ความจริงแล้วตอนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกำลังพูดอะไรไม่ออกอยู่นั้น อาจารย์อวี้ได้ตรึงชัยชนะของ ‘า’ นี้เอาไว้แล้ว แต่เหมือนว่าเขายังอยากจะโจมตีไม้ตายใส่อีกฝ่าย เพื่อทำให้หมดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาอีก
ดังนั้นอาจารย์อวี้จึงลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มการแสดงของตน “คำถามสุดท้าย รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงสามารถถามจนเ้าพูดไม่ออกได้?”
นี่มันคำถามอะไรกัน? ผิดกติกานี่นา! คำถามนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับกลศึกพิชัยาเลยสักนิด! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกคำถามทั้งสองข้อเล่นงานจนพูดไม่ออก พื้นอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่แล้ว ยามนี้คล้ายว่าตนจับจุดอ่อนของอาจารย์อวี้ไว้ได้ จึงถามกลับไปอย่างไม่อ่อนข้อ หวังให้อาจารย์อวี้ได้ลิ้มลองความรู้สึกที่ถูกถามจนพูดไม่ออกเสียบ้าง!
“ข้อนี้ไม่นับ!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตื่นเต้นจนแทบอยากจะขึ้นไปยืนบนโต๊ะ แต่คิดๆ ดูแล้วจึงอดกลั้นเอาไว้ เพียงแต่อาการกระดี๊กระด๊านั้นยากที่จะปกปิดจริงๆ และยังทำให้อาจารย์อวี้ยิ้มตามไปด้วย
“หืม? เช่นนั้นเ้าก็ลองบอกมา เหตุใดข้อนี้จึงไม่นับล่ะ?” อาจารย์อวี้สะกดรอยยิ้มเอาไว้ แล้วถามต่อ จากนั้นก็ได้รับ ‘การวิจารณ์’ อย่างจริงจังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับมา “สองข้อแรกของท่าน ล้วนเกี่ยวกับกลศึกทั้งสิ้น แต่หัวข้อในคราวนี้กลับไม่ใช่ ดังนั้นข้าจึงบอกว่าท่านทำผิดกติกา ข้อนี้ไม่นับ”
ความจริงที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอยากพูดเดิมนั้นคือ คำถามข้อนี้โจมตีถึงตัวบุคคล โจมตีความภาคภูมิศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่สามารถนับได้ แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดดูอีกที ก็รู้สึกแต่ว่าหากพูดเช่นนั้นก็จะเห็นได้ชัดว่าตนนั้นไร้สติปัญญาอย่างมาก นอกจากนี้นางก็ไม่ชอบความพ่ายแพ้... ดังนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงเปลี่ยนคำพูด ความลำพองใจบนใบหน้า ไม่อาจเก็บไว้ได้เลย
ทว่าวิธีการพูดทั่วไปเช่นนั้นจะไปข่มขวัญอาจารย์อวี้ได้อย่างไร? อาจารย์อวี้เพียงก้าวอย่างเชื่องช้าไม่กี่ก้าว จากนั้นจึงเอ่ยโดยไม่หันมามอง “สองข้อแรกนั้นเกี่ยวข้องกับกลศึกจริง ทว่าแต่แรกเริ่ม ข้าก็ไม่เคยบอกว่าจะถามแค่คำถามเกี่ยวกลยุทธ์ทางทหารเท่านั้นเสียหน่อย...”
เอาจริงหรือนี่? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันสับสนคิดอะไรไม่ออกขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง จึงยืนยันแล้วว่าที่อาจารย์อวี้พูดนั้นไม่ได้มีอะไรผิดพลาด
แต่ยังไม่ทันที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะอ้าปากพูด อาจารย์อวี้ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ยิ่งกว่านั้น ข้ายังไม่ได้บอกคำตอบ เหตุใดเ้าถึงรู้ว่าคำถามของข้าไม่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ทางทหาร?”
เมื่อได้ยินคำพูดต่อมา ก็ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดไม่ออกอีกครั้ง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขุ่นเคืองยิ่ง แต่กลับน้ำท่วมปาก ไม่อาจเอ่ยอะไรได้เลย ช่างน่าโมโหนัก!
เมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว อาจารย์อวี้ก็รู้ได้ว่าตนชนะแล้ว แต่ก็ยังอยากจะให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงอย่างไร ‘การชนะโดยไม่ต้องรบ’ ก็ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามพ่ายแพ้อย่างหมดรูป จึงจะถือว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง
“เพราะการรบชั้นเลิศคือชนะเชิงอุบาย ฆ่าคนไม่เท่าประณามเจตนารมณ์...” อาจารย์อวี้หรี่ตาเล็กน้อยขณะเอ่ยวาจาแฝงความลึกลับออกมา และค่อยๆ อธิบายคำพูดของตน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเหลือบตาขึ้นมองท่าทางของอาจารย์อวี้ แล้วคิดไม่ตกขึ้นมาอีก อาจารย์อวี้ยกมือเคาะกบาลเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทีหนึ่ง แล้วจึงอธิบายซ้ำอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย “การเดินทัพจับศึก วิธีที่ดีที่สุดนั้นคือการชนะโดยไม่ต้องสู้รบ ด้วยเหตุนี้จึงมีคำกล่าวไว้ว่าการรบชั้นเลิศคือชนะเชิงอุบาย หากไม่มีพื้นฐานและวิชาความรู้ในกวีศิลป์อย่างลึกซึ้ง จะเกิดกุศโลบายได้อย่างไร จะทำลายแผนการของศัตรูได้อย่างไร แล้วจะสังหารเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของศัตรูได้อย่างไร?”
“คำถามสองข้อของข้านั้น คือการชักนำความคิดของเ้าทีละขั้นทีละตอน และทะลวงเข้าสู่หัวใจของเ้า ทำให้การป้องกันทางจิตใจของเ้าค่อยๆ พังทลายลง และนี่ก็คือสาเหตุว่าเมื่อคำถามข้อที่สามปรากฏ เ้าจึงเร่งโต้แย้ง ส่งผลให้เ้าสูญเสียความสามารถและโอกาสที่จะพินิจความหมายที่แท้จริงของคำถาม”
อาจารย์อวี้ยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วเอ่ยต่อ “พูดเช่นนี้ เ้าเข้าใจประโยชน์ของปัญญาชนแล้วหรือยัง?”
เมื่อมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่อีกด้านนิ่งอึ้งไร้ความเคลื่อนไหวไปแล้ว ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดไม่หยุด ในใจเลื่อมใสศรัทธาในตัวอาจารย์อวี้ เผยความยกย่องชื่นชมออกมาจากแววตาอย่างยากจะปิดบัง
“ท่านอาจารย์อวี้”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ได้ตอบคำถามของอาจารย์อวี้ แต่กลับยืนขึ้นอย่างเคร่งขรึม ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง แล้วโค้งคำนับให้กับอาจารย์อวี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ทั้งยังเอ่ยเรียกท่านอาจารย์อวี้คำหนึ่ง
อาจารย์อวี้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา แต่ก็ยังสำรวมกิริยาและไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกไป เห็นเพียงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ค้อมคำนับให้กับอาจารย์อวี้อย่างสุดซึ้ง แล้วเอ่ยขึ้น “ก่อนนี้ข้าไม่รู้จักคิด ทำให้ท่านอาจารย์อวี้ขุ่นเคืองอยู่เรื่อย วันนี้ได้ฟังคำท่าน จึงเข้าใจความสำคัญของปัญญาชน ขอท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับความบาดหมางในอดีต ให้อภัยความเขลาของข้าในกาลก่อนด้วย”
ที่แท้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ถูกอาจารย์อวี้พูดโน้มน้าว และยอมจำนนต่อคำพูดของอาจารย์อวี้โดยสมบูรณ์ และยังเข้าใจถึงความไม่เหมาะสมของการกระทำหลายครั้งหลายคราวของตนก่อนหน้านี้ ดังนั้นนางจึงอยากขออภัยอาจารย์อวี้
“เ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ ท่าทางเช่นนี้ทำข้าตกอกในัก” แม้ว่าบนใบหน้าของอาจารย์อวี้จะไม่ได้เผยความรู้สึกใด แต่ภายในใจนั้นมีความอิ่มเอมและปลาบปลื้มอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรลูกศิษย์ตรงหน้าผู้นี้ เมื่อวานยังทำให้ปวดหัวที่สุดอยู่เลย แต่ความเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา ก็ทำให้อาจารย์อวี้รู้สึกประหลาดใจจริงๆ
“หากท่านไม่อาจอภัยให้ และไม่คิดสอนสั่งกลศึกให้กับข้าในวันหน้า อวิ๋นเฟยไม่กล้าลุกขึ้นขอรับ”
แม้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนี้ได้กลายเป็ผู้คลั่งไคล้ตัวน้อยของอาจารย์อวี้ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ยังทุ่มเทให้กับการใส่ตัวตนของเยี่ยนอวิ๋นเฟยเอาไว้อย่างเข้มงวด
“พอแล้วๆ เดิมทีข้าก็เป็อาจารย์ของเ้า ย่อมต้องสอนสั่งเ้าอย่างดี”
อาจารย์อวี้เองก็ลงจากหลังเสือค่อนข้างยากเย็น ถึงอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ที่เคารพเลื่อมใสถึงขนาดนี้ ตนจะมีเหตุผลที่จะปฏิเสธได้อย่างไร? หากปฏิเสธไปตอนนี้ ก็เกรงว่าจะทำให้ลูกศิษย์ผู้นี้เกิดความขุ่นเคือง แล้วหันกลับมาเป็ปรปักษ์ได้
เมื่อได้ยินอาจารย์อวี้เอ่ยเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงรู้สึกวางใจ แล้วคุกเข่าสองข้างลงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “ขอบคุณท่านอาจารย์!”
“ไม่ต้องขนาดนั้นๆ เหตุใดจึงใช้พิธีคารวะอาจารย์อย่างนักรบเช่นนั้นเล่า รีบลุกขึ้นๆ” อาจารย์อวี้รีบร้อนคว้าแขนทั้งสองข้างแล้วดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่คุกเข่าอยู่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงฉีกยิ้ม เผยท่าทางที่ออกจะไร้เดียงสา “ก็ข้ากลัวว่าท่านอาจารย์จะนึกเสียใจแล้วไม่สอนข้านี่นา วันนี้ข้าคารวะท่านเป็อาจารย์แล้ว เช่นนี้ท่านก็ไม่อาจกลับคำได้แล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางเหมือนเด็กเซ่อซ่าเช่นนี้แล้ว อาจารย์อวี้เองก็พลันััได้ถึงความน่ารักเล็กน้อยที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนบนตัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มจนใจ “เช่นนั้นต่อไปจะก่อเื่ในห้องเรียนไม่ได้อีกแล้ว หากเ้ายังกล้ากำเริบเสิบสานอีก ข้าในฐานะอาจารย์จะลงโทษเ้าทันทีเลยเชียว!”
เอ๊ะ? คำพูดนั้นเหตุใดจึงฟังดูไม่ถูกต้องนัก? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันนึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้หากตนทำอะไรผิดในห้องเรียน อาจารย์อวี้ก็อ้าปากดุด่าต่อว่าทันทีไม่รีรอเลยไม่ใช่หรืออย่างไร? หรือนี่ตนยังถูกตีน้อยไป?
ทว่าเปิดอกคุยกันมาตั้งขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธก็ยากเย็นเต็มทน แม้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะไม่เต็มใจ แต่ก็ฝืนพยักหน้าแล้วตอบรับเสียงค่อย “สมควรแล้ว สมควรแล้ว... ต้องขอความกรุณาท่านอาจารย์ โปรดชี้แนะด้วย”
ระหว่างครูศิษย์ ในที่สุดก็จับมือปรองดองกันได้อย่างหาได้ยาก ดูเหมือนว่าการเรียนการสอนที่เรียบง่าย ในที่สุดก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้วหรือไม่นะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้