หลังจากมู่เฟิงฝึกฝนเสร็จแล้ว เขาก็ได้ช่วยกันกับมู่ขวงขุดหลุมขึ้นมาเพื่อฝังร่างศพของชายวัยกลางคน เพราะพวกเขาไม่้าทิ้งศพของอีกฝ่ายไว้กลางป่า
จากนั้นมู่เฟิงและมู่ขวงก็เปิดถุงหนังสัตว์ของอีกฝ่ายเพื่อสำรวจสิ่งของภายใน
ภายในถุงหนังสัตว์นั้นมีไข่อสูรซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อยจำนวนสามฟอง สองฟองเป็สีคราม ส่วนอีกฟองเป็สีขาวกลมเกลี้ยงเกลาเหมือนกับหยก
นอกจากไข่อสูรสามฟองนี้แล้ว ยังมีขวดหยกบรรจุของเหลวอยู่จำนวนหนึ่ง และแผ่นป้ายสีทองอีกหนึ่งแผ่น
หากดูจากรูปการณ์แล้ว ไข่อสูรทั้งสามฟองนี้คงจะเป็ไข่ของพญางูเหลือม ส่วนขวดหยกเหล่านี้คงจะเป็ยารักษาาแ ยาห้ามเืและยาแก้พิษอะไรทำนองนั้น
อย่างสุดท้ายแผ่นป้ายสีทองนั้นมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ้าของแผ่นป้ายมีอักษรสลักเอาไว้สองคำว่า ‘ทงเป่า’
แผ่นป้ายนี้เป็แผ่นป้ายทางการค้าที่ออกโดยสมาคมหอการค้าและร้านแลกเงิน มีไว้สำหรับทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายภายในอาณาจักรหนานหลิง คล้ายคลึงกับตั๋วแลกเงินที่ใช้จดบันทึกเงินเก็บจากร้านแลกเงิน และสามารถทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายสิ่งของได้
ขอเพียงแค่มีเหรียญตำลึงทองเก็บไว้ในร้านแลกเงินมากกว่าหนึ่งพันตำลึง ย่อมได้รับของเหล่านี้
สำหรับป้ายทองทงเป่านั้น มู่เฟิงเองก็มีเช่นกัน
นอกจากของเหล่านี้แล้ว ยังมีกระบี่อีกหนึ่งเล่ม
กระบี่เล่มนี้มีขนาดกว้างเท่าฝ่ามือและมีความยาวห้าฟุต ตัวกระบี่กำลังแผ่ออร่าอันเย็นะเืออกมา นอกจากนี้ราวกับว่ามันยังมีประกายแสงบางอย่างไหลเวียนอยู่บนตัวของมันอีกด้วย ส่วนน้ำหนักของมันอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยจิน*
(*ห้าสิบกิโลกรัม)
เมื่อได้เห็นกระบี่เล่มนี้ ดวงตาของมู่เฟิงพลันเป็ประกายขึ้นมาทันที เขาลองทดสอบส่งพลังปราณเข้าไปในตัวกระบี่ ก่อนจะพบว่าตัวกระบี่ได้เปล่งแสงขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“เครื่องมือปราณ!”
ภายในใจของมู่เฟิงนั้นรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง มีเพียงเครื่องมือปราณเท่านั้นที่สามารถส่งพลังปราณเข้าไปได้ ดังนั้นนี่จึงเป็ข้อพิสูจน์ว่ากระบี่เล่มนี้คือเครื่องมือปราณ
แต่ก็เป็เพียงเครื่องมือปราณที่มีระดับต่ำที่สุดเท่านั้น
แม้จะเป็เพียงเครื่องมือปราณระดับต่ำ แต่กระบี่เล่มนี้ก็มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันเหรียญตำลึงทอง ส่วนดาบที่มู่เฟิงใช้เป็ประจำนั้นเป็เพียงดาบที่หลอมขึ้นจากเหล็กกล้าธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่เครื่องมือปราณ
ทว่าเครื่องมือปราณนั้นก็ยังมีข้อจำกัดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงอานุภาพพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ หากอยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่าย มันย่อมเป็เพียงกระบี่ที่เฉียบคมธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น
“ฮ่าๆ พี่เฟิง คราวนี้พวกเราได้รับโชคแล้วสินะ”
หลังได้เห็นสิ่งของมีค่ามากมาย มู่ขวงก็หัวเราะออกมาเสียงดังและไม่อาจหุบยิ้มได้ เวลานี้เขามีความสุขมากจนลืมเื่การสังหารเมื่อครู่ไปเสียแล้ว
“คนเราหากไม่มีโชคก็คงไม่ร่ำรวย ม้าศึกหากไม่มีหญ้าก็คงไม่อ้วนพี คำกล่าวนี้นับว่าไม่เสียเปล่า”
มู่เฟิงเหยียดยิ้ม เขาหยิบไข่ออกมาและคอยสังเกตอย่างระมัดระวัง
“ต้องเป็ไข่ของพญางูเหลือมนั่นแน่”
มู่เฟิงครุ่นคิดกับตัวเอง ไข่อสูรนี้ให้ััที่เย็นะเื และเมื่อลูบลงบนผิวก็ให้ความรู้สึกที่เนียนละเอียด
“พี่เฟิง ไข่นี่คงจะเป็ไข่ของพญางูเหลือมเป็แน่”
มู่ขวงหยิบไข่ฟองหนึ่งขึ้นมา ขณะเอ่ย
“อืม คงจะเป็เช่นนั้น บางทีอาจเป็เพราะเขาเข้าไปขโมยไข่ของพญางูเหลือม จึงเป็เหตุให้ถูกอสูรร้ายตัวนั้นตามล่าสังหาร”
“ของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไรกัน เหตุใดชายผู้นี้ถึงได้ยอมเสี่ยงตายเพื่อมัน”
มู่ขวงยังไม่เข้าใจถึงมูลค่าของมัน
“พญางูเหลือมเป็อสูรร้ายระดับหนิงกัง แน่นอนว่าไข่ของมันย่อมมีแก่นพลังอยู่มาก นักปรุงยาสามารถใช้ประโยชน์จากมันโดยการนำมาหลอมเป็ยาอายุวัฒนะได้ นอกจากนี้หากมันฟักไข่ออกมา เรายังสามารถเลี้ยงดูมันให้กลายเป็สัตว์าของตัวเองได้อีกด้วย”
มู่เฟิงอธิบาย ความรอบรู้ของเขานั้นกว้างขวางกว่าของมู่ขวงมาก
“โอ้ เช่นนั้นเราจะจัดการกับไข่อสูรทั้งสามฟองนี้อย่างไรดี?”
“อืม เราคงทำได้เพียงขายมันแลกกับเหรียญตำลึงทองเท่านั้น จากนั้นก็นำเงินที่ได้ไปซื้อยาอายุวัฒนะเพื่อใช้ในการฝึกฝน”
ขณะที่กล่าวคำเหล่านี้ มู่เฟิงก็ได้หยิบไข่ฟองสีขาวของพญางูเหลือมขึ้นมา
สีของไข่อสูรฟองนี้ดูเนียนละเอียดและสวยกว่าไข่สีครามอีกสองฟอง เปลือกของมันดูราวกับหยกขาว เปล่งประกายและสะท้อนแสง
“อา…”
เสียงอุทานของสตรีดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ มีอะไรงั้นหรือ?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ใครใช้ให้เ้าเรียกข้าว่าเยว่เอ๋อร์!”
ซีเยว่ไม่ได้ตอบคำถาม แต่นางกลับโวยวายขึ้นมาแทน อีกทั้งน้ำเสียงของนางยังฟังดูแปลกไปเล็กน้อย
“เฮ้ เรียกเยว่เอ๋อร์ไม่ได้ฟังดูสนิทกันขึ้นหรอกหรือ ถึงอย่างไรเ้าก็อยู่ในร่างของข้านะ”
มู่เฟิงหัวเราะร่า ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า “เ้าเป็อะไรไป?”
“มะ ไม่มีอะไร ช่างเถิด เ้าอยากจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ ข้าเพียงมีความรู้สึกว่าไข่สีขาวฟองนั้นต่างจากไข่สีครามอีกสองฟองอยู่เล็กน้อย”
ซีเยว่กล่าวเสียงเรียบ
“ต่างกัน? นอกจากสีของมันแล้วยังมีอะไรที่ต่างกันอีก”
มู่เฟิงยังคงมองไม่ออก
“เ้าััไม่ได้หรือว่าแก่นพลังที่อยู่ในไข่สีขาวฟองนั้นแข็งแกร่งกว่าไข่อีกสองฟอง แม้จะเป็ไข่พญางูเหลือมเหมือนกัน แต่นอกจากสีที่ต่างกันแล้ว แก่นพลังด้านในก็ต่างกันด้วย หรือบางทีมันอาจจะเป็ไข่ที่กลายพันธุ์ ไข่ฟองนี้เ้าอย่าเพิ่งขาย ลองฟักตัวมันออกมาดูก่อน บางทีสิ่งที่อยู่ภายในอาจเป็สิ่งที่น่าสนใจก็ได้”
ซีเยว่เริ่มสนใจไข่อสูรฟองนี้ขึ้นมาแล้ว
“ฟักไข่? แล้วเ้าตัวเล็กนี่มันจะฟักตัวออกมาอย่างไร ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์ ข้าไม่รู้วิธีการฟักตัวของมัน”
มู่เฟิงกล่าวอย่างจนด้วยหนทาง
ไข่อสูรนี้ไม่เหมือนกับไข่ไก่ แม้แต่ไข่ไก่หาก้าฟักมันออกมายังต้องคำนึงถึงอุณหภูมิ ดังนั้นแน่นอนว่าไข่อสูรก็ต้องมีวิธีการฝักแบบจำเพาะของมันเช่นกัน และคนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงผู้ฝึกสัตว์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะรู้วิธีการฟักไข่และวิธีการฝึกอสูรร้าย
“เื่นี้ง่ายมาก พลังเืของเคล็ดวิชาชูร่านั้นสามารถหล่อเลี้ยงได้ทุกสรรพสัตว์ โดยเฉพาะเหล่าอสูรร้ายที่กระหายเื ในตอนที่เ้าดูดซับพลังเื เ้าเพียงถ่ายโอนพลังเืนั้นไปให้ไข่อสูรสักส่วนหนึ่งก็พอ ด้วยวิธีนี้เ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงความแข็งแกร่งทางกายภาพของมันที่ถูกกำหนดไว้ในตอนแรกได้ หากโชคดีเ้าอาจจะสามารถกระตุ้นสายเืของัเจียวหลงที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของมันออกมาได้ หรือไม่แน่ว่าสิ่งที่ฟักออกมาอาจจะเป็จิติญญาของัสักตัวหนึ่งก็เป็ได้”
ซีเยว่กล่าวอธิบาย มู่เฟิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินดังนั้น เขาพยักหน้าในทันที เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะไม่ขายไข่อสูรฟองสีขาว แต่จะเก็บมันเอาไว้เพื่อฟักเอง
มู่เฟิงนำสิ่งของทั้งหมดที่ได้รับมาเก็บเข้าไปในแหวนเฉียนคุนของเขา แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ยอมดีกว่าการต้องแบกถุงหนังสัตว์ใบใหญ่ใบนี้มาก
“จริงสิเยว่เอ๋อร์ ในเมื่อเ้าเป็ิญญาสถิตในหยกเทพชูร่า ในนั้นได้บันทึกวิธีการฝึกรูปแบบอื่นเอาไว้อีกหรือไม่ อย่างเช่นทักษะการใช้พลังปราณอะไรแบบนั้น?”
มู่เฟิงเอ่ยถามคำถามที่เขาเฝ้ารอออกมา
“มีสิ แต่ระดับวรยุทธ์ของเ้าในตอนนี้ยังไม่สามารถฝึกฝนทักษะพลังปราณเ่าั้ได้ อื้ม ข้าดูแล้ว เ้าในตอนนี้เหมาะที่จะฝึกทักษะพลังปราณระดับธาตุทองขั้นต่ำ...”
ซีเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเสียงของนางก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “จริงด้วย ในนี้ยังมีวิชาดาบอยู่อีกสองวิชา วิชาดรรชนีหนึ่งวิชา วิชาหมัดหนึ่งวิชาและวิชากระบี่อีกหนึ่งวิชา วิชาเหล่านี้ล้วนเป็ทักษะวิชาระดับธาตุทองขั้นสูง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ทักษะพลังปราณระดับต่ำที่สุดที่มีอยู่แล้ว เ้า้าจะฝึกวิชาใด?”
“วิชาดาบนั้นเรียกว่าอะไร?”
มู่เฟิงเอ่ยถาม ตัวเขานั้นถนัดอาวุธอยู่สองชนิด หนึ่งคือดาบและสองคือหอก!
ดาบคืออาวุธที่เขาใช้ต่อสู้ในระยะประชิด ส่วนหอกคืออาวุธที่เขาใช้สู้รบระหว่างออกศึกในกองทัพ แต่ในการต่อสู้ปกติ เขามักจะใช้ดาบเป็ประจำ การเคลื่อนไหวของดาบนั้นมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวกว่ามาก ดังนั้นดาบจึงถือเป็าาของศาตราวุธทุกชนิดในกองทัพ
“วิชาแรกเรียกว่าดาบพยัคฆ์หาญ เป็วิชาดาบที่เน้นการะเิพลังการโจมตี ในการออกดาบครั้งหนึ่งจำเป็ต้องใช้พลังปราณทั้งหมดที่มีะเิพลังโจมตีออกมาในครั้งเดียว ซึ่งวิชานี้สิ้นเปลืองพลังปราณเป็อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีอีกวิชาหนึ่งเรียกว่าเก้าดาบทลายคลื่น เป็วิชาดาบในระดับกลาง การะเิพลังของวิชาดาบนี้ไม่ได้ทรงพลังนัก แต่ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองพลังปราณมากเช่นกัน”
“ข้าแนะนำให้เ้าฝึกดาบพยัคฆ์หาญ เพราะพลังปราณของเ้านั้นมีมากกว่าคนทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกัน นอกจากนี้มันยังเป็พลังบริสุทธิ์ หากะเิพลังออกมาย่อมต้องทรงพลังมาก นี่คือข้อได้เปรียบของเ้า และวิชาดาบพยัคฆ์หาญนั้นจะช่วยเสริมข้อได้เปรียบนี้ของเ้า”
ซีเยว่กล่าว
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะฝึกวิชาดาบพยัคฆ์หาญ ว่าแต่วิชาดรรชนีนั้นคือวิชาอะไร?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“วิชาดรรชนีนั้นเรียกว่าดรรชนีทองคำตัดสะบั้น วิชานี้จะทำให้เ้าสามารถใช้นิ้วได้ดั่งกระบี่ โดยเ้าต้องฝึกให้นิ้วของเ้ากลายเป็ดั่งเหล็กกล้า และเมื่อเ้าฝึกฝนได้สำเร็จ เ้าจะสามารถส่งพลังปราณไปยังนิ้วมือและใช้มันแทนกระบี่ได้”
ดวงตาของมู่เฟิงเป็ประกายขึ้นมาทันที วิธีการใช้นิ้วเช่นนี้ช่างเป็วิชาที่ยอดเยี่ยมนัก