บนทะเลสาบขนาดมหึมานี้มีหมู่เกาะจำนวนมากมายมหาศาลตั้งอยู่ทุกๆ เกาะล้วนเชื่อมต่อถึงกันและแต่ละเกาะต่างก็มีกลุ่มชนเผ่าอาศัยอยู่และก่อตั้งเป็ประเทศของตัวเอง
ซึ่งกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดจนเป็ดั่งผู้นำบนผืนน้ำแห่งนี้คือกลุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็ดั่งลูกหลานแห่งเทพสมุทรอย่าง “กลุ่มพันธมิตรเผ่าฝูโป”
ถึงกลุ่มของเผ่าฝูโปนี้จะมีชื่อเรียกว่ากลุ่มพันธมิตรก็ตามแต่ในความเป็จริงแล้ว ความเข้มแข็งของมันนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพวกอาณาจักรมหาอำนาจทั้งหลายเลยอีกทั้งกลุ่มชนเผ่าหมู่เกาะเหล่านี้ต่างก็นับถือและศรัทธาในความเชื่อเื่ของเทพสมุทรเหมือนกันทำให้ความสัมพันธ์ของแต่ละอาณาจักรบนหมู่เกาะเหล่านี้ต่างก็เหนียวแน่นกันมากจนทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
และเพราะว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นเผ่าฝูโปเคยผลิตยอดฝีมือที่แข็งแกร่งจนชื่อเสียงสั่นะเืไปทั่วทวีปชี่อู่นี้มาแล้วหลายคนทำให้ชนเผ่าของพวกเขานั้นสามารถขึ้นเป็หนึ่งเหนือทุกชนเผ่าทั้งหมดในผืนทะเลสาบั์แห่งดินแดนภาคใต้ได้
และตอนนี้เอง ภายในอาณาเขตที่ชนเผ่าฝูโปปกครองอยู่นั้นบนเกาะที่อยู่ส่วนใต้สุดของหมู่เกาะนี้ “เกาะชมฟ้า”มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นแบบชั่วคราวตั้งอยู่
ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เป็สัญลักษณ์ของดินแดนจากภายนอกอย่างชัดเจนบ้างก็มีหลังคาทรงกลมเหมือนก้อนเค้ก้ายังถูกเคลือบเอาไว้ด้วยของล้ำค่าอย่างทองคำอีกด้วยบ้างก็มีลักษณะเป็พระตำหนักชั่วคราวที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้หยกสีดำที่ไม่รู้จักชื่อเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันแสนมืดมนั้แ่ด้านในจนถึงด้านนอก
นอกจากนี้ยังมีกระท่อมที่มีลักษณะของเหล่าชนเผ่าท้องถิ่นพระตำหนักที่สร้างจากไม้ที่ดูปกติกว่าหลังอื่นๆ รวมไปถึงเหล่ากระโจมแบบเิกู่ ที่ดูหรูหราอลังการตั้งอยู่ด้วย
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็ห้ากลุ่มได้อย่างชัดเจนโดยทั้งหมดล้วนตั้งอยู่บนเกาะชมฟ้านี้ซึ่งพวกนี้ก็คือเหล่ามหาอำนาจทั้งห้ากลุ่มที่เข้าร่วมการสำรวจทะเลสาบเมฆาอัสนีที่จีหยูยี่เคยพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้
ราชอาณาจักรเทียนฉาง ราชอาณาจักรเิจี๋เลี่ยชนเผ่าฝูโป กลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าและกลุ่มของลัทธิศาสนาขนาดใหญ่ที่มีพลังอำนาจไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าอาณาจักรมหาอำนาจเหล่านี้เลยอย่างลัทธิหมื่นิญญา
ตอนนี้เอง ภายในสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนพระราชวังแบบโบราณที่สร้างขึ้นมาแบบชั่วคราวอยู่หลายหลังของกลุ่มพันธมิตรใต้หล้านั้นมีอยู่หลังหนึ่งที่อยู่ๆก็เกิดมีแสงของพลังฟ้าดินสว่างวาบขึ้น หลังจากนั้นทหารยามสองนายที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าของพระราชวังก็รีบประกาศออกไปที่ด้านนอกว่า
“ประกาศไข่มุกทลายโลกาพาคนมาเพิ่มอีกแล้ว!!”
เสียงประกาศดังออกไปไกลหลายกิโลเมตรทำให้เหล่าบุคคลระดับสูงของกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าเกิดความตื่นตระหนกขึ้นทันที
ส่วนหลินหยางนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากช่องว่างมิติพร้อมกับเสียงป่าวประกาศนั้น
มึนหัวนิดๆ
นี่เป็ประสบการณ์ครั้งแรกของหลินหยางในการเดินทางไกลผ่านช่องว่างมิติแบบนี้เขาต้องลอยเคว้งอยู่ในมิติเวลานานถึงสามสิบวินาทีเต็มๆ
ต้องทราบก่อนว่าระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางผ่านช่องว่างมิติจากเมืองชิงเหลียงที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรชูอวิ๋นมาจนถึงเมืองอวิ๋นเฉิงซึ่งมีระยะทางหลายหมื่นลี้นั้นอย่างมากก็ใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งวินาทีเท่านั้น ดังนั้นสถานที่ที่เขากำลังยืนอยู่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลจากอาณาจักรชูอวิ๋นมากแค่ไหน
แต่เ้าหั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนไหล่ของเขาตอนนี้กลับดูคึกคักอักโขพอมาถึงมันก็กระพือปีกออกไปบินว่อนไปทั่วห้องทันที
“โอ๊ยที่นี่มันเปียกชื้นเกินไปนะ เ้าหลินอี้น้อย ข้าไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย”
หลินหยางเองก็ััได้ถึงความชื้นและกลิ่นของน้ำเกลือที่ลอยมาปะทะใบหน้าของเขาอีกทั้งยังได้ยินเสียงสาดซัดของคลื่นน้ำในทะเลดังขึ้นเบาๆ อยู่ที่ข้างหูเขาด้วยคิดว่าที่ๆ ตัวเขากำลังยืนอยู่นี้น่าจะอยู่ห่างจากทะเลไปไม่ไกลมากนัก
เขาค่อยๆ ขยับร่างกายตัวเองไปมาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงพูดอันคุ้นหูลอยเข้ามา
“ท่านปล่อยให้พวกเรารอกันนานมากเลยนะคุณชายหลิน ฮ่าฮ่าฮ่า!”
มีชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ที่ไว้หนวดเครายาวเฟื้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างในชายผู้นี้ก็คือเถ้าแก่เทพยุทธ์โชคลาภแห่งหอฟ้าสมุทร ณเมืองฮุยยื่อที่มีชื่อจริงว่า กวันสี นั่นเอง
หลินหยางเคยรู้จักกับกวันสีอยู่แล้วย่อมต้องมีความรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับอีกฝ่ายอยู่บ้างจึงกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเถ้าแก่กวัน หลินหยางคงไม่ได้มาสายเกินไปใช่ไหม”
“ฮ่าฮ่า ไม่สายไม่สายท่านมาถึงก่อนที่จะออกเรือเป็รอบที่เก้าในอีกสามวันพอดีเลือกเวลาได้เหมาะสมดีแล้ว”
“นับว่าโชคดีมากเลยนะนี่”
“นั่นสิก่อนหน้านี้ท่านเถ้าแก่จียังกังวลอยู่เลยว่า ถ้าคุณชายหลินท่านมาไม่ทันการออกเรือรอบนี้ก็คงรอต้องไปอีกราวๆ ครึ่งเดือนเลยทีเดียว... มาๆ เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปหาเหล่าเถ้าแก่ใหญ่ของพวกเรากลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้ากัน”
เถ้าแก่ใหญ่ หรือก็คือเถ้าแก่ระดับห้าดาวซึ่งเป็ตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้า
จากคำบอกเล่าของจีหยูยี่ที่เคยบอกไว้เมื่อก่อนหน้านี้ทำให้รู้ว่าการออกสำรวจทะเลสาบเมฆาอัสนีคราวนี้ทั้งห้าขุมอำนาจใหญ่ล้วนส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งยอดเยี่ยมที่สุดของตัวเองออกมาซึ่งกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าเองก็เช่นกัน
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้าุโระดับห้าดาวทั้งเจ็ดคนนั้นเป็คนอย่างไรกันบ้าง?
หลินหยางเดินตามกวันสีออกไปจากห้องพร้อมกับคำถามต่างๆในหัวมุ่งหน้าเข้าสู่พระตำหนักหลังหนึ่งที่ดูยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดแถวนี้
ระหว่างทางนั้นหลินหยางเห็นเหล่านักรบของกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าแต่ละคนที่อยู่ที่นี่แล้วไม่มีใครที่มีความสามารถระดับต่ำกว่าเซียนเทียนขั้นท้ายเลยแม้แต่คนเดียว จำนวนคนทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ประมาณเกือบหนึ่งร้อยคน
ส่วนพวกระดับหัวหน้าหน่วยหลายคนในนั้นก็ล้วนมีความสามารถสูงถึงระดับอวิ้นหลิงขั้นต้นแล้วด้วยยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงที่มีฐานะสูงส่งในอาณาจักรชูอวิ๋นนั่นพอมาอยู่ที่นี่กลับเป็ได้แค่นักรบระดับหัวหน้าหน่วยเท่านั้นเอง
รวมไปถึงยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงขั้นต้นอย่างกวันสีผู้นี้เองก็มีหน้าที่เป็แค่คนมารอต้อนรับหลินหยางเท่านั้น ส่วนผู้มีอำนาจที่แท้จริงนั้นล้วนนั่งรอพวกเขาอยู่ในพระตำหนักกันทั้งนั้น
ในขณะที่หลินหยางกำลังแอบสังเกตการณ์พื้นที่บริเวณนี้อยู่นั้นกวันสีก็ได้พาเขาเดินมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าพระตำหนักแล้วพร้อมกับส่งเสียงขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งแรงชัดเจนว่า “ท่านผู้เฒ่าใหญ่ทั้งสาม คุณชายหลินมาถึงแล้ว”
“เชิญเขาเข้ามาก่อนเถอะ”
เสียงที่ตอบรับกลับมานั้นเป็เสียงที่ไพเราะน่าฟังดั่งเสียงสั่นไหวของกระดิ่งเงิน เป็เสียงที่หลินหยางค่อนข้างคุ้นหูเสียงของจีหยูยี่นั่นเอง
ประตูถูกเปิดออกหลินหยางย่างก้าวเข้าสู่ด้านใน ภายในนั้นเป็ห้องโถงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดมหึมา
มีเก้าอี้สามตัวถูกวางอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่าบนนั้นมีผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนกำลังนั่งอยู่ ซึ่งจีหยูยี่คือหนึ่งในนั้น
ด้านหน้าของเก้าอี้สามตัวนั้นมีเก้าอี้อีกแปดตัวที่ตั้งหันหน้าเข้าหากันเป็คู่ๆ ทั้งหมดสี่คู่ซึ่งเจ็ดตัวจากทั้งหมดก็ล้วนมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วเหลือเว้นว่างไว้เพียงหนึ่งที่เท่านั้น
ทันทีที่หลินหยางเดินเข้ามาสายตาของคนทั้งหมดก็หันมาจับจ้องที่ตัวเขาทันที
สายตาของพวกเขานั้นแฝงไว้ด้วยความสงสัยความแปลกใจ และอื่นๆ อีกหลายความรู้สึกผสมปนกัน แต่โดยรวมแล้วมีอยู่ความรู้สึกแบบหนึ่งที่หลินหยางสามารถััได้จากพวกเขาทุกคนเลยก็คือ... ความผิดหวัง
ถึงขนาดที่มีชายหนุ่มผิวดำรูปร่างกำยำคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวก่อนนะ จีหยูยี่ไอ้เ้าหลินหยางที่เ้าพูดถึงบ่อยๆ นั่น เ้าหมายถึงไอ้หนูนี่ที่ระดับพลังยังไปไม่ถึงขั้นอวิ้นหลิงเลยคนนี้หรือ??”
หึๆ...
ภายในห้องโถงเกิดเสียงหัวเราะแห้งๆ เหมือนกำลังฝืนกลั้นหัวเราะอยู่ดังขึ้น
หลินหยางที่ยืนเผชิญหน้าอยู่ตรงนั้นยังคงนิ่งสงบ ไม่มีท่าทีร้อนรนอะไร
ั้แ่ครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องโถงนี้เขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าจะเกิดเื่ประมาณนี้ขึ้น
เพราะว่าเมื่อเทียบกับคนทั้งหมดที่อยู่ในห้องโถงนั้นแล้วตัวเขาเองนั่นแหละที่มีระดับพลังต่ำที่สุดแม้แต่คนที่ทำหน้าที่นำทางให้เขาอย่างกวันสีนั้นยังเป็ถึงยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงขั้นต้นเลยหลินหยางที่เป็แค่ระดับสูงสุดของเซียนเทียนนั้นถ้าไม่โดนดูถูกต่างหากที่เป็เื่แปลก
ตรงหน้าเขาจีหยูยี่ที่เมินคำพูดของชายผู้นั้นไปโดยสิ้นเชิงก็ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับแนะนำตัวหลินหยางให้กับคนอื่นๆ ว่า
“ทุกท่านข้าขอแนะให้พวกท่านได้รู้จักกับท่านผู้นี้เขาก็คือบุคคลสำคัญของฝ่ายเราที่ข้าเป็คนไปเชิญเขามาโดยเฉพาะ นามว่าหลินหยางหรือที่ข้าเรียกว่า คุณชายหลิน นั่นเอง”
โดยที่ไม่รอให้ผู้อื่นตั้งคำถามจีหยูยี่ได้พาหลินหยางมายืนอยู่ตรงหน้าของชายสองคนที่อยู่ข้างๆ นางแล้วก็แนะนำตัวให้หลินหยางฟังว่า
“คุณชายหลิน ทั้งสองท่านนี้คือผู้นำทีมสำรวจของพวกเรากลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าในการออกผจญภัยครั้งนี้ท่านเถ้าแก่ใหญ่ดาวเหลือง หวงซาง และท่านเถ้าแก่ใหญ่ดาวน้ำงิน หลานไห่”
หลินหยางมองไปทางผู้ทรงอิทธิพลทั้งสอง
เป็อย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย ทั้งสองท่านนี้เป็ตัวตนระดับอวิ้นหลิงขั้นท้าย
ในทวีปชี่อู่นี้ระดับอวิ้นหลิงขั้นท้ายนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลาย
อย่างเถ้าแก่ใหญ่ดาวเหลือง หวงซางท่านนี้ มีชื่อเสียงโด่งดังเป็อันดับต้นๆ ของทวีปชี่อู่ั้แ่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว“แส้ดาวตก์” ซึ่งเป็ยุทธภัณฑ์ระดับวิถีราชันนั้น ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็ผู้ไร้เทียมทานในฐานะผู้ใช้วิชาแส้เลยทีเดียวไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะกลายเป็เถ้าแก่ใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าไปแล้ว แค่มองก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็ตัวแทนฝั่งบู๊ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา
ดูจากภายนอกแล้วทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะมีอายุเกือบครบร้อยปีแล้วแต่เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับผู้เฒ่าที่อายุแปดสิบกว่าปีอย่างอี้ชังไห่แล้วเขากลับดูแข็งแรงกำยำกว่ากันเยอะ
ถึงเขาจะมีผมขาวโผล่มาให้เห็นอยู่บ้างแล้วก็ตามแต่ดูท่าทางกระดูกและกล้ามเนื้อยังคงแข็งแรงทนทานหัวใจยังคงเต้นอย่างสม่ำเสมอดุจเข็มนาฬิกา แววตาแหลมคมดุจพยัคฆ์ที่กำลังซ่อนเขี้ยวเล็บเป็ตัวตนที่ดูคล้ายกับพยัคฆ์ร้ายที่มากด้วยประสบการณ์ ถึงแม้จะแค่นั่งอยู่เฉยๆก็ดูทรงพลังจนยากหาผู้ใดเปรียบเทียบแล้ว
ข้างกันนั้น เถ้าแก่ใหญ่ดาวน้ำเงิน หลานไห่เองก็เป็คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังสุดๆ ในทวีปชี่อู่เช่นกัน
ระดับพลังฝีมือของหลานไห่เองก็อยู่ที่ระดับอวิ้นหลิงขั้นท้ายเหมือนกันแต่ดูจะด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหวงซางแต่หลินหยางสามารถสังเกตเห็นถึงความแตกต่างของสองมือของคนผู้นี้ได้
เป็สองมือที่มีลักษณะเฉพาะตัวอันโดดเด่นของผู้เป็นักการช่างเป็มือที่เต็มไปด้วยรอยด้านหนาและคราบเขม่าดูแข็งกระด้างและเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ในตอนนั้นเอง จีหยูยี่ที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังแนะนำตัวหลานไห่อยู่พอดี“คุณชายหลิน พอพูดถึงเถ้าแก่หลานไห่แล้วในโลกของนักการช่างบนทวีปชี่อู่แห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักยอดปรมาจารย์ท่านนี้เป็แน่ไข่มุกทลายโลกาเองก็ได้ท่านเถ้าแก่หลานผู้นี้เป็คนสร้างขึ้นเช่นกัน”
อย่างนี้นี่เอง หลินหยางเข้าใจแล้ว
การที่สามารถสร้างอุปกรณ์ที่ช่วยร่นระยะการเดินทางอันมหาศาลได้ง่ายๆแบบนี้ เกรงว่าความสามารถด้านการช่างของหลานไห่น่าจะเหนือกว่าซ่างกวันหงเสียอีก
พอแนะนำตัวคนทั้งสองเสร็จแล้วจีหยูยี่ก็แนะนำอีกเจ็ดคนที่เหลือที่อยู่ด้านล่างต่อ
“พวกเขาเหล่านี้ก็คือสมาชิกที่เข้าร่วมการสำรวจที่พวกเรากลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าเป็คนเชิญมา...”
จีหยูยี่ค่อยๆ แนะนำไปทีละคนให้หลินหยางรู้จักผู้ที่ถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลั์ใหญ่อย่างกลุ่มพันธมิตรการค้าใต้หล้าเชิญมาแบบนี้ย่อมต้องไม่ใช่พวกตัวกระจอกธรรมดาๆ แน่นอน
อย่างไอ้คนที่มีผิวสีดำร่างกำยำที่เมื่อครู่นี้มาถึงก็พูดจาถากถางแบบไม่เกรงใจเลยคนนั้นเขาเป็ถึงโจรสลัดที่มีชื่อเสียงเป็อันดับต้นๆ ของมหาทะเลสาบแห่งดินแดนภาคใต้นี้ผู้คนเรียกเขากันว่า “วายุทมิฬ เซวี่ยเทียน”เป็ยอดฝีมือระดับจุดสูงสุดของอวิ้นหลิงขั้นกลางความสามารถไม่ต่างจากซ่างกวันหงมากนัก
โจรคุณธรรมผู้นี้เป็คนที่มีลักษณะนิสัยตรงไปตรงมาเป็คนหยาบกระด้างที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้น
ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่เขาจะพูดจาถากถางใส่หลินหยางต่อให้เป็คนอื่นที่ไม่ใช่หลินหยางแต่มีระดับพลังอยู่แค่ระดับเซียนเทียนแล้วเดินเข้ามาในห้องนี้ เขาก็ย่อมต้องรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่แล้วอีกทั้งการไปสำรวจในทะเลสาบเมฆาอัสนีเองก็มีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงจนอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเลยด้วยซ้ำดังนั้นไม่ว่าใครก็คงไม่อยากจะพาตัวถ่วงแบบนี้ไปด้วยหรอก
ซึ่งคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่นั้น จากที่หลินหยางตรวจสอบดูก็พบว่าอย่างต่ำที่สุดก็มีระดับพลังอยู่ที่อวิ้นหลิงขั้นกลางกันแล้วแถมแต่ละคนก็ล้วนมีทักษะวิชาที่เป็เอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเองและล้วนเป็คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังบนทวีปชี่อู่อีกด้วย
แต่มีอยู่สองคนในนั้นที่ดึงดูดความสนใจของเขาเอาไว้
คนแรกเป็ชายหนุ่มวัยรุ่นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวแรกของฝั่งซ้าย
คนผู้นี้น่าจะยังมีอายุไม่ถึงสามสิบปีแล้วน่าจะเป็คนหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องนี้ด้วย
เขาสวมใส่ชุดสีขาวที่คลุมทับไว้ด้วยผ้าคลุมยาวๆสีขาวอีกชั้นหนึ่ง เป็คนที่หน้าตาหล่อเหลา ดูองอาจและมีเสน่ห์เป็พวกที่สามารถทำให้หญิงสาวลุ่มหลงได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่หลินหยางสังเกตเห็นก็คือพลังฟ้าดินที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายของชายผู้นี้เป็พลังฟ้าดินที่มีสีเป็สีทองอ่อนๆ
นี่ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของพลังฟ้าดินของแต่ละคนที่จะปรากฏขึ้นหลังจากฝึกไปถึงระดับเซียนเทียนแต่เป็พลังฟ้าดินแบบพิเศษที่เกิดขึ้นมาจากการฝึกฝนวิชาเฉพาะบางอย่างเหมือนกับพวกของหลินไป๋ชวน
ตอนที่จีหยูยี่กำลังแนะนำตัวชายผู้นี้อยู่นั้นหลินหยางสามารถััได้ถึงน้ำเสียงที่แปลกไปของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน “คุณชายหลิน ท่านนี้คือคุณชายมู่หยงไป๋ จาก ‘ลัทธิเซิ่ง’ซึ่งเขาเป็ลูกศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามของลัทธิด้วยนะ!”
หลินหยางหันไปพยักหน้าให้กับมู่หยงไป๋
ในอาณาจักรเล็กๆ อย่างอาณาจักรชูอวิ๋นนั้นเขาไม่เคยได้ยินชื่อของลัทธิเซิ่งนี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ดูท่าทางแล้วลัทธินี้จะต้องเป็ขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังไม่แพ้ใครแน่นอน