เมื่อหลี่หนิงหว่านถามจบ คนที่นั่งอยู่ก็เงียบลง หากจะหาคนในบรรดาเหล่านี้ที่ไม่สนใจหัวข้อนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีแม้แต่คนเดียว ความเงียบเช่นนี้ทำให้หลี่หนิงหว่านรู้ว่าตัวเองถามถูกจุดแล้ว แต่ในความพอใจก็มีความกระอักกระอ่วนเพิ่มขึ้นด้วย นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่ถูกคนผู้นี้เมิน นางแทบจะทนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอาไว้ไม่ไหว
แต่ว่า...ในตอนที่ทุกคนกำลังจะยอมแพ้ และสวีหรงฉี่เตรียมตัวจะแต่งเื่มาหลอกทุกคนอีกครั้งนั้น ทางเต๋อรั่วก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น
หลังจากผ่านอาหารมื้อหนึ่งมา ทุกคนก็ทราบแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนมีท่าทางไม่รีบไม่ร้อน นิ่งเฉยราวกับเขาไท่ซาน คราวนี้เปิดเปลือกตาขึ้นก็แค่มองไปยังทุกคนอย่างช้าๆ เปิดปากแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรให้เล่าหรอก ก็อยู่ที่ภาคกลาง ใกล้กันกับตระกูลสวี ไปมาหาสู่กันได้”
พูดจบแล้วเขาก็ส่งสายตาไปทางหลางฉากะทันหัน “หากสงสัยมากก็ไปถามนางได้”
ทุกคนต่างตกตะลึง ลูกตาแทบจะร่วงลงมาทันใด แจกันดอกไม้กับท่านผู้มีความเป็มาเป็ปริศนาผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกัน? แต่คนทั้งสองั้แ่นั่งลงก็ยังไม่เคยพูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ
หลางฉารู้สึกตื่นตระหนกยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมดจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางคิดว่านางก็เป็คนที่ผ่านโลกมามากเช่นกัน ยิ่งรวมกับเื่ราวที่ต้องเผชิญในวัยเด็ก ทำให้นางสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่เคยหวาดกลัว แต่ตอนนี้แค่เวลาเพียงไม่กี่วัน ความเข้าใจที่นางมีต่อตัวเองก็มลายไป จิ่งฝานเพียงผู้เดียวก็พานทำให้นางตกอกใไปหลายวันแล้ว ตอนนี้ยังมีทางเต๋อรั่วอีก เดิมทีคิดว่าคนระดับนี้ไม่น่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของนางเสียด้วยซ้ำ กลับไม่คิดว่าเขาจะรู้เื่นี้ด้วย
หลัวฉี่อดมองคนทั้งสองอย่างลังเลไม่ได้ “แม่นางหลางฉาก็เป็คุณหนูตระกูลทางหรือ?”
ใช่...หรือว่าไม่ใช่กัน?
คำถามนี้นางไม่รู้จะตอบอย่างไรดี นางอาจจะเป็ลูกสาวบุญธรรมปลอมๆ ของตระกูลทางปลอมๆ ในดงไม้ทึบนั่น ตระกูลทางจริงๆ เกรงว่าแค่ขอบมุมนางยังไม่อาจเฉียดเข้าไปใกล้ได้เลย
ทุกคนเห็นนางไม่ตอบก็เริ่มร้อนรน ไม่ใช่แค่คำถามประโยคเดียวหรอกหรือ มีอะไรให้ต้องขบคิดกัน ผ่านไปเนิ่นนานแล้วยังตอบกลับมาไม่ได้?
เฉินเปิ่นฉีอดถามจี้อีกครั้งไม่ได้ว่า “แม่นางหลางฉา?”
คำนี้ทำให้หลางฉาตื่นตระหนกจนอดมองไปทางทางเต๋อรั่วอีกรอบไม่ได้ ดวงตาของคนผู้นี้ที่เพิ่งจะเลิกขึ้น...ตอนนี้กลับหลุบลงไปอีกครั้ง หลางฉามองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าในตัวออกมาแล้วพูดว่า “เป็เช่นนั้น แต่ว่าข้าเป็เพียงลูกสาวบุญธรรมที่พ่อบุญธรรมรับเลี้ยงไว้ ไม่ถือว่าเป็คุณหนูจริงๆ หรอก น้อยครั้งนักที่จะได้พบกับคุณชาย ได้พูดคุยกันก็นับว่าน้อยยิ่งแล้ว”
ดังนั้นข้ากับเขาไม่ได้สนิทกัน มีอะไรอยากรู้ ถึงเ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลี่หนิงหว่านขมวดคิ้ว “รับเลี้ยงไว้หรือ?”
นึกว่าเป็คนของตระกูลทางเสียอีก?
หลางฉาทำเป็มองไม่เห็นสีหน้าดูถูกของหลี่หนิงหว่าน ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ตอนที่ข้ายังเด็ก บ้านข้าล่มสลาย คนในบ้านล้มตาย เมื่อร่อนเร่มาถึงภาคกลางก็ถูกผู้คนรังแก โชคดีที่ได้พ่อบุญธรรมช่วยไว้ พ่อบุญธรรมเห็นว่าข้าน่าสงสารจึงรับข้าเป็ลูกสาวบุญธรรม เลี้ยงดูข้า สอนวรยุทธ์ข้า ให้ที่พักอาศัยแก่ข้า”
หลางฉาพูดไปก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งออกมา
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็กระตือรือร้นขึ้นมา โดยเฉพาะคนไม่กี่คนในกลุ่มนี้ที่เห็นโลกมาเยอะ ไม่เหมือนหลี่หนิงหว่านที่มองแค่ชาติกำเนิดจอมปลอม เมื่อได้ยินว่าหลางฉากับทางเต๋อรั่วมีความเกี่ยวข้องกันก็เปลี่ยนสายตามองใหม่ แถมยังได้ยินว่านางร่ำเรียนวรยุทธ์ด้วย เช่นนั้นคงไม่อาจพูดถึงนางอย่างเดิมได้แล้ว
เซี่ยเหวินเอ่ออดเอนร่างเข้าไปใกล้โต๊ะเล็กน้อยไม่ได้ สีหน้าพยายามประดับรอยยิ้มอันอ่อนโยนเอาไว้ เขามีใบหน้าที่ขาวสะอาด มีท่าทางของหนอนหนังสือที่อ่อนโยนอยู่บ้าง ดูแล้วทำให้คนอยากเข้าใกล้และเชื่อใจได้อย่างง่ายดาย “แม่นางหลางฉาเป็วรยุทธ์ด้วยหรือ นับเป็ยอดหญิงจริงๆ ไม่ทราบว่าวันหน้าจะลองมาประมือแลกเปลี่ยนกันได้หรือไม่”
สวีหรงฉี่รีบพูดว่า “นางเป็สตรี คุณชายเซี่ยยังกล้าส่งคำท้าอีกหรือ”
เซี่ยเหวินเอ่อสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้สักนิด “แค่แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น เพื่อความสนุกเฉยๆ”
ทุกคนหลังจากที่ได้ยินเื่ความสัมพันธ์ของหลางฉากับทางเต๋อรั่วแล้วก็หันไปสังเกตสีหน้าของสวีหรงฉี่อีกที จึงพบว่าสายตาที่เต็มไปด้วยอคติในตอนแรกของพวกเขาทำให้พวกเขาพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไปมากมาย ในสายตาของสวีหรงฉี่มีความชอบพอและปกป้องอยู่ แต่ภายใต้ใบหน้านั้นก็แอบแฝงไปด้วยความเคารพที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า สีหน้าเช่นนี้ช่างคู่ควรให้ทุกคนเอาไปวิเคราะห์เสียจริง
ในโลกนี้ คนที่สามารถได้รับความเคารพจากสวีหรงฉี่ได้นั้น...แน่นอนว่าต้องมีพลังที่ร้ายกาจ ชาติตระกูลยิ่งใหญ่ เพราะบนแผ่นดินใหญ่นี้ไม่ว่าจะมีแค่เงินหรืออำนาจล้วนไม่นับเป็อะไรได้ เพราะเงินสามารถฉก อำนาจสามารถชิง หากมีเพียงแค่สิ่งเหล่านี้ แต่กลับไม่มีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งทัดเทียมกัน เช่นนั้นก็เป็ได้แค่ลูกแกะในฝูงหมาป่าเท่านั้น ได้แต่ถูกคนอื่นแย่งชิงแยกชิ้นส่วนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ถ้าสามารถได้รับความเคารพสักหนึ่งส่วนจากคนเช่นสวีหรงฉี่ที่มีทั้งเงิน อำนาจ และความสามารถแล้ว นั่นก็แสดงว่าต้องแข็งแกร่งกว่าเขาอยู่หนึ่งส่วน แต่ชัดเจนแล้วว่า...จากท่าทางั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ของสวีหรงฉี่ คาดว่าคงไม่ได้แข็งแกร่งกว่าแค่หนึ่งส่วนเป็แน่ คนที่นั่งอยู่ล้วนเป็ยอดคนแสนเ้าเล่ห์ ต่อให้สวีหรงฉี่จะพยายามปกปิดสักเพียงไร ความหวาดกลัวและประจบประแจงที่ออกมาทางสายตานั้นปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด
ตอนที่ทุกคนคาดว่าหลางฉาคงเป็แค่คนงามที่ไปเกาะสวีหรงฉี่นั้น ก็คิดว่าท่าทางของเขาคงทำไปเพื่อให้คนงามพึงพอใจ แต่ในตอนนี้เกรงว่าสวีหรงฉี่คงไม่ได้ทำเพื่อเอาใจหญิงงามเพียงอย่างเดียว หากไม่ใช่หญิงงามเป็ฝ่ายไปเกาะเขา ในทางกลับกันเกรงว่าคงเป็สวีหรงฉี่ที่ไปเกาะนางเสียมากกว่า ที่ประจบเอาใจก็เพื่อตระกูลทางเื้ัหญิงงาม เพียงเท่านี้ก็ควรค่าแก่การเอามาขบคิดแล้ว
หากว่าตระกูลทางแข็งแกร่งถึงขนาดที่สวีหรงฉี่ไม่อาจไม่เคารพแล้วละก็ ต่อให้เป็แค่ลูกสาวบุญธรรมอย่างหลางฉาก็ไม่อาจดูเบาได้ ท่าทางที่สวีหรงฉี่มีต่อหลางฉายังพอเข้าใจได้ ถ้าเช่นนั้นตระกูลทางปรากฏออกมาั้แ่เมื่อไร แล้วพวกเขามีอะไรคู่ควรให้สวีหรงฉี่ปฏิบัติด้วยเช่นนี้ได้?
ภาคกลางถือเป็เขตอิทธิพลของตระกูลสวี ส่วนตระกูลทางก็อยู่ภาคกลาง สวีหรงฉี่กลับต้องเคารพผู้อื่นในเขตของตัวเอง เช่นนั้นมหาอำนาจแห่งภาคกลางแท้จริงแล้วเป็ผู้ใดกันแน่? ตระกูลทางสร้างตัวขึ้นมาได้ด้วยวรยุทธ์ใช่หรือไม่? แล้ววรยุทธ์นี้แท้จริงแล้วแข็งแกร่งเพียงใด? ท่าทางเช่นนี้ของสวีหรงฉี่เป็การกระทำของเขาเพียงคนเดียว หรือว่าทั้งตระกูลสวีก็ล้วนเป็เช่นนี้?
เมื่อทุกคนยิ่งคิดก็ยิ่งลึกซึ้งต่างเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา อดใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปยังทางเต๋อรั่วกับหลางฉาไม่ได้
หลางฉาเองก็กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปจนเผยความลับให้พวกเขามองออก ผลสุดท้ายพอพูดจบ ทุกคนล้วนมีสีหน้าใกลัว ทำให้นางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี จึงทำได้เพียงยกริมฝีปากขึ้นแล้วฝืนยิ้มน้อยๆ “แค่...แค่เป็เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เก่งอะไร”
แค่เป็เล็กน้อย? ไม่เก่งหรือ?
ทุกคนกลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ลูกสาวบุญธรรมที่วรยุทธ์ไม่ได้เก่งกาจ ยังถูกสวีหรงฉี่ปฏิบัติด้วยเช่นนี้ เช่นนั้นตระกูลทางเป็การดำรงอยู่แบบใดกัน?
หลางฉารู้สึกว่าตัวเองยิ่งพูดก็ยิ่งผิด สายตาอดมองไปยังทางเต๋อรั่วอีกครั้งไม่ได้ คนผู้นี้ราวกับััได้ถึงสายตาหวาดกลัวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของนางจึงเงยหน้ามองไปทีหนึ่ง หาได้มีสีหน้าใส่ใจแม้แต่น้อยไม่ ราวกับว่าไม่สนใจในสิ่งที่นางพูดเลย
เทียบกับความกลัวของหลางฉาแล้ว ภายในใจของคนที่เหลือก็ยิ่งราวกับูเาที่ถล่มลงทะเลแล้วกลายเป็คลื่นั์ รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด ถ้าสิ่งที่สวีหรงฉี่แสดงออกมานั้นเป็ความจริง และการกระทำของสวีหรงฉี่เป็เหมือนตัวแทนที่ทำให้จินตนาการถึงตระกูลทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าอย่างนั้นทั้งหมดนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงจะทนรอส่งนกพิราบสื่อสารหรือควบม้าเร่งไปเพื่อส่งข่าวแทบไม่ไหวแล้ว อยากรีบส่งข่าวไปยังตระกูลของตนเองให้คนในตระกูลไปสืบดูว่าตระกูลทางแท้จริงแล้วการดำรงอยู่เป็เช่นไรกันแน่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้