ขบวนรถม้าถูกฝูงชนขวางอยู่จนต้องจอดนิ่ง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนและ เหล่าสาวใช้ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ที่อยู่บนรถม้าของจวนตนเองต่างออกมาชมความคึกคัก ในขณะที่เหตุการณ์กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าประตูเมือง
"ใครกันมาขวางทางไว้ ถอยออกไปๆ"
สายตาของผู้คนเลื่อนไปมองด้านหลัง มีรถม้าอีกขบวนโผล่มาจากอีกด้านหนึ่ง ผู้นั่งอยู่บนหลังอาชาตัวพ่วงพีก็คือคุณชายจากตระกูลสูงวัยหนุ่มแน่นท่าทางหยิ่งทะนง บ่าวชายผู้ติดตามที่ขนาบอยู่สองด้านกำลังเอ่ยปากไล่คนให้หลบทาง
เนื่องจากรถม้าเคลื่อนมาเร็ว กลุ่มคนจึงรีบแยกย้ายออกไปข้างทางอย่างรวดเร็ว
รถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหรางดงามสองสามคัน เป็รถที่มาส่งเหล่าคุณชายจนมาถึงที่เกิดเหตุ
"นี่เกิดเื่อะไรขึ้น" คุณชายท่าทางเ็าผู้หนึ่งซึ่งดูเเหมือนว่าจะเป็ผู้นำกลุ่ม เห็นทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ใบหน้าพลันแข็งกร้าวเผยความไม่พอใจออกมาหลายส่วน
"รถชนคน รถชนคน" ชายชราที่นอนอยู่บนพื้นเห็นคนเริ่มมามุงกันอย่างคึกคักก็ยิ่งะโเรียกร้องความสนใจ กอดขาของตนเองกลิ้งเกลือกอยู่ที่พื้น ท่าทางคล้ายเจ็บจนลุกไม่ขึ้น ความสนใจของทุกคนจึงถูกดึงไปที่คนบนพื้น และมองไปยังรถม้าที่อยู่ตรงข้าม
"น้องสาม นี่เป็รถของเ้าหรือ" น้ำเสียงตื่นเต้นดังขึ้นดึงดูดสายตาผู้คนทั้งหมด ใบหน้าสะสวยอ่อนหวานโผล่ออกมาจากรถคันที่อยู่ด้านหลังของคุณชายท่าทางเ็าผู้นั้น
นางแต่งกายด้วยอาภรณ์สีสว่างสดใสขับเน้นให้ใบหน้าพริ้มเพรายิ่งดูงดงามเจิดจรัส มวยผมบนศีรษะปักปิ่นทองฝังไข่มุกเป็รูปดอกไม้ สวมตุ้มหูหยกสีเขียวมรกต ในความสง่างามเผยความอ่อนหวานชดช้อยเหมาะสม แม้จะแต่งกายมาอย่างพิถีพิถัน แต่กลับดูเป็ธรรมชาติไร้ที่ติ
เป็โฉมสะคราญผู้งามสง่าและสุขุมนุ่มลึก
ทันทีที่ได้ยินเสียง โม่เสวี่ยถงซึ่งอยู่ในรถม้าคันแรกร่างกายแข็งเกร็งอย่างเห็นได้ชัด กระแสเย็นะเืสายหนึ่งพาดผ่านดวงตากระจ่างใส
โม่เสวี่ยิ่!
นางจะลืมชื่อคนที่ตนเองเกลียดชังเข้ากระดูกดำผู้นั้นได้อย่างไร แม้จะตกนรกซ้ำ หรือต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกกี่รอบก็ไม่มีวันลืมเลือน...
โม่เสวี่ยิ่ดักรอนางอยู่ที่นี่จริงๆ ซ้ำยังปรากฏออกมาได้จังหวะพอดีอีกด้วย...
"พี่หญิงใหญ่? พี่หญิงใหญ่ได้ข่าวจึงมารับข้าหรือ ที่นี่คนเยอะไม่ใช่เวลามาพูดคุย น้องสาวต้องขอขอบคุณพี่หญิงใหญ่เ้าค่ะ" น้ำเสียงอ่อนหวานที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนทอดผ่านออกจากรถ เสียงไพเราะน่าฟังเช่นนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบพากันเงียบเสียงลงฉับพลัน ธิดาสกุลไหนกันหนอเพียงแค่เสียงที่ได้ยินยังมีเสน่ห์เย้ายวนถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มรูปงามประดุจหยกที่อยู่ในรถม้าหรูหราวางหนังสือในมือลง ดวงตาพราวระยับเผยความรู้สึกสนใจออกมาแจ่มแจ้ง นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเงี่ยหูฟังรายละเอียดด้านนอกอย่างตั้งใจ
"ใครกันหรือ" ผู้ที่เป็ผู้นำในขบวนรถของโม่เสวี่ยิ่ก็คือโหยวเยวี่ยเฉิงรัฐทายาท[1]ิกั๋วกง เวลานี้ดวงตาของเขาเหลือบไปหาโม่เสวี่ยิ่ เอ่ยถามพลางมุ่นคิ้วขมวด
"เป็น้องสาวคนที่สามของบ้านข้าเอง เพิ่งเดินทางจากเมืองอวิ๋นเฉิงมาเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าจะมาก่อเื่แบบนี้ขึ้น แต่ไหนแต่ไรน้องสามถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ ย่อมไม่รู้จะจัดการกับเื่นี้อย่างไรเป็แน่" โม่เสวี่ยิ่ก้าวลงมาจากรถ ชุดกระโปรงสีชมพูปักลายผีเสื้อที่สวมใส่ยิ่งขับผิวกายนางให้ดูขาวกระจ่างราวกับหิมะ กล่าวคำอธิบายต่อโหยวเยวี่ยเฉิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากนั้นก็รับหมวกเหวยเม่าที่ต่อชายด้วยแพรไหมสีนิลมาสวมอย่างสง่าผ่าเผย
คำกล่าวนี้แม้ฟังดูจะเป็การช่วยอธิบายให้โม่เสวี่ยถง แต่กลับเป็การป้ายความผิดไปที่นางโดยตรง ชี้ให้เห็นว่านางเป็คนหยิ่งผยอง แค่เข้าเมืองมาก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่สั่งให้คนบังคับรถชนคน แววตาของโหยวเยวี่ยเฉิงดำทะมึนขึ้นหลายส่วน แม้ว่าเขาจะติดนิสัยลูกผู้ดีมีเงินอยู่บ้าง แต่กลับทนเห็นการกระทำที่วางอำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังร่ำเรียนวรยุทธ์ ตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพก็มิใช่ตำแหน่งที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เขามีกองกำลังที่ห้าวหาญเป็ของตนเอง เมื่อครู่เพราะได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะอ่อนหวานของโม่เสวี่ยถง จึงทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีด้วย แต่ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของโม่เสวี่ยิ่ก็พลันเปลี่ยนมาเป็ความไม่พอใจ
"น้องสาวคนที่สามของคุณหนูใหญ่โม่ที่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิงน่ะหรือ ใช่น้องสาวคนที่เขาลือกันว่าไม่ชอบพูดจา และมักก้าวร้าวไร้มารยาทกับผู้ใหญ่ ทั้งพิณหมากอักษรภาพวาดล้วนไม่ชำนาญสักอย่างใช่หรือไม่" ม่านรถอีกด้านหนึ่งถูกยกขึ้น คุณหนูใหญ่อีกคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ข่าวลือนั้นมีข้อผิดพลาด น้องสามของบ้านข้าเป็คนดีคนหนึ่ง แม้พิณหมากจะไม่ค่อยดีนัก... แต่เื่อื่นๆ ล้วนเหลวไหลทั้งสิ้น" โม่เสวี่ยิ่พูดตะกุกตะกักแก้ต่างให้โม่เสวี่ยถง แม้ว่าภาพลักษณ์จะเป็พี่สาวผู้แสนดีที่ปกป้องน้องสาว แต่ก็ทำให้ผู้ฟังเกิดความแคลงใจในตัวโม่เสวี่ยถงและยิ่งรู้สึกยอมรับมากขึ้น
เมื่อกล่าวจบ โม่เสวี่ยิ่ก็หมุนตัวไปหาโม่จิ่นที่อยู่ด้านหลังและกล่าวอย่างอ่อนโยน "โม่จิ่น เอาเงินไปมอบให้ท่านลุงผู้นั้น บอกเขาให้ไปรักษาขาก่อน หากมีปัญหาจริงๆ สามารถไปหาพวกเราที่จวนโม่ได้ทุกเมื่อ ถูกรถชนได้รับาเ็เช่นนี้ หากมัวแต่อยู่ที่นี่ไม่รีบไปรักษาจะไม่ทันกาล เกิดถูกตัดขาขึ้นมาจริงๆ ต่อไปคงหมดทางทำมาหากินแล้ว" ท่าทางอ่อนโยนมีเมตตาสงสารต่อคนตกยาก ทำให้คนรู้สึกดีด้วย
โม่จิ่นรีบหยิบเงินก้อนหนึ่งไปมอบให้ถึงมือของชายชรา ทั้งยังกล่าวด้วยความใส่ใจ ว่าออกจากถนนสายนี้ไปไม่ไกลจะมีโรงหมอแห่งหนึ่ง ให้เขารีบไปรักษา
คนหนึ่งหยิ่งผยองชนคนแล้วยังทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้นั่งอยู่แต่ในรถ ไม่เผยใบหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนจะปัดเื่ให้พ้นทาง
ส่วนอีกคนมาพูดปลอบโยนอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งยังให้คนนำเงินมาให้เป็ค่ารักษา ไม่ปัดความรับผิดชอบ ทั้งยังบอกด้วยว่าหากมีปัญหาก็สามารถไปหาที่จวนโม่ได้โดยตรง
ระหว่างทั้งสองคนใครเป็ฝ่ายมีชัย มองแค่ปราดเดียวก็ประเมินได้แล้ว
สายตาดูิ่เหยียดหยามของผู้คนต่างพุ่งไปที่รถม้าของโม่เสวี่ยถง
ชายชราที่ล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น พอได้รับเงินก็หน้าตาชื่นบานยิ้มจนไม่เห็นดวงตา ลุกขึ้นมานั่งทันที แล้วหันไปทางโม่เสวี่ยิ่ประสานมือคำนับขอบคุณไม่หยุดปาก กล่าวว่านางคือเทพธิดามาจุติโดยแท้ จึงมีจิตใจงดงามเพียงนี้ ทั้งยังกล่าวตัดพ้อต่อว่า์ช่างไม่มีตา ไฉนจึงให้เทพธิดาผู้ดีงามต้องมีน้องสาวชั่วร้ายเยี่ยงนี้
มีชายหนุ่มคนหนึ่งจากข้างทางวิ่งเข้ามาช่วยประคองชายชราให้ลุกขึ้นอย่างมีน้ำใจ แล้วก็เดินจากไป
เพียงแค่คนหายไปก็ไม่มีหลักฐานใดให้ขุดคุ้ยได้อีก โม่เสวี่ยิ่ช่างร้ายนัก เสียดายเมื่อชาติภพก่อนนางนึกว่าอีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยน้ำใสใจจริง นางจึงมอบความจริงใจให้ จนกระทั่งเกือบวาระสุดท้ายของชีวิต ถึงได้กระจ่างแจ้งว่าผู้ที่สร้างโศกนาฏกรรมให้ชีวิตนางก็คือพี่สาว ‘ผู้แสนดี’ ผู้นี้เอง
โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ พลางร้องถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลออกไปนอกรถ "ช้าก่อน... ท่านผู้าุโ ท่านควรจะรอให้ความจริงกระจ่างแจ้งก่อนมิใช่หรือ พี่หญิงใหญ่เพิ่งมาถึงแท้ๆ แต่ไฉนจึงยืนกรานหนักแน่นนักว่าข้าเป็คนชนเขาเล่า"
ประโยคแรกนางกล่าวกับชายชรา แต่ประโยคหลังกลับมุ่งมาที่โม่เสวี่ยิ่
"น้องสาม รถชนคนก็ควรจะรับผิดชอบ ไม่ต้องกลัวหรอก เมื่อกลับไปถึงจวน ท่านพ่อจะต้องช่วยเ้าจัดการปัญหานี้ได้แน่ ไม่เป็ไรนะ ไม่ต้องกลัว" น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังพูดปลอบโยนโม่เสวี่ยถง แต่ความนัยที่ซ่อนอยู่กลับยิ่งกว่าพิษร้าย
โม่เสวี่ยถงหัวเราะเยาะในใจ แต่น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนหวาน กล่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์ "รถของข้าไปชนคนเสียที่ไหน จวนโม่ส่งรถมารับข้าเพียงแค่สองคัน รวมทั้งบ่าวไม่กี่คนเหล่านี้ หรือพี่หญิงใหญ่คิดว่าอนุภรรยาคนหนึ่งจะส่งรถมารับข้ามากมายถึงเพียงนั้น"
ตำแหน่งขุนนางของโม่ฮว่าเหวินมิได้สูงมากนัก เมื่อมาอยู่ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยขุนนางสูงศักดิ์มากมายยิ่งไม่ได้อยู่ในสายตาใคร คุณหนูลูกผู้ดีมีเงินจะออกเดินทางก็ใช้รถเพียงแค่สามคัน โม่เสวี่ยถงเป็บุตรสาวของขุนนางขั้นห้าธรรมดาผู้หนึ่ง แม้ว่าจะเดินทางไกลก็เป็ไปไม่ได้ที่จะใช้รถเกินกว่าสามคัน ยิ่งไปกว่านั้นผู้เป็อนุภรรยาคนหนึ่งจะให้เกียรติบุตรสาวภรรยาเอกถึงขั้นส่งรถไปรับเป็พิเศษมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกม่านเหวยเม่าพลันดำทะมึน ไฉนนางจึงคิดไม่ถึงว่าโม่เสวี่ยถงผู้ขี้ขลาดอ่อนแอ นับั้แ่มารดาของตนจากไป จะกล้าต่อปากต่อคำกับตนเองอย่างเยือกเย็นต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้ อีกทั้งแต่ละคำที่กล่าวมาล้วนขยี้ตรงจุดจนนางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่โม่เสวี่ยิ่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างดีเยี่ยม เพียงชั่วพริบตาก็สามารถกลับมาพูดคุยด้วยรอยยิ้มดังเดิม
"น้องสาม เื่เล็กแค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก ท่านพ่อไม่โทษเ้าแน่ รีบกลับบ้านไปเถอะ คนในจวนรู้ว่าเ้าจะกลับมา ต่างเฝ้ารออยู่นานแล้ว เื่ที่เกิดขึ้นที่นี่เดี๋ยวพี่สาวจะช่วยเ้าจัดการเองดีหรือไม่" โม่เสวี่ยิ่ช้อนตาขึ้นมองแล้วกล่าวด้วยวาจาอ่อนหวาน น้ำคำเต็มไปด้วยความใส่ใจ สร้างภาพลักษณ์พี่สาวผู้แสนดีที่เอาใจใส่น้องสาวอย่างยิ่ง แต่กลับมิได้แยแสต่อคำพูดของโม่เสวี่ยถงก่อนหน้านี้เลย
แววตาของทุกคนจ้องไปที่โม่เสวี่ยถงอย่างไม่พอใจ ผู้เป็พี่สาวยอมรับความผิดแทนทั้งหมดถึงเพียงนี้ แต่ผู้เป็น้องสาวกลับยืนกรานไม่ยอมรับความผิดของตนเอง ช่างดื้อด้านไร้เหตุผลโดยแท้
โม่เสวี่ยิ่ช่างเล่นละครได้เก่งกาจนัก! ดวงตาของโม่เสวี่ยถงแฝงไปด้วยการเหยียดหยัน เสแสร้งแกล้งทำเป็อ่อนโยนหรือ นางก็ทำได้
โม่เสวี่ยถงรับหมวกม่านเหวยเม่าจากโม่หลันมาสวม ก่อนจะเดินลงมาจากรถอย่างแช่มช้าภายใต้การประคองของสาวใช้ อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวไปตามแรงลม ยิ่งทำให้นางดูบอบบางและอ่อนแอ แม้มิได้เอ่ยวาจาใดๆ ก็ทำให้คนนึกอยากรักใคร่ทะนุถนอม
"ขอบคุณในความกรุณาของพี่หญิงใหญ่มากเ้าค่ะ แต่รถคันนี้ไม่ใช่รถของน้องสาวจริงๆ พี่หญิงใหญ่เองก็เพิ่งมาถึง แล้วไฉนจึงยืนยันเป็มั่นเหมาะว่ารถคันนี้เป็ของข้าแน่ เพราะรู้จักกับคนบังคับรถหรือรู้ว่ารถม้าคันนี้เป็ของจวนเรา หรือว่าพี่สาวรู้มานานแล้วว่า..." คำถามที่โม่เสวี่ยถงเอ่ยออกมาทั้งหมด นางใช้น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่ดี ยิ่งเมื่อเอ่ยมาถึง่ท้ายสิ่งที่นางยังพูดไม่จบกลับทำให้คนต้องขบคิด
โหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง มุ่นคิ้วขมวดมองไปยังสตรีที่อยู่ตรงข้าม
เห็นนางร่างเล็กนิดเดียว ยามที่ยืนอยู่ตรงนั้นแม้จะดูอ่อนแอ แต่การแสดงออกกลับเหมาะสมไม่ต่ำต้อยไม่อวดดี ไม่มีความหยิ่งผยองแม้แต่น้อย ทำให้เขาอดเหลือบมองโม่เสวี่ยิ่ซึ่งอยู่ด้านข้างด้วยความแคลงใจไม่ได้
"..."
รอยยิ้มของโม่เสวี่ยิ่แข็งค้างบนใบหน้าไร้วาจาไปชั่วขณะ ได้แต่อ้าปากพะเยิบๆ แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา เบื้องลึกในดวงตามีเงามืดพาดผ่าน ตัวโง่งมไร้ค่าเปลี่ยนมาเป็คนฝีปากกล้าเช่นนี้ั้แ่เมื่อไรกัน
คนบังคับม้าซึ่งยังนั่งอยู่บนรถมองคนนั้นที มองคนนี้ที ทันใดนั้นก็กลอกตารอบหนึ่ง ก่อนจะร้องะโเสียงดังหันมาทางโม่เสวี่ยถง "คุณหนูสาม บ่าวติดตามคุณหนูมาตลอดทาง ไฉนพอเกิดเื่ขึ้นจึงทอดทิ้งบ่าวเช่นนี้ ที่บ้านของบ่าวยังมีพ่อแก่แม่เฒ่าอายุแปดสิบกับลูกเด็กเล็กแดงต้องเลี้ยงดู คุณหนูสามจะทิ้งบ่าวเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ"
พูดจบก็รีบลงจากม้า กระโจนเข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของโม่เสวี่ยถง แล้วร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งจะล่มฟ้าพลิกแผ่นดิน
หัวคิ้วของโหยวเยวี่ยเฉิงขมวดเข้าหากัน ข้ารับใช้ของผู้มีชาติตระกูลที่ไหนจะแสดงกิริยาเช่นนี้ ต่อหน้าฟ้าดินและผู้คนมากมายยังไม่รู้จักแยกแยะสถานะนายบ่าว หากไปััถูกตัวของผู้เป็นายเข้า ก็จะกลายเป็เื่ใหญ่ทำให้ชื่อเสียงเสียหาย ผู้ที่ไม่รู้จักธรรมเนียมแบบนี้จะเป็คนของตระกูลสูงศักดิ์ได้อย่างไรกัน
การกระทำของคนบังคับรถช่างโง่เง่าโดยแท้ ไม่รู้ว่าอี๋เหนียงไปขุดตัวโง่งมเช่นนี้มาจากไหน โม่เสวี่ยิ่นึกโมโหอยู่เงียบๆ แต่เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว นางได้แต่ต้องเดินหน้าต่อไป นางจงใจไม่ตอบคำถามของโม่เสวี่ยถงก่อนหน้านี้ แต่กลับเปลี่ยนเื่พูดอย่างแเี "น้องสาม เื่เกิดขึ้นไปแล้ว เป็ใครก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น เ้ากลับไปก่อนเถอะ ที่นี่ให้พี่สาวจัดการก็พอแล้ว"
"คุณหนูผู้นี้ชนคนแล้วยังไม่รู้จักยอมรับ เมื่อเป็คนรถของบ้านเ้าก็ย่อมเป็คนของเ้าด้วย ดูรถสองสามคันที่อยู่ข้างหลังของนางสิ เหมือนกับรถคันนี้ทุกอย่าง ต่อให้คิดบิดพลิ้วอย่างไรก็ปัดความรับผิดชอบไม่พ้นอยู่ดี" ชายชราที่ถูกคนประคองขึ้นมา ดวงตากลอกกลิ้ง เอ่ยปากบ่นพึมพำ แม้ว่าเสียงไม่ดังมาก แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน สายตาของพวกเขาจึงเลื่อนไปที่รถม้าอีกสองคันด้านหลังของโม่เสวี่ยถง แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยก็เหมือนกันจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเป็รถขบวนเดียวกัน
"เมื่อพี่หญิงใหญ่ก็เห็นด้วยกับคำชาวบ้าน และยืนยันว่าเป็รถที่มากับน้องสาวแน่นอน และเป็รถของจวนโม่ของเราด้วย เช่นนั้นจะให้น้องสาวดูให้ชัดหน่อยได้หรือไม่ว่าภายในรถวางอะไรไว้บ้าง น้องสาวเดินทางมาจากเมืองอวิ๋นเฉิงเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็มีรถโผล่ขึ้นมาพุ่งชนคน จากนั้นก็อ้างว่าเป็รถของน้องสาว จู่ๆ น้องสาวก็มีรถเพิ่มขึ้นมา แม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้ เมื่อเป็เช่นนี้ เฉินมามา ไปเปิดรถให้ทุกคนดู ว่ารถที่นางยืนยันมั่นเหมาะคันนั้นเป็รถของข้าจริงหรือไม่"
เมื่อคำพูดนี้กล่าวขึ้น ทุกคนต่างพยักหน้า จะใช่รถของจวนโม่จริงหรือไม่แค่ตรวจดูเดี๋ยวก็รู้
ใครจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ความจริงย่อมมีพลังในการโน้มน้าวใจคนได้
คนบังคับรถเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็หน้าตื่น รีบะโไปขวางไว้ บอกว่าของบรรทุกมามากมาย เป็ตายอย่างไรก็ไม่ให้ใครตรวจสอบ
"เมื่อเป็คนที่ติดตามคุณหนูมาตลอดทาง คุณหนูอนุญาตให้ทุกคนดูได้ เ้าเป็แค่คนบังคับรถมีสิทธิพูดอะไรด้วยหรือ ไม่รู้ว่าขนของดีอะไรมาบ้าง ตามมาั้แ่เมืองอวิ๋นเฉิง ครึ่งทางแล้วยังหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ใครเห็น พอมาถึงเมืองหลวงกลับโผล่มาก่อเื่ขึ้น แล้วโบ้ยความผิดมาให้คุณหนูอีก..."
เฉินมามามองเหตุการณ์ด้วยความโกรธเคืองมานานแล้ว ไหนเลยจะยอมให้คนผู้นั้นพูดจาเหลวไหลได้อีก นางยกมือโบกเรียกบ่าวาุโสองคนให้ตามมา ส่วนหลี่มามาถูกกักตัวไว้บนรถ แล้วเฉินมามาก็ปีนขึ้นไปบนรถเลิกม่านดูด้วยตนเอง
..............................................................................................................
[1] รัฐทายาท หรือ ซื่อจื่อ หมายถึงทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา