สวีอี่ชิงหันไปมองเจียงเฉิงเยว่แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “ข้าพูดไว้ว่าอะไร เพียงรู้ว่าพี่ฉินกำลังมา ไม่ต้องรอให้หิมะตก ต่อให้มีมีดลอยอยู่บนท้องฟ้าเด็กคนนี้จะต้องลุกขึ้นมาแน่นอน”
สวีอี่ซินกลอกตาใส่พี่ชายของนางแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน “พี่ใหญ่”
สวีอี่ชิงหัวเราะ จากนั้นให้นางนั่งแล้วถาม “หนาวหรือไม่?” ขณะที่พูดก็เติมชาร้อนให้น้องสาวด้วยตนเอง กล่าวต่อด้วยความเป็ห่วง “รีบดื่มชาร้อนสักถ้วยอบอุ่นร่างกายเสีย”
สวีอี่ซินวางเตาอุ่นมือไว้ด้านข้าง จากนั้นหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ม้วนขึ้นจากแขนเสื้อออกมาแล้วส่งไปตรงหน้าของเจียงเฉิงเยว่ด้วยความเคารพ “ข้าอ่านหนังสือที่พี่ฉินให้ข้าจบแล้ว ยังมีบางจุดที่ไม่เข้าใจ อยากรบกวนพี่ฉินอธิบายรายละเอียดสักเล็กน้อย...”
เจียงเฉิงเยว่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ตามสบาย”
สวีอี่ซินรีบเคลื่อนย้ายเก้าอี้ดอกไม้เพื่อเข้าใกล้เขาอีกเล็กน้อย จากนั้นพลิกหน้าหนังสืออย่างละเอียดจึงพบจุดที่ตนเองทำเครื่องหมายเอาไว้ ชี้ให้เจียงเฉิงเยว่ดู
นับั้แ่รู้ว่าเจียงเฉิงเยว่เป็ผู้บ่มเพาะ สวีอี่ซินเซ้าซี้ให้เจียงเฉิงเยว่สอนนางด้วยข้ออ้างว่า้าบ่มเพาะทางเต๋า น่าเสียดายนักที่ฉิงชางจวินซึ่งมีฐานะเป็าาผีแห่งปรโลก จะมีเวลารับนางเป็ลูกศิษย์จริงๆ ได้อย่างไร นอกจากนี้ แม้ว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็มีตัวตนเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา ทว่าช่างน่าเสียดายที่เสียชีวิตเมื่ออายุยังน้อย ทั้งยังผ่านมาหลายปีเช่นนี้จึงลืมเื่การฝึกฝนธรรมดาไปนานแล้ว จึงไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงหาหนังสือการบ่มเพาะธรรมดาๆ มาให้นางอ่านเล็กน้อยเท่านั้น หากอ่านไม่เข้าใจนางจะมาถามอีกครั้ง
ในความเป็จริงแล้ว ไม่อาจโทษฉิงชางจวินซึ่งทำแบบขอไปทีได้หรอก ความจริงแล้วเมื่อปีนั้น่ที่ยังเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาและเข้าสู่สำนัก ‘อาจารย์’ ก็สั่งสอนเขาเช่นนี้!
ทั้งสองคนพูดคุยถกปัญหาในหนังสือไปมาอย่างมีชีวิตชีวา ทว่าสวีอี่ชิงฟังไม่เข้าใจจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ แล้วถือโอกาสเติมชาในถ้วยให้คนทั้งสอง
เวลานี้มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากทางเดิน สวีอี่ซินเงยหน้าขึ้นมองพร้อมขมวดคิ้วในทันที
สวีอี่เจินนำกลุ่มคนที่อยู่ในศาลาเมื่อครู่แสร้งเดินเตร็ดเตร่ชื่นชมหิมะแล้วผ่านมา หลังเห็นคนสองสามคนกลับเผยท่าทาง ‘ประหลาดใจ’ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ อา พี่ฉิน...ไม่เจอกันนาน พี่ฉินสบายดีหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ได้แต่ลุกขึ้นประสานมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายรอง” เขาอายุเท่ากับสวีอี่ชิง มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับสวีอี่ชิงยิ่งกว่ามาเสมอ แต่กับคุณชายรองสกุลสวีผู้นี้ที่อายุห่างกับตนเองสองสามปีมีความห่างเหินอยู่เล็กน้อย ยามพบหน้ากันจึงต้องสุภาพ
ทั้งสองเพิ่งทักทายกันเสร็จสิ้น ยังไม่ทันที่สวีอี่เจินจะแนะนำกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง เจียงเฉิงเยว่เหลือบมองไปยังร่างสูงกำยำที่อยู่ด้านหลังคุณชายในอาภรณ์สีน้ำเงินหรูหรา ซึ่งยังคงคลุมร่างด้วยผ้าโปร่งธรรมดาในวันที่หนาวจัด เงาร่างค่อนข้างสง่างามราวกับเซียน บังเอิญว่าคนผู้นั้นกำลังมองเขาอยู่พอดี ดังนั้น ดวงตาทั้งสองคู่จึงสบกัน ก่อนที่ต่างคนต่างละสายตาออกไป
แม้จะเป็เพียงชั่วพริบตากลับสามารถรับรู้ความตื้นลึกของกันและกันได้ ความสูงส่งและลึกล้ำของการบ่มเพาะ พลังิญญาที่บริสุทธิ์ นับได้ว่าเป็ระดับสูงสุดในหมู่ผู้ฝึกฝนธรรมดาบนโลกมนุษย์ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขานั้นเป็คนธรรมดาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะทางเต๋า ถึงอย่างนั้นที่หว่างคิ้วกลับปรากฏรูปลักษณ์ของความเป็จักรพรรดิอยู่จางๆ
ผู้ฝึกฝนธรรมดาในโลกมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรชอบที่จะมีความเกี่ยวพันกับยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่แน่ว่าอาจเป็...จงหลีซาน?
เจียงเฉิงเยว่ยกมุมปากเล็กน้อย จากนั้นละสายตาไปทางอื่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพ่งสายตาไปบนร่างของสวีอี่เจินที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง อีกฝ่ายกำลังแนะนำคุณชายในอาภรณ์สีน้ำเงินด้วยความตั้งใจ “ท่านนี้คุณชายหยวน....จากโซ่วหลิง” จากนั้นชี้ไปที่เจียงเฉิงเยว่แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ท่านนี้คือคุณชายฉินจากกู่ชุน นับว่าเป็สหายเก่าแก่ของครอบครัวเรา”
ทั้งสองโค้งคำนับประสานมือทำความเคารพ ซึ่งนับว่ารู้จักกันแล้ว
หยวนฝานเป้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายฉินก็เป็คนฮุยโจวเช่นกันหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าพลางถามกลับ “คุณชายหยวนเป็คนโซ่วหลิงหรือ?”
หยวนฝานเป้ยตอบกลับ “ถูกต้อง”
ยังไม่ทันที่เจียงเฉิงเยว่จะพูดอะไร สวีอี่ชิงที่นั่งมาตลอดลุกขึ้นด้วยความใและถามต่อ “คุณชายหยวนเป็คนโซ่วหลิง แซ่หยวนเป็แซ่แห่งชาติ...”
หยวนฝานเป้ยรีบเอ่ย “ผิดแล้ว ผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ใช่แซ่แห่งชาติ แต่เป็หยวนที่เป็เทศกาลโคมไฟ ออกเสียงเหมือนกันแต่ตัวอักษรต่างกันก็เท่านั้น”
สวีอี่ชิงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากเจียงเฉิงเยว่ได้ยินเขาได้แต่ยกมุมปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่ตั้งใจปลอมแปลงตัวตนเอาเสียเลย
หยวนฝานเป้ยมองเจียงเฉิงเยว่ด้วยแววตาลุกโชน “ได้ยินมาว่าบิดาของคุณชายฉินเคยดำรงตำแหน่งรองรัฐมนตรีในโหย่วโจวหรือ?”
สวีอี่เจิน สวีอี่ชิงและคนทั้งหมดที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงไปชั่วครู่ ต่างเผยท่าทีลำบากใจอยู่หลายส่วน โดยเฉพาะสวีอี่เจินซึ่งเมื่อครู่เพิ่งจะแสร้งทำเป็ ‘รู้จักกันเป็ครั้งแรก’ ประโยคต่อมากลับถามถึงภูมิหลังเก่าของอีกฝ่ายเสียแล้ว โดยพื้นฐานจึงพิสูจน์ได้ว่ารู้จักอีกฝ่ายเป็อย่างดี ไฉนกลับยังคงเสแสร้งแนะนำคนตรงหน้าอีก ไม่ต้องเดาว่าผู้ใดเป็คนบอกความลับ สวีอี่เจินผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าไร้คำพูดจนต้องถามฟ้า[1] อย่างสิ้นเชิง
เจียงเฉิงเยว่แสร้งทำเป็ไม่สังเกตเห็นความบิดเบี้ยวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง”
หยวนฝานเป้ยถาม “ไม่ทราบว่านามของบิดาท่านคือใต้เท้าฉิน ฉินไห่จ้าวใช่หรือไม่?
เจียงเฉิงเยว่แสร้งตกตะลึง “คุณชายหยวนดูอายุไล่เลี่ยกับข้า หรือว่าจะรู้จักบิดาของข้าด้วย?”
หยวนฝานเป้ยใเล็กน้อย ได้แต่พูดด้วยรอยยิ้มเหยเก “ฮ่าๆๆ ช่างเป็เื่บังเอิญ”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้ว “คุณชายหยวนเป็คนโซ่วหลิง หากพูดถึงโซ่วหลิงแล้ว บิดาของข้าไปรายงานที่ท้องพระโรงเพียงไม่กี่ครั้ง ความยิ่งใหญ่ของโซ่วหลิงนั้น ถึงกับบังเอิญรู้จักกับคุณชายหยวนได้ นี่ช่าง...”
หลังถ้อยคำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา คุณชายสองคนของสกุลสวีหันสายตาไปยังหยวนฝานเป้ยทันทีด้วยความประหลาดใจ หยวนฝานเป้ยเผยสีหน้าลำบากใจ ได้แต่กัดฟันเสแสร้งเอ่ยต่อไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพียงมีวาสนากับใต้เท้าฉิน”
“โอ้” เจียงเฉิงเยว่ยกถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า พลางจิบชาร้อนแล้วตอบรับอย่างขอไปทีโดยไม่แสดงความเห็น
หยวนฝานเป้ยกล่าว “หลังได้ยินข่าวการเสียชีวิตของใต้เท้าฉิน ข้าน้อยยิ่งตกตะลึง เ็ปใจยิ่งนัก”
เจียงเฉิงเยว่วางถ้วยชาลง ยกยิ้ม “ขอบคุณคุณชาย บิดาของข้าจากไปหลายปีแล้วจนทำให้คุณชายลำบากต้องระลึกถึง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ทราบถึงมิตรภาพต่างวัยระหว่างคุณชายกับบิดาของข้า ข้าจึงไม่อาจรู้จักคุณชายให้เร็วกว่านี้ ช่างน่าเสียดายจริงเชียว”
หยวนฝานเป้ยเก็บพัดคลี่แล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร”
หลังจากการทักทายที่น่าลำบากใจผ่านพ้น บรรยากาศของกลุ่มคนในห้องอุ่นกลับเงียบสงบลงอีกครั้งเป็เวลานาน สวีอี่ซินเริ่มทำเหมือนว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีตัวตน ถามเจียงเฉิงเยว่ด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉิน เมื่อครู่พวกเราพูดถึงตรงไหนแล้ว?”
เจียงเฉิงเยว่จึงกลับมามีสติ อธิบายให้นางฟังต่อไป เดิมทีสวีอี่ซินชี้ให้เห็นเช่นนี้เพื่อจงใจให้อีกฝ่ายเข้าใจความหมายแล้วบอกลาจากไปด้วยตนเอง ช่วยไม่ได้ที่คุณชายหยวนผู้นั้นราวกับคนโง่ก็ไม่ปาน เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างห่างจากโต๊ะน้ำชา พลางมองนางด้วยแววตาที่แจ่มชัดทำให้นางอึดอัดมากและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เจียงเฉิงเยว่อ่านจากหนังสือในมือของนาง “ประโยคนี้ใช่ไหม? ‘อันเต๋านั้น ความเงียบไร้ตัวตน ไร้รูปร่าง ไร้นาม ไร้รูปธรรม ไร้รูปลักษณ์ อยู่ไกลขึ้นไปบนฟ้า แต่ก็อยู่ใกล้เพียงในใจ ตลอดทั้งสรรพสิ่งไม่มีหรือเหลืออยู่ สรรพสิ่งควรอยู่ตรงกลาง...’ ”
เขายังอ่านไม่จบ จู่ๆ คุณชายหยวนที่ไม่รู้ความผู้นั้นแทรกประโยคมากะทันหัน “คุณชายฉินคือนักพรตหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงหยุดชั่วคราว จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง”
หยวนฝานเป้ยมองนักพรตผู้นั้น หลังจากครุ่นคิดจึงก้าวไปข้างหน้า ทำความเคารพอย่างมีมารยาทพร้อมถาม “ไม่ทราบว่าสหายนักพรตมาจากสำนักใด?”
เจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้นเพื่อทำความคำเคารพคืน “ข้านั้นเป็เพียงผู้ฝึกฝนธรรมดาๆ ไร้สำนัก”
นักพรตกล่าว “ในเมื่อวันนี้มีวาสนาได้พบกัน ขอเชิญสหายนักพรตมาร่วมกันถกปัญหาในหลักธรรมเต๋า แลกเปลี่ยนความรู้กันสักเล็กน้อยเป็อย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่เผยความลำบากใจอยู่หลายส่วน “นี่...”
นักพรตกล่าว “โอกาสนั้นหาได้ยาก คาดหวังว่าสหายนักพรตจะไม่ปฏิเสธ”
เขายังไม่ทันพูดจบ สวีอี่ซินชักสีหน้าเสียแล้ว นางลุกขึ้นยืนในทันที จากนั้นหันไปหาคุณชายหยวนผู้นั้นเอ่ยเรียกอย่างแข็งกระด้างและเ็า “คุณชายหยวน!”
เมื่อหยวนฝานเป้ยเห็นว่าสาวงามเรียกตนเองอย่างคาดไม่ถึง จึงรู้สึกยินดีขึ้นมาทันทีแล้วรีบตอบรับ “ขอรับ!”
คุณหนูรองสกุลสวีเอ่ยด้วยความโกรธ “ยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งกลับไร้มารยาทเช่นนี้ ท่านไม่คิดไปอบรมสักหน่อยหรือ?”
หลังประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ใบหน้าของหลายคนในที่แห่งนี้มืดมิดโดยพลัน
คนหนึ่งคือนักพรตในชุดสีเทา เป็ผู้บ่มเพาะทางเต๋าที่ต่อสู้กับโชคชะตาจากการโดนเหยียดหยาม พร้อมจำนนต่ออำนาจเ่าั้ กับนักพรตผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าซึ่งมีการบ่มเพาะที่สูงส่งและลึกล้ำ คาดว่าอาจจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในบรรดาผู้ฝึกฝนธรรมดา ตัวตนของคุณชายหยวนผู้นี้ช่างพิเศษจริงเชียว ทว่าสวีอี่ซินกลับปฏิบัติต่อเขาในฐานะคนรับใช้โดยตรงเช่นนี้ แล้วนักพรตผู้นั้นจะทนรับความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้อย่างไร?
คนที่สองคือพี่ชายทั้งสองของสวีอี่ซินที่ต่างทราบว่าไม่ควรทำให้คุณชายผู้นี้ขุ่นเคือง แต่สวีอี่ซินไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ ทำให้ทั้งสองคนต่างหวาดกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ สวีอี่ชิงรีบตำหนิ “ซินเอ๋อร์! อย่าไร้มารยาท!”
คุณชายซึ่งถูกทำให้ ‘ขุ่นเคือง’ ผู้นั้น เมื่อเห็นว่าคุณหนูรองสนใจเขา แม้ว่าจะเป็การตำหนิแต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มยินดี “ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร” เพียงชั่วพริบตากลับทำให้ผู้คนอยากกุมขมับ ทุกคนต่างมองเขาอย่างคาดไม่ถึง เขาระบายยิ้มอย่างโง่เขลาต่อไป ซึ่งดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเท่าไรนัก หลังรับรู้ว่าสวีอี่ซินโกรธแล้วจึงรีบยืนขึ้นพร้อมประสานมือให้นางอย่างมีมารยาท “แม่นางสวี หยวนนั้นหลงใหลในท่วงทำนองมาั้แ่ยังเด็ก ก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแม่นางในโซ่วหลิง ครั้งนี้จึงมาเพราะเลื่อมใสในพร์ของแม่นาง หากเมื่อครู่มีจุดใดที่ทำให้แม่นางขุ่นเคืองอย่างกะทันหัน หวังว่าแม่นางจะใจกว้างให้อภัย”
สวีอี่ซินเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “คิดว่าคุณชายคงได้ฟังข้อมูลมาผิดแล้ว ความจริงแล้วข้ามีความรู้เพียงตื้นเขิน ทักษะน้อยนิดยากที่จะแสดงให้เห็นได้อย่างสง่างาม เกรงว่าต้องทำให้คุณชายกลับไปอย่างผิดหวังแล้ว” ขณะที่พูดนางหันไปบอกกับเจียงเฉิงเยว่ “พี่ฉิน พวกเราไปกันเถิด ข้าเขียนเพลงไว้สองสามบทเพลง ยัง้าให้พี่ฉินชี้แนะสักหน่อย”
ครั้งนี้ ต่อให้หยวนฝานเป้ยจะหัวช้าอีกเพียงไหนก็ไม่สามารถควบคุมใบหน้าได้แล้ว สีหน้าเขาพลันตื่นตะลึงขึ้นมาในชั่วพริบตา
เจียงเฉิงเยว่แอบคร่ำครวญในใจ จะลุกขึ้นก็ไม่ใช่จะนั่งลงก็ไม่เชิง ขณะที่ลังเลอยู่ก็เป็สวีอี่ซินที่โน้มตัวเข้ามา ถึงกับสื่อความหมายว่า้าลากเขาออกไป ช่างไม่ดีเสียแล้วที่จะให้นางก่อเื่ต่อหน้าคนกลุ่มนี้อีกจึงได้แต่ลุกขึ้นตามออกไป
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะจากไป จู่ๆ สวีอี่ชิงนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบบอก “เอ่อ ใช่แล้ว พี่ฉิน...” เจียงเฉิงเยว่รีบหยุดเดินแล้วหันมา สวีอี่ชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็เช่นนี้ ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เป็เื่ยากที่พี่ฉินจะกลับมา พ่อของข้าจึงให้ข้าเชิญพี่ฉินอยู่ฉลองปีใหม่ด้วยกันกับพวกเราในปีนี้ให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
“นี่...” เจียงเฉิงเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยตัวตนปลอมแปลงนี้ ‘ฉินจินฮุย’ มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสังเวชใจเป็อย่างยิ่ง ซึ่งเท่ากับว่าเขาอยู่ตัวคนเดียว ทำให้มารดาที่รักสวีอี่ซินอย่างท่วมท้นผู้นั้นซึ่งรู้จักเขามาหลายปีปวดใจกับ ‘เด็ก’ คนนี้เป็อย่างยิ่ง ล้วนมาเชื้อเชิญแทบจะทุกปี แต่เฉิงเยว่ก็ปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขาคงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไปมากกว่านี้
สวีอี่ซินกลับมามีสติ นางรีบเงยหน้ามองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วพี่ฉิน ปีนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้!”
“ข้า...” เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ทางด้านสวีอี่ซินราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปหาหยวนฝานเป้ย “หากพูดถึงเื่นี้แล้ว คุณชายหยวน”
หลังหยวนฝานเป้ยเห็นว่าตนเองถูกเรียกชื่ออีกครั้ง จึงมองนางอย่างจริงใจ สวีอี่ซินพูด “ใกล้จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ไม่สู้คุณชายหยวนเตรียมตัวเดินทางกลับไปโซ่วหลิงั้แ่เนิ่นๆ เล่า? หากไปช้า ด้วยอากาศหนาวและพื้นหิมะนี้คงจะเดินทางได้ลำบากนัก”
ใบหน้าของหยวนฝานเป้ยซีดลง สวีอี่เจินต้องปิดหน้าเสียแล้ว
“พี่ฉิน พวกเราไปกันเถอะ”
เจียงเฉิงเยว่ตามนางไปอย่างช่วยไม่ได้ ทิ้งกลุ่มคนไว้ด้านหลัง
หลังจากเดินไปไกลระยะหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่เดินตามด้านหลังของสวีอี่ซินที่เดินอยู่ตรงหน้า นางยกมุมกระโปรงอย่างระมัดระวัง เกล็ดหิมะระยิบระยับยังตกลงมาไม่ขาดสาย พื้นโลกขาวโพลนจนให้ความรู้สึกว่างเปล่า รอบด้านไม่มีผู้อื่น เจียงเฉิงเยว่ที่เอามือทั้งสองซุกไว้ในแขนเสื้ออดไม่ได้ที่จะถาม “ซินเอ๋อร์ เ้าไม่ชอบคุณชายหยวนผู้นั้นมากหรือ?”
สวีอี่ซินหยุดเดินก่อนหันกลับมามองเขาและพยักหน้า “เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็พวกลูกหลานผู้ลากมากดี น่ารำคาญยิ่ง!”
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นลดเสียงลงเล็กน้อย “รำคาญก็ส่วนรำคาญ เพื่อพ่อแม่และเหล่าพี่ชายของเ้าแล้ว อย่าได้ทำให้เขาขุ่นเคืองมากเกินไปนัก”
สวีอี่ซินขมวดคิ้ว “พี่ฉิน ทำไมแม้แต่ท่านก็เป็เช่นนี้?!”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “เด็กโง่ คุณชายหยวนผู้นั้นมีตัวตนที่ยุ่งยากนัก ไม่เหมาะที่จะเป็ศัตรูอย่างเปิดเผย เมื่อครู่เ้าทำให้เขาอับอายเกินไปแล้ว”
สวีอี่ซินไม่ใส่ใจ นางแค่นเสียง “ข้ารู้ว่าเขาเป็ขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้ว “ใช้ได้นี่ เ้าดูออกได้อย่างไร?”
สวีอี่ซินอธิบาย “เพียงแค่โหย่วโจว รองรัฐมนตรีและแซ่ฉิน มีสามจุดนี้ หากเชื่อมโยงกันแล้วเขากลับรายงานนามของใต้เท้าฉินได้ในครั้งเดียว ต้องเป็คนในราชสำนักอย่างแน่นอน โซ่วหลิงกับแซ่หยวน...นักพรตตัวเหม็นผู้นั้น วันที่หนาวจัดกลับไม่กลัวหนาว หากมองดูย่อมคิดว่าอาจมีการบ่มเพาะไม่ต่ำต้อย แต่เมื่อถูกข้าเหยียดหยามต่อหน้าคนผู้นั้นล้วนไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ดวงตาเบิกกว้างแทบจะกินข้าเข้าไปแต่กลับทำได้เพียงอดกลั้นความเกลียดชัง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคืออาจารย์ของข้าเคยพูดถึงเขา”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงอยู่ จากนั้นหันไปทางเด็กสาว มองนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ดี เดิมทีเ้ารู้นานแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาเป็ใคร?”
สวีอี่ซินแลบลิ้นตอบด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ของข้ารับลูกศิษย์โง่เง่าไม่กี่คน ฝ่าาแห่งวังตะวันออกผู้นั้นพูดอย่างเขินอายว่าตนเองหลงใหลในท่วงทำนอง นับได้ว่าเขาเป็คนที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ที่อาจารย์ของข้าเคยรับมา ก่อนหน้าหนี้อาจารย์เคยบ่นเขากับข้าในจดหมายอยู่ไม่น้อย”
เจียงเฉิงเยว่ถาม “เช่นนี้ เ้ายังกล้ากระตุ้นให้เขาโกรธอีกหรือ?”
สวีอี่ซินตอบกลับ “เป็เขาเองที่้าแสร้งเป็สามัญชน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘คนที่ไม่รู้ย่อมไม่ผิด’ เช่นนี้เขาจะนำโทษฐานที่ ‘ไม่เคารพ’ มาใส่ข้าได้อย่างไร? นอกจากนี้...” ใบหน้าของนางหน้าแดงเล็กน้อย จากนั้นหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “นอกจากนี้ข้าเห็นเขามองข้าเช่นนั้น ข้าไม่สนใจที่จะเป็สาวงามในวังหลังของเขา สู้ทำให้เขาขุ่นเคืองไปเสียยามนี้ จะได้ตัดความคิดเช่นนี้ของเขาไปให้ราบคาบไม่ดีกว่าหรือ”
------------------------
[1] ไร้คำพูดจนต้องถามฟ้า เป็การอุปมา หมายถึง คิดหาวิธีแก้ไขไม่ได้จนต้องปรับทุกข์กับฟ้าดิน
