“พี่ใหญ่หวังไห่นี่เอง” หลี่ซานที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งเฮือก รีบลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าโดยพลัน
จ้าวซื่อก็สะดุ้งตื่นตามไปด้วย พบว่าเป็ใต้เท้าหลิวแห่งศาลาพักม้าที่ตำบลจินจี ซึ่งเคยพบกันมาสองครั้งแล้ว นางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ซาน พวกเขาคือคนที่เคยมาซื้อแป้งย่าง ท่านไม่ต้องใ”
หลี่ซานกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนความแปลกใจ “ใต้เท้ามาซื้อแป้งย่างหรือ”
“อีกประเดี๋ยวท่านก็ให้หรูอี้ไปคุยเถิด” จ้าวซื่อกล่าวกำชับ เมื่อเห็นหลี่ซานที่พาร่างแกร่งของตนวิ่งเหยาะๆ ออกไปจากห้องนอนก็อดยกมือขึ้นคลึงศีรษะตนเองไม่ได้ คิดในใจว่าในบ้านมีบุรุษที่เป็ผู้ใหญ่อยู่ด้วยนั้นช่างรู้สึกแตกต่างจากเมื่อก่อนเสียจริง
หลี่หรูอี้ที่อยู่ในห้องนอนของตนได้ยินเสียงพูดคุยกันจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็ชุดกระโปรงยาวสีฟ้า สวมเสื้อที่้ามีปกเสื้อสีแดง
ก่อนหน้านี้นางเห็นสองสามีภรรยาหลี่ซานนำอาภรณ์ชุดใหม่ของตนไปซักในน้ำรอบหนึ่งจนเนื้อผ้าอ่อนนุ่มและสีติดแน่นแล้ว เพียงแต่เสื้อตัวใหม่จะต้องสวมเข้าคู่กับกางเกงผ้าฝ้าย จึงทำให้ตัวใหญ่เป็พิเศษ เมื่อสวมลงบนร่างกายก็จะให้ความรู้สึกที่สวมใส่สบายและพอดีตัว
นางเดินไปปลุกหลี่สือ บอกให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
จ้าวซื่อเดินออกมา เมื่อเห็นบุตรสาวและอารอง ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อออกไปพบคนใหญ่คนโตจะต้องเปลี่ยนไปสวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่ รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างที่ไม่ทันได้เตือนสามี
คนที่หวังไห่พาฝ่าฝนมาถึงบ้านหลี่มีทั้งหมดเจ็ดคน ทุกคนสวมเสื้อคลุมและหมวกสาน ใต้เท้าหลิวและผู้ติดตามทั้งสองรู้จักหลี่หรูอี้แล้ว ส่วนคนที่เหลืออีกสี่คนเป็คนแปลกหน้า
ในหมู่คนทั้งสี่ ผู้เป็หัวหน้าก็คือ บุรุษวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงคิ้วเข้มหนา อีกคนหนึ่งเป็ชายชราร่างสมส่วนไว้เคราสีขาวโพลน อีกสองคนสุดท้ายเป็ชายหนุ่มท่าทางแข็งแกร่ง
หลี่ซานพาทุกคนมายังห้องโถงด้วยความสุภาพเรียบร้อย จากนั้นจึงนำคนในครอบครัวมาคุกเข่าทำความเคารพ “ผู้น้อยหลี่ซานคารวะใต้เท้าทั้งหลายขอรับ”
หลี่สือที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่คุกเข่าหดคออยู่ด้านหลังหลี่ซาน แม้มิได้ส่งเสียง ทว่าร่างกายที่สูงใหญ่เช่นนั้นย่อมไม่อาจทำให้ผู้อื่นมองข้ามไปได้เลย
หวังไห่กระซิบเสียงแ่ “หลี่สือน้องชายของหลี่ซานเป็คนด้อยสติปัญญา ไม่รู้กฎเกณฑ์ ขอใต้เท้าทั้งหลายโปรดละเว้นด้วยขอรับ”
บุรุษวัยกลางคนที่มีคิ้วเข้มเป็เส้นตรงและมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุด เขานั่งลงเป็คนแรก เมื่อมองสำรวจครอบครัวหลี่พบว่า มีสองคนที่สวมอาภรณ์ชุดใหม่ ทว่าเมื่อมองไปรอบๆ พบว่าเครื่องเรือนในบ้านล้วนเป็ของเก่าผุพัง ดูแล้วคงมีฐานะยากจน
ชายชราเคราแพะผู้มีสีหน้าอ่อนโยนนั่งอยู่ข้างบุรุษวัยกลางคน ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนยืนอยู่ทางด้านหลัง กระทั่งผู้ที่มีฐานะอย่างใต้เท้าหลิวก็ยังต้องยืน คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง โชคดีที่ห้องโถงมีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ
ใต้เท้าหลิวเห็นชายชราเคราแพะพยักหน้าเล็กน้อย จึงเอ่ยกับคนบ้านหลี่ว่า “พวกเ้าลุกขึ้นเถิด” จากนั้นจึงกล่าวแนะนำทุกคน
ที่แท้ชายวัยกลางคนคิ้วเข้มก็คือ จ้าวอี้ รองผู้ดูแลแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง ตำแหน่งทางราชการคือ ขุนนางขั้นหกชั้นพิเศษระดับบน ชายหนุ่มสองคนเป็องครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋อง เป็ผู้ติดตามของจ้าวอี้ ส่วนชายชราเคราแพะคือ ห่าวทง นายอำเภอของอำเภอฉางผิง ขุนนางขั้นเจ็ดระดับบน
หวังไห่ก็เพิ่งทราบฐานะของผู้มาเยือนเช่นเดียวกับคนบ้านหลี่ ถึงกับใจนสั่นสะท้าน
สายตาของจ้าวอี้มองไปที่ดรุณีน้อยผู้สวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่ที่ค่อนข้างใหญ่ มีใบหน้างดงามสดใส ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียว ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เ้าคือหลี่หรูอี้หรือ”
หลี่หรูอี้รักษาท่าทีอย่างรู้กาลเทศะ ตอบด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “เ้าค่ะ”
“เหล่าไท่เฟยและเยี่ยนหวังเฟยตรัสว่า เ้ายังเด็กนัก แต่เป็ผู้มีใจกตัญญู ทำหมวกนิรภัยให้บิดาและอาของเ้า ทรงมอบหมายให้ข้านำรางวัลมาให้เ้า ประทานปิ่นทองหนึ่งเล่ม ทองคำหนึ่งคู่” จ้าวอี้โบกมือครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านหลังนำกล่องไหมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดครึ่งชุ่นออกมาจากสาบเสื้อ และนำกล่องไหมวางลงบนโต๊ะแปดเซียน
หลี่หรูอี้มองไปยังกล่องไหมครู่หนึ่ง พบว่าบนกล่องสลักลายนกกระเรียน ทำให้รู้สึกยินดียิ่งนัก รีบคุกเข่าและค้อมศีรษะลง กล่าวเสียงดังกังวานว่า “ข้าน้อยหรูอี้ ขอบพระทัยเหล่าไท่เฟย เยี่ยนหวังเฟย ขอให้เหล่าไท่เฟยทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอให้เยี่ยนหวังเฟยสมปรารถนาทุกประการ”
ได้ยินดังนั้นจ้าวอี้กลับรู้สึกแปลกใจจนต้องก้มลงมองหลี่หรูอี้ใกล้ๆ อีกครั้ง พบว่าหลังใบหูและบริเวณลำคอของนางไม่มีเศษดินเศษทราย ดูสะอาดสะอ้าน เช่นเดียวกับห้องโถงของบ้านหลี่ที่ดูเป็ระเบียบเรียบร้อย จึงอดคิดไม่ได้ว่านางช่างเป็เด็กที่ฉลาดเฉลียวจริงๆ จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ข้าจะนำคำพูดของเ้าไปทูลต่อเหล่าไท่เฟยและเยี่ยนหวังเฟย”
จ้าวซื่อรีบดึงแขนหลี่ซานที่กำลังดีใจจนแทบจะเป็ลมให้คุกเข่าขอบคุณ
เมื่อครู่จ้าวอี้เห็นแล้วว่าท้องของจ้าวซื่อใหญ่โตจนน่าใ จึงรีบเอ่ยปากบอก “เ้าเป็สตรีมีครรภ์ใกล้จะคลอดแล้ว ไม่ต้องคุกเข่าหรอก”
หลี่หรูอี้รีบกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณใต้เท้าที่ใส่ใจเ้าค่ะ”
จ้าวอี้รอจนกระทั่งครอบครัวหลี่ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงมองไปยังหลี่ซานที่แย้มยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่เรียงรายเป็ระเบียบ พริบตานั้นกลับกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “เ้าพาข้าไปดูครัวของบ้านเ้าหน่อยเถิด”
คนบ้านหลี่ตะลึงงัน เหตุใดจ้าวอี้จึงอยากดูห้องครัวของบ้านตนเล่า?
หลี่หรูอี้ยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อหลี่ซาน กระซิบเสียงแ่ว่า “ท่านพ่อ ท่านรีบพาใต้เท้าไปที่ห้องครัวเถิด”
หลี่ซานเดินนำทางอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทีหวาดกลัว โดยมีจ้าวอี้ ห่าวทง และคนอื่นๆ เดินตามหลัง หลี่หรูอี้ส่งสายตาปลอบประโลมให้จ้าวซื่อสงบใจ จากนั้นจึงเดินตามไป
เมื่อก่อนครัวของบ้านหลี่มีหน้าต่างเพียงบานเดียว อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก ่กลางวันแสงส่องเข้ามาได้เพียงน้อยนิดจึงค่อนข้างมืดสลัว วันฝนตกก็มืดจนต้องจุดตะเกียง ทว่าตอนปรับปรุงบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน หลี่หรูอี้ให้คนตระกูลหวังขยับขยายห้องครัวและเจาะหน้าต่างบานใหญ่สูงสองชุ่นกว้างหนึ่งชุ่นกว่าเพิ่มเป็สี่บาน ทำให้มีแสงส่องเข้ามาเพียงพอ แม้เป็วันที่ฝนตกฟ้าครึ้มก็ยังมองเห็นภายในห้องได้อย่างสบาย
วันนี้ด้านนอกฝนตก ในห้องครัวมีหน้าต่างบานใหญ่สี่บาน ทำให้ห้องครัวสว่างพอๆ กับห้องโถง ไม่จำเป็ต้องจุดตะเกียงก็มองเห็นเครื่องครัว ตู้ไม้ โถไม้ และถังน้ำชัดเจน
ก่อนหน้านี้ห้องครัวของบ้านหลี่มีเตาหนึ่งเตาและกระทะเหล็กสองใบ สามารถนึ่งหมั่นโถว ย่างแป้ง ผัดผัก และต้มน้ำได้พร้อมกัน ทำให้อาหารเสร็จเร็ว
ผู้ติดตามทั้งสองแห่งจวนอ๋องเปิดฝากระทะเหล็กที่ตั้งอยู่บนหลุมเตาออกดู พบว่าด้านในมีตะหลิวเหล็กดูสะอาดสะอ้านวางอยู่ จากนั้นจึงเปิดตู้ไม้ที่ดูเก่าและผุพัง แต่กลับถูกเช็ดถูอย่างสะอาดสะอ้านจนเปล่งประกายออกดู พบว่ามีถ้วย กะละมัง และตะเกียบอยู่ด้านใน
จ้าวอี้หยิบฝาหม้อขึ้นมาดูด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแล้ววางลง จากนั้นจึงหยิบกะละมังไม้ขึ้นมามองไปถึงก้นกะละมังแล้ววางลงอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปดูโถใส่น้ำทั้งสองใบ
หลังจากสำรวจสิ่งของเรียบร้อยแล้ว ห่าวทงก็หยิบสิ่งของเ่าั้ขึ้นมาดูบ้าง สุดท้ายก็เป็ใต้เท้าหลิวที่หยิบขึ้นมาดูเช่นกัน
หลี่หรูอี้กล่าวขึ้นว่า “ห้องครัวของบ้านเราทำความสะอาดทุกวันวันละหลายรอบเ้าค่ะ”
จ้าวอี้กล่าวถาม “เ้าเป็คนทำความสะอาดหรือ”
หลี่หรูอี้ส่ายหน้า “ข้าน้อยทำความสะอาดไม่บ่อยนัก ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่พี่ชายทั้งสี่ของข้าน้อยเป็คนทำเ้าค่ะ แต่่นี้พวกพี่ชายไปเรียนที่สำนักศึกษา จึงให้ท่านอารองเป็คนทำความสะอาด”
จ้าวอี้นึกไปถึงบุรุษท่าทางโง่งมผู้นั้น อดย้อนถามไม่ได้ว่า “อารองหรือ”
หลี่หรูอี้รีบตอบ “ท่านอารองของข้าน้อยมีความคิดบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่เมื่อกระทำเื่ใดก็ไม่มีใจวอกแวก ทำความสะอาดได้ละเอียดถี่ถ้วนดีเ้าค่ะ”
จ้าวอี้พยักหน้า “คนด้อยสติปัญญาก็มีข้อดีสินะ”
หวังไห่รวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “บ้านหลี่เป็บ้านที่สะอาดลำดับต้นๆ ในหมู่บ้านพวกเราเลยขอรับ”
จ้าวอี้และคนอื่นๆ เดินสำรวจในห้องครัวอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อสำรวจเสร็จก็อยากไปดูที่เก็บเสบียงของบ้านหลี่ต่อ
หลี่ซานจะทราบถึงจุดประสงค์ของจ้าวอี้และคนอื่นๆ ได้อย่างไรกัน ยังคงพาพวกเขาไปดูห้องใต้ดินที่อยู่ใต้บ้านอย่างเชื่อฟัง
หลี่หรูอี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับใต้เท้าหลิวและผู้ติดตามของเขาแล้วจึงแอบถามผู้ติดตามคนหนึ่งที่เดินอยู่หลังสุดว่า “ท่านอาเ้าคะ จวนอ๋อง้าซื้อแป้งย่างของพวกเราหรือเ้าคะ”
.............................