รุ่งอรุณวันใหม่มาถึงพร้อมกับท้องฟ้าสีแดงเข้มผิดธรรมชาติ หลินเว่ย และ หลิวซิน หลบซ่อนตัวในอาคารร้างเก่า ที่เคยเป็คลังสินค้าใกล้ท่าเรือ พวกเขาใช้เวลาทั้งคืนหลบหนีจากกลุ่มผู้ติดเชื้อและกองกำลังปริศนาที่น่าจะเป็คนขององค์กรเทียนซื่อ
หลินเว่ยนั่งพิงกำแพงด้านใน ร่างกายอ่อนเพลียจากการวิ่งหนีตลอดทั้งคืน แต่จิตใจยังคงตื่นตัว เขาไม่รู้ว่าควรจะวางใจหลิวซินมากแค่ไหน แต่เธอคือคนเดียวที่สามารถช่วยเขาเรียนรู้ตำราวิชาลมปราณที่อาจเป็ความหวังสุดท้ายของเขา
"คุณควรนอนพักบ้าง" หลิวซินพูดขณะยื่นขวดน้ำให้หลินเว่ย "ฉันจะเฝ้ายามให้เอง"
"ผมยังนอนไม่ลง" หลินเว่ยตอบ รับขวดน้ำมาดื่ม "ผมอยากรู้เื่ตำรานั่นมากกว่า คุณบอกว่าคุณอ่านมันได้ใช่ไหม?"
หลิวซินพยักหน้า นั่งลงข้างๆ หลินเว่ย "ใช่ ฉันเคยศึกษาอักษรจีนโบราณมา แต่ตำรานี้เขียนด้วยภาษาที่ค่อนข้างพิเศษ ฉันต้องใช้เวลาแปลอยู่บ้าง"
เธอเปิดตำราเล่มเก่าอย่างระมัดระวัง กระดาษเหลืองกรอบแต่ยังคงแข็งแรงผิดธรรมชาติ อักษรจีนโบราณสีดำเข้มปรากฏชัดบนหน้ากระดาษ บางหน้ามีภาพวาดคนในท่าทางต่างๆ "กลิ่นอายของกาลเวลาโบยบินออกมาจากหน้ากระดาษ ผสมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรโบราณที่ใช้ในการถนอมรักษาตำรา หลินเว่ยรู้สึกถึงความขนลุกที่แล่นขึ้นมาตามแขนเมื่อนิ้วเขาัักับตัวอักษรโบราณ ราวกับมีกระแสพลังงานบางอย่างไหลออกมาจากหน้ากระดาษ ส่งผ่านความทรงจำและภูมิปัญญาอันยาวนานข้ามกาลเวลาถึงเขา ภาพวาดท่าทางต่างๆ ดูราวกับกำลังเคลื่อนไหวเบาๆ บนกระดาษ ัทะยานฟ้า—คำนี้ก้องกังวานในความคิดของเขา ราวกับมีใครกำลังกระซิบเรียกชื่อตำราด้วยความเคารพ"
"ตำรานี้ชื่อว่า ัทะยานฟ้า" หลิวซินอธิบาย "เขียนขึ้นโดยปราชญ์ผู้หนึ่งในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ที่ได้รับการดลใจจากการสังเกตพฤติกรรมั—หรืออย่างน้อยก็ตามที่เขาเชื่อว่าเป็ั"
"โลกวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อเื่ั" หลินเว่ยแย้ง
"แต่คุณเชื่อเื่คนติดเชื้อที่มีพละกำลังเหนืุ์ล่ะสิ?" หลิวซินยิ้มบางๆ "บางทีสิ่งที่เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์อาจยังไม่เข้าใจทุกอย่างในโลกนี้ก็ได้"
หลินเว่ยนิ่งไป เขาไม่อาจเถียงได้ สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนท้าทายความรู้ทางการแพทย์ที่เขาเรียนมา
"ตำรานี้อธิบายว่าการฝึกฝนตามแนวทางของั จะช่วยให้มนุษย์เข้าถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย" หลิวซินอ่านต่อ "มีทั้งหมด 18 ท่า แต่ละท่ามีจุดประสงค์และประโยชน์ต่างกัน ท่าแรกคือ 'ัหลับใหล' ที่เราเพิ่งฝึกไป จุดประสงค์คือการรวบรวมพลังชี่และสร้างฐานพลังงานภายใน" หลิวซินเอ่ยขึ้นหลังจากที่หลินเว่ยฝึกท่าัหลับใหลเสร็จ "แม้ตอนนี้เ้าจะยังไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งของท่านี้ แต่จงจำไว้ว่าทุกท่าของัทะยานฟ้าล้วนเชื่อมโยงกัน เ้าอาจต้องฝึกฝนท่าเดิมซ้ำๆ เพื่อค้นพบความหมายที่แท้จริงของมัน"
"ผมควรฝึกท่านี้บ่อยแค่ไหน?" หลินเว่ยถาม
"อย่างน้อยวันละสามครั้ง ครั้งละ 15 นาที" หลิวซินตอบ "ยิ่งฝึกมาก โอกาสที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายในร่างกายคุณก็ยิ่งน้อยลง" "หลินเว่ย" หลิวซินพูดขณะที่หลินเว่ยกำลังทบทวนฝึกท่าัหลับใหล "แม้ตอนนี้เ้าจะยังไม่เข้าใจถึงความหมายของการฝึกฝนซ้ำๆ แต่จงเชื่อมั่นในวิชาัทะยานฟ้า ทุกท่า ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนมีความหมายซ่อนอยู่"
หลินเว่ยมองไปที่รอยเืบนนิ้วชี้ซ้ายของตัวเอง ส่วนที่ัักับเืของคนไข้ในโรงพยาบาล มันดูเป็ปกติ ไม่มีรอยแผลเป็หรือความผิดปกติปรากฏ แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวล
"คุณคิดว่าผมจะกลายเป็เหมือนพวกนั้นไหม?" เขาถาม เสียงสั่นเครือเล็กน้อย
หลิวซินวางมือลงบนไหล่หลินเว่ย สายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ "ไม่ ถ้าเราฝึกฝนอย่างจริงจัง ความรู้ในตำรานี้จะช่วยคุณได้ มันไม่ใช่แค่ตำราธรรมดา นี่คือศาสตร์โบราณที่องค์กรเทียนซื่อพยายามค้นหามานานนับพันปี"
"ทำไมองค์กรนั้นถึง้ามันนักล่ะ?" หลินเว่ยถาม
หลิวซินหลุบตาลง "เพราะนอกจากจะช่วยต่อต้านนาฬิกานรกแล้ว มันยังมอบพลังพิเศษให้ผู้ฝึกฝนด้วย พลังที่อาจเทียบเท่ากับความเป็ะที่พวกเขาแสวงหา"
"คุณรู้เื่เทียนซื่อดีจัง" หลินเว่ยสังเกต น้ำเสียงไม่ไว้วางใจนัก "แน่ใจนะว่าแค่เคยอ่านเจอในตำราประวัติศาสตร์?"
หลิวซินเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตามองตรงไปยังหน้าต่างที่แสงแดดสีส้มแดงส่องผ่านเข้ามา
"ตระกูลของฉัน..." เธอเริ่มต้นอย่างลังเล "มีประวัติเกี่ยวพันกับพวกเขามานาน บรรพบุรุษของฉันเคยอยู่ในองค์กรนั้น ก่อนจะแยกตัวออกมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่เปลี่ยนไป ตระกูลของเราได้รับมอบให้ปกป้องความลับบางอย่าง รวมถึงความรู้เกี่ยวกับวิชา ัทะยานฟ้า นี่เป็เหตุผลที่ฉันอ่านอักษรโบราณเหล่านี้ได้" "ดวงตาของหลิวซินฉายแววเศร้าลึก พร้อมกับประกายความมุ่งมั่นแกร่งกล้า เธอก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง 'คนในตระกูลของฉันต้องแลกด้วยเืและน้ำตา เพื่อปกป้องความรู้นี้มาหลายชั่วอายุคน พ่อของฉัน... ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องตำราัทะยานฟ้าจากการตามล่าขององค์กรเทียนซื่อ' เสียงของเธอสั่นเครือใน่ท้าย 'ฉันเป็คนสุดท้ายของตระกูล และฉันสาบานกับพ่อที่กำลังจะตายในอ้อมแขนว่าจะไม่ปล่อยให้การเสียสละของเขาสูญเปล่า'"
หลินเว่ยอ้าปากค้าง เขาไม่แน่ใจว่าควรเชื่อเื่ราวนี้หรือไม่ แต่มันอธิบายหลายสิ่งได้ดี "แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกผมั้แ่แรก?"
"คุณจะเชื่อฉันหรือ?" หลิวซินย้อนถาม "ในเมื่อคุณยังพยายามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้น"
หลินเว่ยยอมรับในใจว่าเธอพูดถูก
"แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว" หลิวซินพูดต่อ "สิ่งสำคัญคือเราต้องฝึกฝนให้คุณแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานเชื้อร้าย ให้ฉันสอนท่าที่สองให้คุณ—ัตื่นกาย"
เธอลุกขึ้นยืน ให้หลินเว่ยทำตาม "ยืนตัวตรง เท้าทั้งสองห่างกันเท่าความกว้างของไหล่ แขนปล่อยหย่อนข้างลำตัว หายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับยกแขนขึ้นช้าๆ จินตนาการว่ากำลังดึงพลังจากพื้นดินขึ้นมา"
หลินเว่ยทำตามคำแนะนำ รู้สึกถึงพลังแปลกๆ ไหลเวียนจากปลายเท้าขึ้นมาตามขา
"เมื่อแขนยกถึงระดับอก ให้หมุนฝ่ามือออก หายใจออกพร้อมกับผลักแขนไปข้างหน้า เหมือนกำลังผลักอากาศออกไป" หลิวซินสาธิตท่าทางให้ดู "จินตนาการว่ากำลังกระจายพลังชี่ไปทั่วร่างกาย ปลุกทุกเซลล์ให้ตื่นตัว"
หลินเว่ยรู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากแม้จะไม่ได้ออกแรงมาก
"ดีมาก" หลิวซินยิ้ม "ท่านี้จะช่วยปลุกชี่ในร่างกายให้ตื่นตัว ทำให้ประสาทััไวขึ้น คุณจะสามารถรับรู้อันตรายได้ก่อนที่มันจะมาถึง"
พวกเขาฝึกซ้ำอีกหลายครั้ง จนหลินเว่ยเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางและจังหวะการหายใจ
"เหลือเวลาอีกเท่าไหร่?" เขาถามขณะพักเหนื่อย
"ก่อนที่เชื้อจะเอาชนะร่างกายคุณเหรอ?" หลิวซินถาม "ฉันไม่แน่ใจ แต่ตามตำรา หากได้ััเืโดยตรง อาจใช้เวลา 3-5 วันก่อนที่อาการจะปรากฏชัดเจน แต่ถ้าเรามีพลังชี่ต่อต้าน อาจชะลอไปได้นานกว่านั้น"
หลินเว่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากหลายจุดในเมือง เสียงไซเรนดังแว่วมาเป็ระยะ
"เมืองกำลังล่มสลาย" เขาพึมพำ "ในโรงพยาบาล ผมได้ยินว่ามีผู้ป่วยแสดงอาการแบบเดียวกันทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย แปลว่าการระบาดเริ่มมาก่อนหน้านั้นแล้ว เราอาจกำลังเห็นจุดแตกหักของสังคม"
"ใช่" หลิวซินเห็นด้วย "รัฐบาลคงไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นานนัก เราต้องพร้อมเผชิญกับโลกใหม่ที่กฎหมายและระเบียบอาจไม่มีความหมายอีกต่อไป"
"รวมถึงศีลธรรมด้วย" หลินเว่ยเสริม "ผมเห็นผู้คนโจมตีกันเองเพื่อแย่งชิงสิ่งของแม้จะยังไม่ได้ติดเชื้อ มันเหมือนโรคนี้เปิดเผยด้านมืดที่อยู่ในใจมนุษย์"
"ไม่ใช่แค่นั้น" หลิวซินส่ายหน้า "ตามตำรา นาฬิกานรกไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบ่อนทำลายจิตใจ แม้แต่คนที่ไม่ติดเชื้อก็อาจได้รับผลกระทบทางจิต ทำให้เกิดความกลัว ความโกรธ ความเกลียดชังเพิ่มขึ้น"
"เหมือนกับมันกำลังเปลี่ยนโลกทั้งใบ" หลินเว่ยรู้สึกหนาวสะท้าน
ปัง!
เสียงอะไรบางอย่างหล่นดังมาจากชั้นบน ทั้งคู่หันไปมองพร้อมกัน
"มีคนอยู่ในอาคารนี้" หลิวซินกระซิบ
หลินเว่ยคว้าไม้เบสบอลขึ้นมา ส่วนหลิวซินกระชับมีดในมือ พวกเขาย่องไปที่ประตู ฟังเสียงอย่างตั้งใจ
ตึกๆๆ
เสียงฝีเท้าดังลงมาตามบันได เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
"เตรียมตัว" หลินเว่ยกระซิบ ยกไม้เบสบอลขึ้นในท่าเตรียมพร้อม เขารู้สึกได้ว่าประสาทััของเขาไวขึ้นผิดปกติ อาจเป็ผลจากการฝึกท่า "ัตื่นกาย" ที่ผ่านมา
ประตูถูกผลักเปิดอย่างแรง ร่างของชายร่างเล็กในชุดเสื้อคลุมสีเทาโผล่เข้ามา ในมือถือถุงกระดาษใบใหญ่
"อย่าขยับนะ!" หลินเว่ยะโ ชูไม้เบสบอลขึ้น
"อะ-อย่าตี!" ชายคนนั้นยกมือขึ้นป้องหน้า ถุงกระดาษร่วงลงพื้น เผยให้เห็นขนมปังและอาหารกระป๋องหลายชิ้น "ผม-ผมแค่มาหาอาหาร!"
"คุณอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?" หลิวซินถาม ยังคงจ่อมีดไปที่ชายแปลกหน้า
"ใช่ครับ" ชายคนนั้นตอบเสียงสั่น "ผมแค่หนีออกมาจากบ้านหลังมันเริ่มระบาด ผมเห็นว่าที่นี่ว่างเลยเข้ามาหลบ"
หลินเว่ยและหลิวซินมองหน้ากัน ก่อนที่หลินเว่ยจะลดไม้เบสบอลลง "คุณชื่ออะไร?"
"เมิ่งหลิง ครับ" ชายคนนั้นตอบ "ผมเป็ครูสอนประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆ นี่เอง"
"คุณรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างไหม?" หลิวซินถาม
"ไม่มากครับ แค่ได้ยินข่าวว่ามีโรคระบาดประหลาด" เมิ่งหลิงตอบ ก้มลงเก็บอาหารที่ร่วงลงพื้น "ผมยังโชคดีที่หนีออกมาได้ก่อน แต่ลูกศิษย์หลายคน..."
เขาชะงักไป ดวงตาฉายแววเศร้า "พวกเขาติดเชื้อ กลายเป็... สิ่งมีชีวิตที่ผมไม่รู้จักอีกต่อไป"
หลิวซินยังคงระแวดระวัง แต่หลินเว่ยรู้สึกสงสารชายคนนี้ "นั่งลงเถอะครับ เราคงต้องร่วมมือกันถ้าอยากมีชีวิตรอด"
หลิวซินส่งสายตาเตือน แต่ไม่ได้คัดค้าน
เมิ่งหลิงนั่งลงบนพื้น มองดูตำราโบราณที่วางอยู่ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
"นั่นมัน... ฉือเซียงลงเทียนจิง?" เขาพูดอย่างตื่นเต้น
"คุณรู้จักตำรานี้?" หลิวซินถามอย่างระแวง
"ผมเรียนประวัติศาสตร์จีนโบราณมา" เมิ่งหลิงตอบ "ตำรานี้เป็ตำนานในแวดวงนักวิชาการ บางคนเชื่อว่ามันมีอยู่จริง บางคนว่ามันเป็แค่นิทาน ไม่นึกว่าจะได้เห็นกับตา"
หลินเว่ยเริ่มรู้สึกว่าการพบกับเมิ่งหลิงอาจไม่ใช่เื่บังเอิญ "คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตำรานี้บ้าง?"
"มันถูกเขียนขึ้นโดยปราชญ์ผู้หนึ่งในราชวงศ์ฮั่น ที่ว่ากันว่าเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากัจริงๆ" เมิ่งหลิงเล่า ดวงตาเป็ประกาย "มันไม่ใช่แค่วิชายุทธ์ แต่เป็ศาสตร์แห่งการบำบัดรักษาและการเข้าถึงพลังลี้ลับของจักรวาล"
หลินเว่ยและหลิวซินมองหน้ากันอีกครั้ง การมีผู้รู้เกี่ยวกับตำราเพิ่มขึ้นอีกคนอาจช่วยพวกเขาได้
"คุณเมิ่งหลิง" หลินเว่ยเริ่มพูด "สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่โรคระบาดธรรมดา มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า 'นาฬิกานรก' และผมเองก็ติดเชื้อแล้ว เราเชื่อว่าตำรานี้อาจช่วยผมได้"
เมิ่งหลิงมองหลินเว่ยด้วยสายตาเห็นใจ "ผมเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับนาฬิกานรกเหมือนกัน แต่คิดว่าเป็แค่นิทาน... ถ้าตำรานี้สามารถช่วยคุณได้ ผมยินดีช่วยทุกทาง"
"คุณอ่านอักษรโบราณได้ด้วยหรือเปล่า?" หลิวซินถาม
"พอได้ครับ แต่ไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่" เมิ่งหลิงตอบอย่างถ่อมตัว "แต่ผมมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนที่อาจช่วยตีความบางส่วนได้"
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกัน หลินเว่ยสังเกตเห็นบางอย่างที่ข้อมือของเมิ่งหลิง—รอยแดงจางๆ คล้ายกับจะกลายเป็รูปวงกลม หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น นึกถึงคำเตือนของจางเฉิง "ระวังผู้ที่มีรอยนาฬิกาบนข้อมือ"
เขาสบตากับหลิวซิน ขยับคิ้วเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณ หลิวซินมองไปที่ข้อมือของเมิ่งหลิงและสังเกตเห็นสิ่งเดียวกัน
"คุณเมิ่งหลิง" หลินเว่ยเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง "ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าคุณหนีออกมาได้อย่างไร? ที่โรงเรียนเป็อย่างไรบ้าง?"
เมิ่งหลิงยิ้มแห้งๆ ดวงตาฉายแววประหลาด "จริงๆ แล้ว... ผมไม่ได้เป็แค่ครูธรรมดา"
มือเขาค่อยๆ แตะไปที่รอยแดงบนข้อมือ "คุณหลินเว่ย... คุณคือกุญแจสำคัญ ผมถูกส่งมาเพื่อบอกคุณเื่นี้"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้