล้วกันนะ”
่บ่ายของวัน ณ หน้าตึกนิเทศฯ เสียงสนทนาระหว่างพอร์ตและเจแปนก็ดังขึ้นอยู่เป็ระยะ เมื่อพอร์ตได้แวะมาหากัน เพราะ่บ่ายวันนี้เจแปนจะต้องออกไปถ่ายงานกลุ่มกับเพื่อนที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์
“แล้วจะมีใครไปด้วยกันอีกไหม? จะไปพร้อมกันก็ได้นะ เพราะยังไงเราก็ต้องไปส่งแปนอยู่แล้ว” พอร์ตถาม
“ไม่น่าจะมีใครไปด้วยหรอก เพราะพวกนี้กดเรียกในแอพกันแล้ว” เจแปนตอบกลับไปทันที เนื่องจากเขารู้ดีว่ายังไงเพื่อนของตัวเองก็คงไม่มีทางยอมติดรถไปกับพอร์ตอยู่แล้ว เพราะเกือบทั้งหมดไม่มีใครชอบขี้หน้าพอร์ตเลยสักคน
“ตามใจก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้น…พวกเราก็ไปกันเถอะ” พอร์ตเอ่ยเพียงสั้น ๆ พลางเดินนำเจแปนไปยังรถของเ้าตัวที่ถูกจอดทิ้งเอาไว้ข้างตึกคณะนิเทศฯ
“แล้ว่เย็นวันนี้พอร์ตว่างหรือเปล่า?” ขณะที่รถกำลังถูกขับออกจากเขตมหาลัย เจแปนที่กำลังถือโทรศัพท์คอยตอบแชตของเพื่อนไปด้วยก็ถามขึ้น
“ไม่แน่ใจแฮะ ทำไมเหรอ” คนรักของเขาถามกลับมา
“เราว่าหลังจากที่ถ่ายงานเสร็จ เราจะชวนพอร์ตแวะกินข้าวเย็นด้วยกันอ่ะ”
“แล้วกินที่ไหน? แถวนั้นน่ะเหรอ”
“อือ ไปกินร้านโปรดของเรากันไหม?” คราวนี้เจแปนเอ่ยปากชวน พร้อมหันไปมองคนรักที่กำลังง่วนอยู่กับการดูถนนตรงหน้า
“แต่ถ้าพวกเราจะไปกินร้านนั้น เราก็อาจต้องจอดรถไว้ที่หอนะ เพราะ่เย็นตรงย่านนั้นรถติดมากเลย” อีกฝ่ายบอกกลับมา
“จริงด้วยแฮะ งั้นไม่เป็ไร พวกเราค่อยไปกินร้านอื่นก็แล้วกัน แต่เย็นนี้พอร์ตมีเวลาให้เราอยู่ใช่ไหม?” เจแปนถามซ้ำ เนื่องจากพอร์ตยังไม่ได้ตอบคำถามนี้
“ครับ ่เย็นเราว่าง” พอร์ตตอบกลับมาเพียงสั้น ๆ และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
“ไว้เจอกันตอนเย็นนะพอร์ต” เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ที่นัดกับเพื่อนเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะลงจากรถ เจแปนก็ไม่ลืมที่จะหันไปบอกคนรักเหมือนอย่างที่ทำเป็ประจำ
“ครับ ไว้เจอกัน” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา โดยหลังจากที่พอร์ตขับรถออกไปแล้ว เจแปนถึงค่อยเดินไปหาเพื่อนที่กำลังยืนรวมตัวกันอยู่
“แหม เดี๋ยวนี้เขามีรถขับมารับมาส่งกันนะ แต่ก่อนปล่อยมึงตามมีตามเกิด เป็ตายร้ายดียังไงก็ไม่คิดจะสนใจอะไรทั้งนั้น” อรที่ได้โอกาสรีบแซะพอร์ตทันที ตามประสาคนที่ไม่ชอบขี้หน้าคนรักของเจแปนมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว
“เลิกแซะมันได้แล้วน่า ตอนนี้มึงก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันทำตัวดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก” เจแปนพยายามปรามเพื่อน
“ตอนนี้มันดีจริง แต่มันอย่ามาดีแตกทีหลังก็แล้วกัน เพราะไม่งั้นกูตามแหกอกมันแน่!” อรว่า ซึ่งคราวนี้เจแปนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าให้กับเธอเท่านั้น เนื่องจากตัวของเจแปนเองก็เหนื่อยที่จะพูดเื่นี้แล้วเหมือนกัน
“กูว่าตอนนี้เรามาถ่ายรายการกันดีกว่าว่ะ ขืนเราเริ่มถ่ายกันช้ากว่านี้คนหน้าห้างเยอะแน่” บัวเอ่ยขึ้น เพื่อเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนากลับมายังเื่งานกลุ่มที่พวกเขาจะต้องทำ
หน้าที่ของเจแปนยามที่เขาต้องออกกองแบบนี้ คือเขาจะต้องซักซ้อมสคริปต์กับพิธีกรประจำรายการว่าอีกฝ่ายจะต้องพูดอะไรบ้างในแต่ละซีน และจะต้องพาเดินไปยังจุดไหน เพื่อที่จะได้พูดข้อมูลให้ได้มากที่สุดตามรายละเอียดที่เขาเขียนกำกับไว้ให้
“พอพูดเสร็จ เฟิร์นก็สวดมนต์ขอพรเลยนะแล้วก็วางดอกบัวเอาไว้เลย ถึงค่อยเดินผ่านกล้องไป”
“ได้เลย มีแค่เท่านี้ใช่ไหม”
“ใช่ มีแค่เท่านี้แหละ”
“โอเค” เมื่ออธิบายสิ่งที่พิธีกรประจำรายการจะต้องทำเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็เดินกลับไปยังจุดของตัวเองอีกครั้งแล้วปล่อยให้เพื่อนร่วมกลุ่มทวนสคริปต์ของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ โดยการถ่ายครั้งนี้พวกเขาก็จะถ่ายกันแค่ย่านเดียวเท่านั้น
“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเลยนะ อย่าลืมเดินผ่านมาตรงจุดที่เราบอก” เจแปนะโบอกเพื่อน เมื่อเขาคิดว่ามันถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องถ่ายทำกันแล้ว
ซึ่งตลอดทั้งการถ่ายรายการที่เป็อีพีแรก ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เนื่องจากทุกคนต่างตั้งใจกับงานชิ้นนี้มาก เพราะมันได้คะแนนเยอะ แถมยังสามารถชี้วัดเกรดของวิชานี้ตอนปลายภาคได้
“วันนี้เสร็จเร็วกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย นี่นึกว่าจะลากยาวไปถึงตอนฟ้ามืดซะอีก”
“ไม่อ่ะ… ยังไงก็ไม่ถึงแน่นอน เพราะพวกเราพากันมาถึงที่นี่เร็ว ตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองแถมยังเริ่มถ่ายงานกันเร็วด้วย” ขณะที่กำลังแบกอุปกรณ์กลับพร้อมกับอรเพียงแค่สองคน เจแปนก็หันไปพูดกับเธอ เมื่อเขาถูกอรชวนคุยระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่ทางเท้าหน้าห้างสรรพสินค้า ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ ได้พากันเดินห้างต่อ
“ก็จริงของมึง ว่าแต่ว่ามึงจะกลับกับกูปะ? หรือว่าแยกกันกลับใครกลับมันเลย” อรถามต่อ เมื่อเธอได้หยุดเดิน เพื่อเตรียมเรียกรถแท็กซี่ที่กำลังจะขับผ่านมาแล้ว
“เดี๋ยวเราแยกกันกลับใครกลับมันเลยก็ได้นะ เพราะกูมีนัดแล้ว”
“กับพอร์ตน่ะเหรอ” เธอถามต่อ
“อือ เดี๋ยวพวกกูจะไปตลาดนัดกัน” เจแปนตอบกลับไป โดยนั่นก็สร้างความประหลาดใจให้กับอรอยู่ไม่น้อย
“นี่มันทำตัวแปลก ๆ จนน่าขนลุกเลยนะเนี่ย ทำไมเดี๋ยวนี้มันถึงมีเวลาให้กับมึงจังวะ”
“อาจเพราะ่นี้ยังไม่ใช่่สอบแหละมั้ง” เจแปนให้คำตอบกลับไป เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม่นี้พอร์ตถึงได้มีเวลาให้กันนัก ทั้งที่ปกติแล้ว…เวลาเจแปนชวนอีกฝ่ายไปไหน คนรักของเขาก็มักจะปฏิเสธกลับมาเสมอด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายไม่ว่าง จะต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ
“โอเค แล้วมันจะมารับมึงที่นี่เหรอ” อรถาม
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวกูขึ้นรถไฟฟ้าไปลงอีกสถานีหนึ่ง แล้วพอร์ตจะขับรถไปรับที่นั่นเอา เพราะตรงนี้รถติดมาก” เจแปนบอกกลับไป พลางโบกไม้โบกมือร่ำลาอรพอเป็พิธี หลังเธอเปิดประตูรถแท็กซี่เตรียมจะขึ้นไปนั่ง พร้อมกับแบกอุปกรณ์ถ่ายทำบางชิ้นกลับไปด้วย
“งั้นเราไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” อระโบอกเสียงดัง ถึงค่อยปิดประตูรถ
หลังกลับมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง เจแปนก็เดินต่อไปอีกนิดเพื่อเดินไปขึ้นสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด โดยในระหว่างที่เจแปนกำลังเดินเตร่อย่างไม่รีบร้อนอยู่นั้น สายตาของเขาก็คอยสอดส่องหันมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเจแปนเลื่อนสายตามองไปยังถนนฝั่งตรงข้าม…
สายตาของเขาก็ต้องหยุดชะงักกะทันหัน เมื่อมองเห็นแผ่นหลังอันแสนจะคุ้นตา ซึ่งเจแปนก็จำได้แม่นว่ามันคือแผ่นหลังของคนรัก
“นั่น…ใช่พอร์ตหรือเปล่า?” เจแปนตั้งคำถามกับตัวเองทั้งคิ้วขมวด และเวลาเดียวกันนั้นสายตาของเขาก็พยายามเพ่งมองแผ่นหลังนั้น เพราะ้าความมั่นใจ
“ไหนบอกว่าตอนนี้กลับเข้าไปที่คณะแล้วไง อีกสักพักถึงจะออกมา” เจแปนพึมพำกับตัวเองทั้งคิ้วขมวด พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคนรัก เพื่อสอบถามว่าเวลานี้อีกฝ่ายกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่
“ฮัลโหล ตอนนี้พอร์ตอยู่ที่ไหนเหรอ” ทันทีที่คนรักกดรับสายเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็รีบพูดธุระของตัวเอง
[ตอนนี้อยู่คณะ กำลังเรียนอยู่เลย… แล้วแปนถ่ายงานเสร็จแล้วเหรอ]
“อ้าว ตอนนี้ยังอยู่คณะหรอกเหรอ?” เจแปนถามกลับเสียงงง ระหว่างที่สายตาของเขาก็คอยมองแผ่นหลังอันแสนคุ้นเคยตาไม่กะพริบ
[อืม เราว่าเราแชตไปบอกแปนแล้วนะว่าเรากลับมาเรียนที่คณะ และตอนนี้อาจารย์ก็ยังไม่ปล่อยเลย] พอร์ตตอบกลับมา ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเจแปนก็ได้ยินเสียงบรรยายของอาจารย์ดังแทรกเข้ามาในสายด้วย
“โอเค ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไม่กวนแล้วล่ะ เดี๋ยวเรานั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟนะ”
[ครับ] พอร์ตขานรับกลับมา ซึ่งพออีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว แผ่นหลังที่แสนจะคุ้นตานั้นก็ได้หายไปจากสายตาของเจแปนเช่นกัน
“ทำไมถึงเหมือนขนาดนั้นนะ เหมือนจนนึกว่าเป็แฟนตัวเองเลย” เจแปนพูดกับตัวเองอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสับสน
“ทำไมตอนนั้นแปนถึงโทรหาเราล่ะ นี่ก็นึกว่าเราคุยกันเข้าใจแล้วซะอีก” ่ค่ำของวัน เมื่อพอร์ตเดินทางออกมาจากคณะและขับมารับเจแปนตามสถานที่ที่นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้ว หลังเจแปนเปิดประตูรถทิ้งตัวนั่งข้างอีกฝ่าย คนรักของเขาก็ถามขึ้นโดยพลัน
“อ๋อ พอดีตอนที่เรากำลังจะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า เราเห็นคนที่เหมือนพอร์ตมากเลยน่ะ ก็เลยเผลอคิดไปว่าพอร์ตมาหาเราที่นี่” เจแปนตอบกลับไปตามตรงแล้วพูดต่อ “แต่ที่ไหนได้ ที่แท้ก็แค่คนเหมือน”
“ไปจำผิดกับใครมาหรือเปล่า” อีกฝ่ายถามกลับมาเสียงเรียบ แต่ทว่านั่นกลับทำให้คนได้ยินถึงกับชำเลืองมองเล็กน้อย เนื่องจากเจแปนคิดว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ มันเป็การไม่ให้เกียรติกัน
“แล้วเราจะไปจำผิดกับคนอื่นได้ยังไง ในเมื่อเรามีแค่พอร์ต”
“…”
“พูดอะไรก็ช่วยให้เกียรติเราหน่อยสิ” เจแปนสวนกลับไปทั้งหน้ายิ้ม
จะว่าไปแล้ว... พวกเขาก็เพิ่งพูดจาดี ๆ ต่อกันได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงได้ตั้งท่าจะทะเลาะกันอีกแล้ว
เมื่อเดินทางมาถึงตลาดนัดที่คุ้นเคยที่ตั้งอยู่ใกล้หอพักของพอร์ตแล้ว เจแปนก็เป็ฝ่ายเดินนำคนรักไปก่อน โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา อันเนื่องมาจากบรรยากาศมาคุเมื่อครู่นี้
“แล้วแปนอยากแวะเข้าร้านไหนก่อนเหรอ?” หลังเดินตามหลังกันมาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดพอร์ตก็เป็ฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ไม่รู้สิ แล้วพอร์ตอยากกินร้านไหนอะ” เจแปนหันหน้ากลับไปถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดูเหมือนไม่ได้โกรธเคืองอีกฝ่ายแล้ว ทั้งที่ความจริงก็ยังรู้สึกอยู่ เพราะเขายังไม่ได้รับการขอโทษจากพอร์ตเลย
“ถ้างั้นเราแวะไปกินข้าวที่ตรงร้านหัวมุมนั่นก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเถียงกันว่าอยากกินอะไร” อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมเป็ฝ่ายดึงมือของเจแปนให้เดินตามเ้าตัวไป
เมื่อมาถึงร้านอาหารและต่างฝ่ายต่างสั่งเมนูที่้าเรียบร้อยแล้ว ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่ เหมือนกับคนแปลกหน้าที่ต้องมานั่งกินข้าวด้วยกัน โดยมันก็เป็แบบนี้นานพักใหญ่ ก่อนที่เจแปนจะตัดสินใจพูดขึ้น เนื่องจากเขาเป็ฝ่ายที่ทนไม่ไหวก่อน
“เมื่อวานได้อ่านในแชตกลุ่มหรือเปล่า” เจแปนเอ่ยเสียงนิ่ง พร้อมทำทียกแก้วน้ำขึ้นมาจิบด้วย
“กลุ่มไหน” พอร์ตถามกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไม่แพ้กัน
“ก็กลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมไง”
“…”
“พอดีเพื่อนอยากนัดกินข้าว เพราะเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาสักพักใหญ่แล้ว ว่าแต่พอร์ตอยากไปเจอเพื่อนหรือเปล่า?”
“เรายังไงก็ได้อ่ะ ตามใจแปนเลยถ้าอยากไปก็จะพาไป”
“พาไปในที่นี้หมายถึงไปด้วยกันนะ ไม่ใช่แค่ไปส่งเราไว้ที่นั่น” เจแปนถามย้ำ เพราะเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง
“อืม ก็ไปด้วยกันไง” พอร์ตพยักหน้าตอบกลับมา และในเวลาเดียวกันนั้นเจแปนก็หยิบโทรศัพท์ส่วนตัวออกมาพิมพ์ข้อความส่งหาเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย เพื่อคอนเฟิร์มนัดว่าเขาและพอร์ตจะไปกินข้าวด้วยใน่ปลายสัปดาห์หน้า
“อ้าว บังเอิญจังเลย ไม่นึกว่าพวกเราจะได้เจอกันที่นี่อีก”
“ผิง…” เพียงแค่ได้ยินคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเอ่ยชื่อนั้นออกมา เจแปนที่ไม่ได้สนใจอะไรในตอนแรกก็ถึงกับต้องผละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์ทันที
ก่อนที่ต่อมาเขาจะลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เมื่อโชคชะตาได้นำพาให้เพื่อนร่วมคณะของพอร์ตมาบังเอิญเจอกันที่ร้านนี้
“มากินข้าวกันเหรอ” ผิงหันไปคุยกับพอร์ตด้วยน้ำเสียงสดใส ในขณะที่เจแปนก็คอยจับตามองทั้งสองสลับกันไปมา โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักประโยคเดียว เนื่องจากเจแปนอยากจับผิดคนรัก
“ใช่ เรากับเจแปนเพิ่งมาถึงร้านเมื่อกี้นี้เลย แล้วผิงมาคนเดียวเหรอ” พอร์ตถามกลับไป
“ใช่แล้ว จริง ๆ เราชอบมานั่งกินข้าวที่ร้านนี้พร้อมกับรูมเมตอ่ะ แต่ว่ารูมเมตเราติดงานที่คณะ เราก็เลยต้องมานั่งกินข้าวคนเดียว” เธอพูดต่อทั้งเสียงเหงาหงอย
“…”
“ถ้าไม่รังเกียจอะไร… งั้นมื้อนี้เราขอนั่งกินข้าวด้วยได้หรือเปล่า?” ผิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมมองเจแปนและพอร์ตสลับกันไปมา ซึ่งโดยส่วนตัวเจแปนก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของเธอนัก เพราะเท่าที่เขาฟังจากการเกริ่นนำของเธอแล้ว เจแปนก็พอจะเดาอะไร ๆ ได้แล้ว
“ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นล่ะ เราเป็เพื่อนกันจะรังเกียจได้ยังไง นั่งด้วยกันได้อยู่แล้ว” พอร์ตตอบกลับไปทั้งรอยยิ้ม
“แล้วเจแปนล่ะ โอเคหรือเปล่า” คราวนี้ผิงหันหน้ามาถามเจแปนบ้าง เมื่อเธอเห็นว่าเขายังคงนั่งนิ่งอยู่
“ได้สิ… เพราะนั่งด้วยกันหลาย ๆ คน มันก็อบอุ่นดีออก” เจแปนตอบกลับไปทั้งรอยยิ้ม แต่ก็มีแค่ปากของเขาเท่านั้นที่กำลังเผยยิ้มออกมา ส่วนแววตาที่กำลังแสดงออกมานั้น มันกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
่เย็นของวัน หลังแยกจากพอร์ตและเดินทางกลับมาถึงคอนโดแล้ว สิ่งแรกที่เจแปนทำหลังจากนั้นนั่นก็คือการโทรหาเพื่อนสนิท เนื่องจากในเวลานี้เขา้าคำปรึกษาจากเพื่อนมากที่สุด
[คือมึงกำลังคิดว่าผู้หญิงที่ชื่อผิงอะไรนั่น แอบชอบแฟนมึงเหรอ?]
“ตาเป็ประกายเวลาที่คุยกับพอร์ตขนาดนั้น กูก็คงคิดเป็อย่างอื่นไม่ได้อ่ะ” เจแปนบอกคนปลายสาย พลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงตามประสาคนที่กำลังหนักอกหนักใจ
[คือมึงแน่ใจนะแปน ไม่ใช่ว่ามึงคิดไปเองนะ]
“บัว มึงฟังกูนะ”
[…]
“ั้แ่ที่กูคบกับพอร์ตมาเป็เวลาหกปี กูเคยหึงมันแบบไร้สาเหตุด้วยเหรอ?” เจแปนเอ่ยถามคนปลายสายแล้วพูดต่อ “คือมันมีพิรุธอ่ะ เพื่อนต่างเพศของพอร์ตขนาดเล่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัว กูยังไม่เคยหวงเลย แต่กับคนนี้มันไม่ใช่เลยว่ะ”
[แต่พอร์ตเป็เกย์ไม่ใช่เหรอ หรือว่าจริง ๆ แล้วมันได้หมด] บัวถามต่อ โดยนั่นก็ทำให้เจแปนชะงักไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยพูดคุยเื่นี้กับคนรักของตัวเองเลยสักครั้ง
“…”
[เงียบแบบนี้ นี่มึงอย่าบอกนะว่าไม่เคยถามเื่นี้เลยอ่ะ]
“อือ ั้แ่คบกันมากูไม่เคยถามเื่นี้กับมัน แต่ว่ากูมั่นใจอยู่นะว่าพอร์ตไม่ได้ชอบผู้หญิง”
[หืม? นี่มึงพูดว่ามั่นใจเลยเหรอ แล้วอะไรที่ทำให้มึงมั่นใจขนาดนั้นวะ?] บัวซักไซ้
“…”
[โอเค ๆ งั้นเดี๋ยวเราข้ามเื่นี้กันไปก่อนก็แล้วกัน แต่กลับมาที่เื่ของคนชื่อผิงอะไรนั่นก่อน… ถ้ามึงมั่นใจว่าผิงคิดกับพอร์ตมากกว่าเพื่อนจริง ๆ แล้วมึงจะทำยังไงต่อ จะไปคุยกับเขาเหรอ ถ้าทำแบบนั้นมันจะดูแรงเกินไปหรือเปล่า?] บัวถาม
“ไม่อ่ะ กูคงไม่มีทางเข้าไปคุยกับเขาก่อนแน่ ๆ และเขาเองก็น่าจะไม่อยากคุยกับกูเหมือนกัน” เจแปนบอกกลับไปแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วพูดต่อ “ถ้าในอนาคตผิงมีการล้ำเส้นกัน กูอาจต้องคุยกับคนของตัวเองมากกว่าว่ะ”
[คุยกับคนของตัวเอง? แอบขำอยู่นะเนี่ย] บัวเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ส่วนเจแปนเองก็ได้แต่ทำหน้างง ก่อนที่เวลาต่อมาเธอจะเฉลยความจริงให้ฟังว่าทำไมถึงขำ
[ถ้ากับคู่อื่นคุยกับคนของตัวเองน่ะถูกแล้ว แต่คู่มึงนี่กูว่าเผลอ ๆ พอร์ตอาจบอกว่าไร้สาระ หรือไม่มึงก็คิดมากไปเองนะ]
“ไม่หรอกน่า บอกแล้วไงว่า่นี้มันทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ” เจแปนพยายามแก้ต่างให้คนรัก แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรอยู่ดี เพราะไม่ว่ายังไงบัวก็มีคำพูดสวนกลับมาได้เสมอ
[ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดีแล้วสักหน่อย]
“เออ มันก็จริงแบบที่มึงว่านั่นแหละ” เจแปนตอบกลับไป เมื่อเขาคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนสนิทแล้ว
[แล้วนี่ตกลงมึงจะทำยังไงต่อเหรอ? เพราะตอนที่มึงโทรมาหากู มึงดูร้อนอกร้อนใจมากเลยนะ]
“ก็ต้องรอดูสถานการณ์แหละ เพราะกูก็ยังไม่อยากผลีผลามอะไรมากนัก” ว่าจบ เจแปนก็มีการพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง เมื่อเขาเกิดความหนักอกหนักใจกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
[งั้นก็ตกลงตามนี้ แต่ถ้าจะทำอะไร มึงก็ช่วยปรึกษาเพื่อนก่อนนะ…จะได้สุมหัวช่วยกันคิด เผื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะคิดอะไรเกินเลยกับแฟนมึงจริง ๆ]
“อืม กูจะพยายามใจเย็นและมีสติก็แล้วกัน” เจแปนเอ่ย จากนั้นเขาก็เป็ฝ่ายขอวางสายจากบัวก่อน เนื่องจากเวลานี้ความง่วงกำลังเข้าครอบงำเขาแล้ว
โดยหลังจากที่วางสายเสร็จ เจแปนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปกระตุกเชือกโคมไฟ เพื่อให้มันหยุดการทำงาน
“เฮ้อ…
“นี่ถ้ามีพอร์ตคนที่สอง ในเว่อรชันที่ดีกว่าเดิมก็คงจะดีสินะ” ท่ามกลางความเงียบภายในห้อง เจแปนก็เอ่ยขึ้นเสียงแ่ ก่อนที่เวลาต่อมาเขาจะผล็อยหลับไปในที่สุด