อวี๋เจียวคร้านจะโต้เถียง นางยิ่งเฝ้าภาวนาจะไปจากสกุลอวี๋ใช้ชีวิตอย่างอิสระเพียงลำพัง จะได้ไม่ต้องทนดูสีหน้าผู้อื่นเวลาจทำอะไรเช่นนี้นางหันไปเอ่ยกับอวี๋หรูไห่ว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ท่านปล่อยข้าออกไปเป็อย่างไร? รอกระทั่งหาเงินครบ ข้าจะส่งเงินไถ่ตัวกลับมาคืนแน่นอนเ้าค่ะ”
อวี๋หรูไห่จะหักใจให้อวี๋เจียวจากไปได้อย่างไรยามนี้อวี๋เจียวก็คือต้นไม้เขย่าเงินต้นหนึ่งรั้งนางเอาไว้ถึงจะสามารถหาเงินและสร้างชื่อเสียงให้สกุลอวี๋ได้
ทันใดนั้นอวี๋ฉี่เจ๋อที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยขึ้นว่า“ท่านอาสามวาจาหนักแล้วขอรับ วันนี้เมิ่งอวี๋เจียวแค่ทำผิดโดยไร้เจตนายิ่งไปกว่านั้นอาหารเหล่านี้ยังทำมาให้ทุกคนในครอบครัวนางไม่ได้กินแต่เพียงผู้เดียว นางเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ยังไม่รู้กฎระเบียบสกุลอวี๋ของพวกเรา เป็หลานที่ไม่ได้สั่งสอนให้ดีขอรับ”
อวี๋เจียวมองไปทางอวี๋ฉี่เจ๋อ ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าอวี๋ฉี่เจ๋อจะปกป้องและช่วยพูดแทนนาง
อวี๋หรูไห่ก็คิดจะเปลี่ยนเื่ใหญ่ให้กลายเป็เื่เล็กทำเื่เล็กให้เลิกแล้วกันไป จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า“แม่หนูเมิ่งเข้าประตูจวนสกุลอวี๋ของพวกเราแล้วย่อมเป็คนสกุลอวี๋ภายหน้าอย่าได้เอ่ยวาจาประชดเช่นไถ่ไม่ไถ่ตัวอีก ทุกคนนั่งลงกินข้าวกันเถิด”
เดิมทีสตรีแซ่จ้าวคิดว่าจะได้ขับไล่อวี๋เจียวออกจากจวนเพราะเื่นี้แต่คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าจะไม่เอ่ยวาจาตำหนิแม้แต่ประโยคเดียวก็ปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
นางโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยด้วยความคับแค้นใจว่า “ท่านพ่อ ทว่าท่านแม่ยังโกรธอยู่นะเ้าคะ? ท่านยังปกป้องนังเด็กชั้นต่ำผู้นี้ ไม่สนใจท่านแม่แล้วหรือเ้าคะ?”
อวี๋หรูไห่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเขาเป็คนห่วงหน้าตามาแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้ภายในใจจะห่วงสตรีแซ่อวี๋โจวแต่เพราะอยู่ต่อหน้าทุกคนหากกลับห้องไปปลอบสตรีแซ่อวี๋โจวตอนนี้คงแสดงให้เห็นว่าเขากลัวภรรยาดังนั้นจงใจฝืนเอ่ยว่า “อากาศร้อน มารดาของเ้าจึงโมโหอย่างยากจะเลี่ยงให้นางสงบจิตสงบใจคลายความโมโหเงียบๆ เถิด!”
กล่าวจบ เอ่ยพลางชำเลืองมองทุกคน “นั่งลงกินข้าวกันให้หมด”
ครอบครัวใหญ่ไม่กี่คนรีบนั่งลงข้างโต๊ะอาหารหยิบถ้วยบะหมี่เย็นชืดขึ้นมากินเสียงเบา
สตรีแซ่ซ่งกระวนกระวายใจยิ่งนัก หยิบบะหมี่บนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งถ้วยเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะยกข้าวเข้าไปให้ท่านแม่ในห้องนะเ้าคะ”
อวี๋เจียวดึงแขนสตรีแซ่ซ่งเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า“ท่านย่ากำลังโมโหมาก หากท่านเข้าไปตอนนี้จะยิ่งทำให้นางรำคาญใจเ้าค่ะ”
สตรีแซ่ซ่งก็รู้ว่าสตรีแซ่อวี๋โจวไม่ชอบนางเพียงแต่นางเคารพยำเกรงและหวาดกลัวสตรีแซ่อวี๋โจวมาเป็เวลานานทำให้นางไม่กล้านั่งลงกินข้าวอย่างวางใจ
อวี๋หรูไห่กลัวว่าเมื่อครู่จะเอ่ยวาจาหนักเกินสมควรเช่นกันประเดี๋ยวภรรยาจะโมโหจนเอาใจยาก จึงเอ่ยกับสตรีแซ่จ้าวว่า“ยกข้าวเข้าไปให้ท่านแม่ของเ้า”
สตรีแซ่จ้าวรีบยกถ้วยบะหมี่ขึ้นมาและเดินไปทางห้องฝั่งตะวันออกนางวางถ้วยลงในห้อง เอ่ยกับสตรีแซ่อวี๋โจวเพียงหนึ่งประโยคก็รีบเดินออกมาเพราะกลัวว่าหากมาช้าไข่ในผัดผักจะถูกกินหมดเสียก่อน
ถึงแม้บะหมี่จะเย็นชืดแล้วแต่ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างกินอย่างเอร็ดอร่อยดื่มน้ำซุปในถ้วยจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวกุยช่ายผัดไข่และมะเขือเทศผัดไข่ล้วนถูกกินจนเกลี้ยง
สตรีแซ่ซ่งเป็คนล้างถ้วยชามนางบอกให้อวี๋เจียวกลับไปพักผ่อนในห้อง อวี๋เจียวจึงนั่งยองๆ ดูอวี๋เฉียวซานทำขาเทียมและเอ่ยชี้แนะบ้างเป็ครั้งคราว
หลังผ่านเที่ยงวัน อวี๋เจียวหยัดกายลุกขึ้นกลับเรือนฝั่งตะวันออกครั้นอวี๋ฝูหลิงเห็นนางเข้ามาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเ็าว่า “เ้าคนรนหาเื่จะอยู่อย่างสงบสักนิดไม่ได้เชียวหรือ? ั้แ่เ้าเข้ามาในจวนของพวกเราครอบครัวรองของพวกเราก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุขสักวัน”
อวี๋เมิ่งซานที่นอนอยู่บนเตียงมองตำหนิอวี๋ฝูหลิงจากนั้นเอ่ยกับอวี๋เจียวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่หนูเมิ่งฝูหลิงไม่ได้ตั้งใจหมายความว่าเช่นนั้น เ้าอย่าได้สนใจนาง”
เมื่อถูกอวี๋เมิ่งซานตำหนิอวี๋ฝูหลิงจึงถลึงตาจ้องอวี๋เจียวด้วยความขุ่นเคือง
เดิมทีอวี๋เจียวไม่ชอบต่อปากต่อคำกับผู้อื่นนางคร้านจะถือสาหาความอวี๋ฝูหลิงจึงหันกายเดินไปทางห้องด้านในตามด้วยเคาะประตูห้อง
อวี๋ฝูหลิงเตรียมระแวดระวังในทันใด นางรีบเดินไปตรงหน้าอวี๋เจียวภายในไม่กี่ก้าวเอ่ยกับอวี๋เจียวด้วยความโมโหว่า “เ้ามาหาน้องเล็กของข้าทำไม? เขากำลังอ่านตำรา เ้าอย่ารบกวนเขา”
ประตูห้องถูกเปิดจากข้างใน อวี๋เจียวปรายตาขึ้นมองอวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ามาให้เ้าสอนคัดอักษร”