หรงหว่านซียังคงย่อกายถอนสายบัวรอจนกระทั่งรถม้าของเฉินอ๋องจากไปถึงหยัดกายลุกขึ้นและพาชูเซี่ยไปยังร้านตัดชุดใกล้เคียง
ทันใดนั้นได้ยินเสียงฉินอิ่งเซวียนเอ่ยพลางเปล่งเสียงหัวเราะ“ที่แท้ก็เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยนี่เอง เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าหรูหราคันเมื่อครู่นึกว่าเป็คุณชายตระกูลใด คาดไม่ถึงว่าจะตกตะลึงเพราะรถม้าหรูหรา พี่ขวัญอ่อนทำให้น้องต้องมาดูเื่ตลกเสียแล้ว”
หรงหว่านซีหันกลับมาหาฉินอิ่งเซวียนเอ่ยพลางยกยิ้ม “ไม่หรอกเ้าค่ะ เพราะหากได้พบเห็นรถม้าหรูหราเช่นนี้ ข้าก็จะมองนานสักหน่อยเช่นกัน”
ฉินอิ่งเซวียนรู้ว่าการที่นางมองรถม้าของเฉินอ๋องเช่นนั้นเสียมารยาทนางจึงรีบเอ่ยเสริมทันที
“เกรงว่าฝนใกล้จะตกแล้วท่านพี่ควรจะรีบกลับไปเถิดเ้าค่ะ ข้าจะเข้าไปข้างในแล้ว”หรงหว่านซีชี้ไปทางร้านตัดชุด
ฉินอิ่งเซวียนแสดงท่าทีพึงพอใจและพยักหน้ารับ
นางมองตามแผ่นหลังหรงหว่านซีด้วยแววตาหม่นแสงจนแลดูเยือกเย็น
เหตุใดนางถึงวาสนาดีถึงเพียงนี้...ช่างไม่ยุติธรรมสักนิด
ฉินอิ่งเซวียนหันมองไปทางรถม้าที่กำลังห่างออกไปถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพาเด็กรับใช้กลับจวน ภายในใจมิใช่ไม่ขลาดกลัว
ผู้คนต่างบอกว่าหรงหว่านซีฉลาดหลักแหลมยิ่งนักหากปล่อยให้นางรู้ว่าตนคิดเช่นไรกับเฉินอ๋อง... เฮ้อ...นางคงต้องอับอายขายหน้า...สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนกลับชื่นชมบุรุษผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ทว่าคนที่บุรุษผู้นี้รักมั่นกลับเป็น้องสาวของนาง
นางไม่ระมัดระวังตัวเกินไปแล้วเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวเมื่อใดมักไม่อาจควบคุมตนเองถึงเพียงนี้
หรงหว่านซีพาชูเซี่ยไปเลือกอาภรณ์จำนวนหนึ่งเพราะสภาพอากาศ พวกนางจึงไม่มัวชักช้าเสียเวลา รีบมุ่งหน้ากลับจวนแม่ทัพทันที
“คุณหนูเหตุใดหนูปี้ถึงรู้สึกว่าคุณหนูฉินแปลกๆ ก็ไม่รู้เ้าค่ะ เมื่อครู่ขณะเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยกับคุณหนูกำลังพูดคุยกันหนูปี้ลอบมองคุณหนูฉินสายตาของนางไม่ละออกจากเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยแม้แต่นิดเ้าค่ะ!”ชูเซี่ยเอ่ยหลังเดินมาถึงตรอกที่ไร้ผู้คน
หรงหว่านซียิ้ม“ถือว่าเป็สตรีที่น่าสงสารผู้หนึ่ง”
เดิมทีคิดแค่ว่าจะให้ผู้คนในสำนักขุนนางสื่อราชสำนักเป็พยานแต่นึกไม่ถึงว่าจะได้ล่วงรู้เื่ของเฉินอ๋องกับคุณหนูตระกูลฉินอย่างบังเอิญ
เมื่อกลับมาถึงจวนนางกำชับให้ชูเซี่ยนำสิ่งของที่พึ่งซื้อมาไปแบ่งกับจือชิวขณะกล่าวก็ได้ยินเสียงจือชิววิ่งเข้ามาในห้องและเอ่ย “คุณหนูไปที่ใดมาเ้าคะ? เมื่อครู่นายท่านสั่งให้คนตามหาคุณหนูจนทั่วทั้งจวนเลยเ้าค่ะ!”
“ข้าไปซื้อเครื่องประดับเล็กน้อยให้พวกเ้าหลายวันมานี้ในจวนมีเื่ยุ่งจนไม่มีเวลาสั่งทำวันหน้าไปอยู่ในจวนอ๋องก็อย่าให้คนดูถูกเอาได้” หรงหว่านซีเอ่ยหยอกเย้า
“ข้าไม่เอาหรอกเ้าค่ะ”จือชิวเอ่ย “หนูปี้กำลังโต รอให้เติบใหญ่เสียก่อนค่อยแต่งตัวเ้าค่ะหากยามนี้จะสวมใส่ก็เสียของเปล่าๆ ยกให้พี่ชูเซี่ยทั้งหมดเถิดเ้าค่ะ!”
หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“เ้าเด็กผู้นี้ช่างมีจิตใจดีเสียจริง ข้าซื้อมาเยอะ มีส่วนแบ่งของพวกเ้าอยู่แล้วใช่แล้ว องค์รัชทายาทเสด็จกลับไปแล้วหรือไม่?”
“หือ?องค์รัชทายาทเสด็จมาหรือเ้าคะ หนูปี้ไม่ทราบเลยเ้าค่ะ”จือชิวส่ายหน้าราวกับเขย่ากลอง
“เ้าละก็อย่าได้เอาแต่เชื่อฟังเพียงอย่างเดียว ต้องรู้จักเฉลียวฉลาดไว้บ้าง”ชูเซี่ยใช้นิ้วจิ้มศีรษะของจือชิว “หากเอาแต่ฟังคำสั่งจะไปมีประโยชน์อะไร? ภายในใจจวนขาดคนใช้แรงงานงั้นรึ?”
หรงหว่านซียกยิ้มมองดูพวกนักหยอกล้อกันเด็กทั้งสองคนนี้ล้วนแต่เป็สินทรัพย์ติดตัวยามออกเรือนและต้องติดตามนางไปอยู่ที่จวนเฉินอ๋องถือว่าชูเซี่ยยังดีสักหน่อย แม้ปกติจะพูดมากแต่เมื่อถึงยามสำคัญก็รู้จักคิดพิจารณาอยู่บ้าง ทว่าจือชิวพึ่งจะอายุสิบสามปีและยังเป็เด็กไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจวนเฉินอ๋องต้องไม่มีทางสงบสุข เต็มไปด้วยภยันตรายเป็อย่างมากหวังว่าพวกนางทั้งสองจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย
องค์รัชทายาททรงไม่ทราบว่าหรงหว่านซีออกไปทำอะไรและไม่ได้คิดให้รอบคอบยังคงทำตามแผนการเดิมที่วางไว้โดยการอยู่ในจวนแม่ทัพเป็เวลา *หนึ่งชั่วยามเมื่อออกมาจากจวนแม่ทัพจึงส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้จางฝูไห่จางฝูไห่รับทราบและรีบไปจัดการทันที
หรงหว่านซีต่อให้เ้าหลบหน้าไม่ยอมพบเปิ่นกง แต่ผู้ใดจะรู้กันเล่า? เ้าคิดว่าเปิ่นกงแค่้าจะพบเ้าเพียงเท่านั้นเองหรือจะพบหรือไม่พบไม่ใช่เื่สำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญคือเปิ่นกงมาที่จวนแม่ทัพและอยู่ที่นี่เป็เวลานาน
องค์รัชทายาทไม่คิดว่าหรงหว่านซีออกไปข้างนอกจริงเพราะหรงหว่านซีมักเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในจวน ไม่ชอบออกไปเปิดเผยหน้าตาข้างนอกข้านี้มีผู้ใดไม่รู้กันบ้าง? นอกจากนั้นคำกล่าวของผู้ดูแลจวนผู้นั้นยังดูคล้ายเล่นละครตบตาคาดว่าคงจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่ง
เพียงแค่หรงชิงมีคำสั่งให้คนจวนเป็ที่เรียบร้อยยามนั้นข้ารับใช้ของเขาก็ออกไปช่วยค้นหาเช่นกัน เป็ความจริงที่ไม่พบนางจวนตระกูลหรงกว้างขวางถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะมีสักแห่งที่พวกเขาค้นหาไม่ทั่วสิ่งนี้มิใช่เื่สำคัญ หรงชิงทำถึงเพียงนี้ หากเขายังเอาแต่โวยวายจะพบให้ได้จะไม่เป็การเสียกิริยาเกินไปงั้นรึ?
องค์รัชทายาทเยื้องย่างพระบาทแ่เบาและว่องไวอย่างอารมณ์ดียิ่งนักทว่านึกไม่ถึงสักนิดว่าข่าวที่ข้ารับใช้นำกลับมาจะเป็เช่นนี้...
“เตี้ยนเซี่ยพ่ะย่ะค่ะหนูฉายได้ยินมาจากท้องถนนว่าวันนี้คุณหนูหรงไปที่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ!”จางฝูไห่กลับมากราบทูล
“อะไรนะ?สำนักขุนนางสื่อราชสำนักงั้นรึ?” องค์รัชทายาทตรัส“เ้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่? หรงหว่านซีไปด้วยตัวเองงั้นรึ?”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะผู้คนบนท้องถนนล้วนเห็นกับตาตนเอง ที่โรงน้ำชามีคนกำลังถกเถียงถึงเื่นี้พ่ะย่ะค่ะ”
“นางไปเมื่อใด?”
หลังทราบว่าเื่นี้เป็เื่จริงสิ่งที่องค์รัชทายาทสนใจกลับเปลี่ยนเป็เวลาที่เกิดเื่นี้และลอบรู้สึกว่าอาจเกิดข้อผิดพลาด
“คือ...”จางฝูไห่นิ่งงันด้วยคำถาม เขาหวาดกลัวจนต้องปาดเหงื่อ“พวกเขาไม่ได้พูดถึงเื่เวลาพ่ะย่ะค่ะหนูฉายรีบร้อนกลับมากราบทูลจึงลืมถามพ่ะย่ะค่ะ”
เขารับรู้ถึงความสำคัญของเื่นี้จึงเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านทรงคิดว่าผู้ดูแลจวนตระกูลหรงอาจกล่าวความจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะคุณหนูอาจจะออกไปเวลานั้นจริงๆ?”
สีพระพักตร์ขององค์รัชทายาทเคร่งขรึม“ข้าสั่งให้เ้าไปปล่อยข่าว เ้าทำแล้วหรือไม่?”
“เตี้ยนเซี่ยทำเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ... หนูฉายจัดการตามที่เตี้ยนเซี่ยรับสั่งเสร็จระหว่างทางกลับมาถึงได้ยินข่าวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้เ้ารีบไปสืบมาว่าเื่เกิดประมาณยามใดกันแน่”องค์รัชทายาทตรัส “หากเกิดเื่นี้ตอนพวกเราไปจวนแม่ทัพจริงก็จงรีบให้คนพวกนั้นหยุดปล่อยข่าว หากไม่ใช่ ก็ปล่อยให้พวกเขาทำต่อไปรีบไปเร็วเข้า”
จางฝูไห่ปาดเหงื่อพร้อมกับรีบถอยออกไปเขาหวาดกลัวเสียจนเดินเท้าไม่ติดพื้น
องค์รัชทายาทค่อยๆหมุนจอกสุราในพระหัตถ์ พระภมุกาขมวดเข้าหากันเป็ปม
โชคดีที่รู้ตัวทันเวลาหากหรงหว่านซีไปสำนักขุนนางสื่อราชสำนักในระหว่างที่พวกเขาไปถึงจริงในขณะเดียวกันยังมีข่าวลือว่าเขาลอบพบกับหรงหว่านซีในจวนแม่ทัพตามลำพังปล่อยออกไป...ไม่มีผู้ใดเชื่อถือเป็อีกเื่หนึ่งแต่ถ้าผู้มีใจคิดร้ายให้ความสนใจกับเื่นี้ คงต้องคิดว่าเขาจงใจวางแผนยกตัวอย่างเช่นเ้าสามจะต้องสร้างเื่วุ่นวายแน่นอน
หากเ้าสามได้ยินข่าวลือนี้และรู้ว่าหรงหว่านซีไปที่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักมีหรือจะไม่แอบหัวเราะเยาะในใจที่เขาถูกหรงหว่านซีขุดหลุมฝัง
ส่วนการรับมือกับฝ่าาและไทเฮาไม่ใช่เื่ต้องร้อนใจทำตามแผนเดิมที่วางไว้ไม่จำเป็ต้องปรับเปลี่ยน เพียงแต่เขาเป็คนไม่ยอมขายหน้าไม่อาจยอมให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเด็ดขาด
หลังรอให้ข้ารับใช้กลับมากราบทูลอย่างเงียบเชียบครั้นผ่านไปครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็มืดครึ้ม
ห้องอาหารเข้ามาถามหลายต่อหลายหนเขากลับไม่ยอมให้ตั้งสำรับ มีหรือจะมีกะจิตกะใจกินอะไร
ทันใดนั้นเห็นจางฝูไห่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา“เตี้ยนเซี่ย... หนูฉายสืบจนได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
*หนึ่งชั่วยามคือสองชั่วโมง