เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนล้วนตะลึงงัน
ไม่ต้องให้ใครพูด โหยวเสี่ยวโม่ก็อยากตบปากตัวเองสักที
เห็นท่าทีแปลกใจของพวกเขาที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาพูดอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกว่าภาพเมื่อกี้มันเหมาะเจาะพอดีกับคำพูดนั้น อีกทั้งเดาได้ว่าหลิงเซียวก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นจึงโพล่งคำพูดนั้นออกมา
คนที่รับรู้ได้เร็วที่สุดเห็นจะเป็หลิงเซียว เขากลั้นไม่อยู่ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น แม้เขาจะชินกับการที่จู่ๆ โหยวเสี่ยวโม่ก็ชอบโพล่งอะไรแบบนี้ออกมา แต่ทุกครั้งที่ได้ยินก็อารมณ์ดีมาก
“นักร้องทาสเปลี่ยนค่ายสังกัด” คำพูดนี้น่าสนใจดี ความหมายคล้ายกับที่เขา้าจะพูด
“ข้าให้เวลาพวกเ้าไตร่ตรองดู คิดได้ก็บอกข้า” หลิงเซียวดึงโหยวเสี่ยวโม่มาข้างตัว จากนั้นจัดแขนเสื้อแล้วพูดไปพลาง เขาก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม แต่รู้ว่าพวกนั้นคงเข้าใจความหมาย หากยังไม่เข้าใจ เขาก็ไม่มีความจำเป็ต้องเลี้ยงพวกเขาไว้
“ข้ายินดีจงรักภักดีต่อนายท่าน” หลังจากที่ผู้ช่วยชะงักไปชั่วครู่ ใบหน้ายิ้มแป้นดีใจ ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ขนมเปี๊ยะหล่นจาก์หากไม่รับไว้คงโง่เหมือนหมู
“พวกข้าก็ยินดี สาบานว่าจะภักดีต่อนายท่าน” ชายชุดดำสามคนกับอีกคนที่คลานอยู่เอ่ยขึ้นพร้อมเพรียงกัน ทั้งหมดเผยใบหน้าปลื้มปีติ ขนมเปี๊ยะชิ้นโตไม่ธรรมดา
ถัดมา ทั้งห้าคนจึงอยากสาบานตน แต่หลิงเซียวห้ามไว้ก่อน
การสาบานตนนั้นเขารู้สึกว่าไม่มีพลังมากพอ เขาเชื่อมั่นตัวเองมากกว่า ดังนั้นที่เขาหมายถึงคือ หากทั้งห้าคนนั้นยินดีที่จะติดตามเขาจริง จะต้องให้เขาทำอะไรบางอย่างกับดวงิญญาพวกเขา ขอเพียงพวกเขาไม่หักหลังก็จะไม่เกิดเหตุอันใดขึ้น
ทั้งห้าคนจ้องหน้ากัน ลังเลไม่นานก็ตกลง เพราะหากไม่ยินยอมก็มีแต่ตายหนทางเดียว
แต่นี่เป็เพียงหนึ่งในเหตุผล จากที่พวกเขาดู ถังฮุยที่มีพลังเพียงแค่ชั้นิญญาไม่มีทางสู้ผู้ที่มีพลังชั้นราชัน ในสายตาพวกเขา จอมยุทธ์ที่มีพลังชั้นราชันนั้นมีอำนาจเทียบเท่ากับสำนักเทียนซินหรือสำนักชิงเฉิง ทั้งห้านั้นพลันปลื้มปีติ
หารู้ไม่ หลิงเซียวไม่ได้อยากก่อตั้งสำนักใหญ่อย่างเทียนซินแต่อย่างใด คนที่ไม่มีวินัยอย่างเขา พูดให้ชัดก็คือไม่มีความรับผิดชอบ ที่อยากให้พวกเขาแทนที่อำนาจของถังฮุยนั้น อันที่จริงเขามีวัตถุประสงค์อย่างอื่น
เมื่อคุยธุระจบ หลิงเซียวก็ปล่อยทั้งห้าคนไป
เมื่อกลับถึงโลกความจริง โหยวเสี่ยวโม่มองหลิงเซียวด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่หลิง ท่านจะไปเมืองฮุยจี๋อีกใช่หรือไม่?”
หลิงเซียวเห็นเขาถามจบแล้วหยุดนิ่งไป อดไม่ไหวยื่นมือไปจับแก้มเขา เอ่ยเสียงขำ “ทำไม หรือว่าศิษย์น้องเล็กของข้าไม่อยากให้ข้าไป?”
“ใครไม่อยากให้ท่านไปกัน!” โหยวเสี่ยวโม่มองตาค้อนใส่เขา บ่นอุบอิบ
หลิงเซียวได้ยินชัด แต่ก็รู้ว่าเขาพูดไม่ตรงกับใจ พลันเอ่ยต่อ “การก่อตั้งอำนาจอะไรเทือกนี้ข้าไม่สนใจหรอก แต่หากให้สานสัมพันธ์น่ะพอได้ อีกหน่อยหาก้าสืบข่าวอะไรก็จะได้ง่าย อีกอย่าง หากอีกหน่อยเ้าได้เป็นักหลอมโอสถขั้นกลางหรือขั้นสูง ก็สามารถให้พวกเขาช่วยหาหญ้าเซียนหรือเมล็ดได้ เช่นนี้ดีกว่าให้เ้าไปควานหาเองเสียอีก”
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก เขาไม่คิดว่าหลิงเซียวจะคิดถึงเื่นี้ด้วย ในใจรู้ลึกซึ้งประทับใจ กลับไม่คิดว่า หลิงเซียวจะพูดขึ้นอีก
เขาเอ่ย “ถึงตอนนั้นเ้าก็จะได้หลอมยาเซียนตันให้ข้ากิน”
โหยวเสี่ยวโม่ “…” เขาตัดสินใจขอยึดความซึ้งใจเมื่อครู่คืน
“ศิษย์พี่หลิง ท่านจะเตรียมออกเดินทางเมื่อไหร่ เ้าสำนักไม่ให้ท่านออกไปไหนนี่?” โหยวเสี่ยวโม่นิ่งไปชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม
แม้จะไม่ได้รู้จักหลิงเซียวลึกซึ้งอย่างที่คิด แต่เขาก็พอเดาได้ว่าจากนิสัยบุ่มบ่ามของหลิงเซียว เดาว่าคงไม่มีใจมากพอไปก่อตั้งอำนาจอะไร ความรู้สึกนี้ก็เหมือนการเล่นหุ้นสมัยปัจจุบัน ที่เป็เพียงความคึกคะนองชั่วครู่
หลิงเซียวเอ่ย “ผูฉาน เ้าหนอนบ่อนไส้ถูกจับได้แล้ว ทังฝานไม่ได้จำกัดอิสระของข้าแล้ว ข้าจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้”
โหยวเสี่ยวโม่ส่งเสียง “อ้อ” สายตากลอกไปมา พลันขำแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก อยากไปกับข้าใช่หรือเปล่า?”
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้เก้อเขินเพราะถูกเดาทางได้ “ที่จริง ข้าก็ไม่ใช่ว่าต้องไปให้ได้ ถ้าหากท่านพอมีเวลา ท่านช่วยข้าซื้อพวกเนื้อกระต่ายหรือเนื้อแพะกลับมาได้หรือเปล่า?”
เขารู้ตัวว่าไม่ได้เก่งอะไร ตามไปด้วยมีแต่จะเพิ่มภาระให้หลิงเซียว
“เ้าลูกบอล?” หลิงเซียวกระตุกคิ้ว สายตาส่อแววยิ้มน้อยๆ เหมือนคิดเื่น่าขันบางอย่างได้
คิดไม่ถึงว่าเขาเดาได้ทันควัน โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้ปิดบัง หัวเราะฮี่ๆ “เ้าลูกบอลเป็สัตว์กินเนื้อ ทุกวันนี้เนื้อที่ข้าเก็บไว้ในห้วงมิติถูกมันกินเกือบหมดแล้ว ดังนั้นจึงอยากซื้อมาไว้สักหน่อย”
ห้วงมิติสามารถเก็บของสดได้ ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่คราวก่อนลงเขาจึงซื้อกลับมาจำนวนมาก แต่ส่วนตัวเขาชอบกินผักมากกว่า ดังนั้นกินเนื้อไม่ได้มากเท่าไร เนื้อจึงไม่ได้พร่อง
“ศิษย์น้องเล็ก…” หลิงเซียวมองเขาท่าทีหยอกล้อ ใบหน้ากลั้วขำ
“ทำไมเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่หดคอ รู้สึกเพียงว่าเขาหัวเราะแบบนี้ดูผิดปกติ อีกอย่างไม่ค่อยเห็นเขาหัวเราะแบบนี้เลย
“เ้ารู้รึเปล่าว่าปกติสัตว์ปีศาจชอบกินอะไร?”หลิงเซียวเอ่ยถามหน้าตายิ้มกริ่ม
“มันไม่ได้กินเนื้อเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยอย่างเก้อเขิน
หลิงเซียวอธิบายช้าๆ “ก็กินเนื้อนั่นแหละ แต่ไม่ใช่แบบที่เ้าเข้าใจ...”
เนื้อกระต่ายเนื้อแพะเป็อาหารของมนุษย์โลก สัตว์พวกนี้เป็เพียงสัตว์ธรรมดาไม่นับว่าเป็สัตว์ปีศาจ หมูหมาวัวพวกนี้ต่างจากสัตว์ปีศาจตรงที่พวกมันไม่สามารถฝึกพลังได้ กินพวกมันก็มีแต่ช่วยให้กายหยาบอิ่ม ดังนั้นสำหรับสัตว์ปีศาจขั้นกลางอย่างหมาป่าเืสีขาวขั้นแปด อาหารที่มันกินจึงไม่ใช่เนื้อธรรมดา
สัตว์ปีศาจก็มีคู่อริ และคู่อริมันก็คืออาหารของตัวเอง คู่อริของหมาป่าเืสีขาวคือแพะหมื่นปราณ
แพะหมื่นปราณกับหมาป่าเืสีขาวเป็สัตว์ปีศาจขั้นแปดเหมือนกัน แต่มันมีความต่างจากหมาป่าเืสีขาวอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ แพะหมื่นปราณกินพืช ซึ่งจะกินหญ้าเซียนเป็อาหาร ดังนั้นแหล่งที่่อยู่อาศัยมันจึงต้องเป็สถานที่ที่มีหญ้าเซียน นักฝึกตนในดินแดนหลงเสียงย่อมรู้ดีถึงข้อนี้!
“ดังนั้น...ความหมายของท่านคือต้องจับแพะหมื่นปราณให้เ้าลูกบอลกินงั้นเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลาย เอ่ยออกมาอย่างกล้ำกลืน
แพะหมื่นปราณเขาไม่เคยเจอในตำราสัตว์ปีศาจ เป็สัตว์ที่อยู่เป็ฝูง นิสัยอ่อนโยน หากอยู่อย่างสงบ แต่ถ้ารังควานพวกมันละก็ ดวงตาของแพะหมื่นปราณจะเปลี่ยนเป็แดงก่ำ เขาสองข้างบนหัวก็แดง แล้วเปิดฉากโจมตีผู้อื่นอย่างบ้าคลั่ง
แต่มันจะเป็แบบนี้เฉพาะกับนักฝึกตนที่เข้าหามันและกับสัตว์ปีศาจชนิดอื่น กับเืหมาป่าสีขาวนั้นต่างออกไป
เพราะเหมือนที่กล่าวไว้ สัตว์ปีศาจนั้นอ่อนไหวกับคู่อริของตนมาก แพะหมื่นปราณก็เหมือนกัน หากเพียงพบเข้ากับเืหมาป่าสีขาวเมื่อไหร่ มันก็จะเข้าสู่ลักษณะบ้าคลั่งอัตโนมัติ จากนั้นเริ่มจู่โจมหมาป่าเืสีขาว
แต่ลักษณะนี้นับเป็ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือไม่แบ่งมิตรและศัตรู
ความบ้าคลั่งบดบังสติสัมปชัญญะของพวกมัน ทำให้พวกมันจู่โจมทั้งศัตรูและมิตร ดังนั้นนักฝึกตนและนักหลอมโอสถส่วนน้อยที่จะเลือกทำสัญญากับสัตว์ชนิดนี้ ส่วนมากจะใช้พวกมันเป็อาหารมากกว่า เพราะเป็อาหารพิเศษที่ช่วยเพิ่มพลังได้
“เนื้อแพะหมื่นปราณนอกจากจะช่วยบำรุงเ้าลูกบอลได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยให้มันเติบโตได้รวดเร็ว โดยเฉพาะพวกที่โตเต็มวัยแล้ว เพราะพวกมันกินหญ้าเซียนเติบโต ดังนั้นเนื้อของมันจะเต็มไปด้วยพลังปราณ แม้กระทั่งนักฝึกตนก็ชอบกินเหมือนกัน”
หลิงเซียวเอ่ยพร้อมก็เผยสีหน้ากำลังหวนนึกถึงรสชาติ นี่คือจุดประสงค์แท้จริงของเขา
โหยวเสี่ยวโม่เบ้ปาก ดูท่าทางเขาก็รู้ว่าเคยกิน แต่มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ? เขารู้ว่าหลิงเซียวนั้นบางแง่มุมก็ค่อนข้างเลือกมาก เขาถึงขั้นเอ่ยปากชมน่าจะไม่เลวจริงๆ
สำหรับคนยุคปัจจุบันที่เคยกินเนื้อแพะนั้น เขาไม่ได้รู้สึกผิดมากมายนัก แต่หากให้เขากินเนื้อหมาป่า คงไม่มีทาง
“ศิษย์พี่หลิง ข้าได้ยินมาว่าแพะหมื่นปราณมีแค่ที่ป่าดับสูญ แต่ป่าดับสูญอยู่ไกลจากสำนักเทียนซินมาก แบบนี้ก็ต้องแยกไปต่างหากน่ะสิ?”
“ไม่จำเป็ ถึงเวลาเราลองสืบถามว่าที่ไหนมีประมูลขายเนื้อแพะหมื่นปราณก็พอ” หลิงเซียวเอ่ย
เพราะทั้งตัวแพะหมื่นปราณก็ล้วนมีค่า ดังนั้นนักฝึกตนไม่น้อยที่จะเข้าไปล่าแพะหมื่นปราณในป่าดับสูญ ขอแค่สืบข่าวว่าที่ไหนมีขายก็พอ
หลิงเซียวเมื่อได้พูดแล้วย่อมลงมือทำ หลังจากนั้นห้าวันเขาก็ลงเขา
ทว่ามีคนจับตาดูพฤติกรรมของพวกเขาทั้งสองทุกฝีก้าว เพื่อไม่ให้เป็จุดสนใจ เขาจึงไม่ได้พาโหยวเสี่ยวโม่ลงเขาไปด้วย
หลายวันถัดมา เขาก็มาพร้อมข่าวดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้