หลังจากนั้นโหยวเสี่ยวโม่ใช้เวลาสองวันในการหลอมยากว่าสามสิบเม็ด
แม้ว่าคุณภาพของยาจะต่ำ แต่สำหรับโหยวเสี่ยวโม่นั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์อะไร ด้วยคุณภาพที่ต่ำ สิ่งแปลกปลอมที่ปนอยู่จึงค่อนข้างเยอะ โหยวเสี่ยวโม่จึงใช้จุดนี้ ใช้ฝึกหลอมร้อนยาเซียนตันขั้นสอง
ผ่านไปสองวัน เขาพบว่าตัวเองสามารถหลอมร้อนสูงสุดได้สามถึงสี่รอบ
ตัวเลขนี้สำหรับนักหลอมโอสถแล้วนับว่าสูงมาก เพราะนักหลอมโอสถขั้นสองทั่วไปสามารถหลอมร้อนได้เพียงรอบเดียว มากกว่านั้นไม่ได้ บวกกับคุณภาพหญ้าเซียนไม่สูง ดังนั้นยาเซียนตันที่หลอมออกมานั้นสามารถใช้คำว่า ด้อย มาบรรยายได้เลย อีกอย่างความเสี่ยงการใช้ยานั้นยังสูงถึงร้อยละสามสิบห้า
ทว่าโหยวเสี่ยวโม่ฝึกการหลอมร้อนมาพอสมควร ยาเซียนตันขั้นสองก็ถูกเขาลดความเสี่ยงจนเหลือเพียงร้อยละสิบห้า
แม้ว่าจะเทียบกับยาที่เขาหลอมก่อนหน้านั้นไม่ได้ แต่เทียบกับยาคุณภาพระดับล่างด้วยกันแล้ว ถือว่าไม่เลวทีเดียว บางคนที่ยากจนชาติหนึ่งก็คงไม่สามารถซื้อยาคุณภาพสูงได้แม้แต่เม็ดเดียว
ครุ่นคิดชั่วครู่ โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่หมกตัวเอาแต่หลอมยาในห้องอีกต่อไป
หนึ่งวันที่เหลืออยู่นั้น เขาเริ่มฝึกไปพบปะกับศิษย์คนอื่นบ้าง และสืบได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาหลายอย่าง
เนื่องจากพรุ่งนี้เป็การทดสอบ ดังนั้นคนที่เข้าร่วมสำนักได้ครึ่งเดือนต่างตื่นเต้น เพราะการทดสอบพรุ่งนี้ส่งผลต่ออนาคตพวกเขา ไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
โหยวเสี่ยวโม่นั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสองแล้ว เขาไม่จำเป็ต้องห่วง เพียงแต่รู้สึกแปลกใจกับการทดสอบของทั้งสามทัพพร้อมกันมากกว่า
“ศิษย์พี่เฉิน ทำไมทั้งสามทัพถึงทดสอบพร้อมกันล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่เห็นกลุ่มศิษย์พี่ที่กำลังคุยกัน
ศิษย์พี่เฉินหันหลัง พอเห็นคนที่กำลังพูดคือโหยวเสี่ยวโม่ ก็ไม่อยากบอก แต่ศิษย์คนอื่นๆ กลับเบิกตาโตมองเขา เขาจึงต้องตอบออกมา “กฎกติกานี้บรรพบุรุษของแขนงโอสถกำหนดไว้ เพื่อการกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสามทัพ แต่พอนานวันเข้า การทดสอบนี้ไร้สีสัน กลายเป็การเปรียบเทียบของทั้งสามทัพแทน”
ศิษย์พี่เฉินคนนี้คือคนเดียวกันกับที่ฝึกหลอมยาที่ห้องหินพร้อมกับโหยวเสี่ยวโม่ ท้ายสุดทำเตาหลอมแตกโดยไม่ตั้งใจ
ตอนนั้นท่าทีต่อโหยวเสี่ยวโม่ที่ทำสำเร็จแต่ทีแรก ความรู้สึกของศิษย์พี่เฉินจึงไม่ค่อยดีนัก จากนั้นเห็นเขาได้รับคำชมจากศิษย์พี่อู๋ ในใจจึงยิ่งไม่ชอบโหยวเสี่ยวโม่ ต่อมายังได้ยินข่าวเื่ขงเหวินรับเขาเป็ศิษย์ ในใจจึงอิจฉาริษยา
หากแต่หลังจากครั้งนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้เห็นโหยวเสี่ยวโม่อีก ตอนนี้ได้เจอเขา ในใจยังคงไม่รู้สึกชื่นชอบนัก แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
“ศิษย์พี่เฉิน จากที่ท่านพูด หากทำผิดพลาด งั้นก็ต้องขายหน้าต่อหน้าคนมากมายสิ”
โหยวเสี่ยวโม่รับรู้ถึงความบาดหมางใจของทั้งสามทัพเป็ครั้งแรก หากแข่งขันกันต่อไปเช่นนี้ ทัพพิภพและทัพ์คงมีความคลางแคลงใจกันอย่างไม่อาจแก้ไขได้ และมันก็ไม่ดีต่อภายในสำนักเทียนซินเองด้วย
“นั่นมันแน่นอน โดยเฉพาะเ้า ศิษย์น้องโหยว เ้าเป็ถึงศิษย์อาจารย์ขงเหวิน หากขายหน้าต่อหน้าผู้คน ผลลัพธ์ไม่อาจคาดเดาได้เลย!” ศิษย์พี่เฉินรีบโยนมาทางโหยวเสี่ยวโม่ ใบหน้าแฝงไปด้วยความสนุกสนานบนความทุกข์คนอื่น
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็ห่วง ข้าจะพยายาม” โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มแล้วตอบ
ใครเป็ห่วงเ้ากัน ศิษย์พี่เฉินทำเสียง ‘ชิ’
แม้ว่าจะได้ข้อมูลที่้าแล้ว แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้จากมาทันที ยังคงพูดคุยต่ออีกสักพัก
กลางคืน มีศิษย์คนหนึ่งมาแจ้งข่าวกับโหยวเสี่ยวโม่ ว่าการทดสอบพรุ่งนี้เริ่มขึ้นตอนเก้าโมง ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่เรือนหญ้าเซียนก่อนเก้าโมง
หลังจากส่งศิษย์พี่คนนั้นแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็ปิดประตูเข้านอน เขาไม่ได้รีบหลอมยา เพราะอย่างไรเวลาทั้งคืนก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี อีกอย่างเขาก็ไม่ได้พักผ่อนแบบปกติมานานมากแล้ว
กลางคืนหลิงเซียวไม่ได้มาหาเขา เพราะมีธุระต้องจัดการ วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นแล้วมารวมตัวที่จุดนัดพบ โหยวเสี่ยวโม่ก็ยังไม่เห็นหลิงเซียว
คราวนี้คนที่พาพวกเขาไปทดสอบคือขงเหวิน
แม้ว่าศิษย์ที่ทดสอบล้วนเป็คนที่พึ่งเข้ามาราวครึ่งปี แต่จำนวนทั้งหมดรวมกันก็นับว่าไม่น้อย มาจากทั้งสามทัพ ดังนั้นขงเหวินจึงให้ความสำคัญกับเื่นี้
หอประชุมแขนงโอสถ คือจุดหมายของพวกเขา
สถาปัตยกรรมหอประชุมแขนงโอสถนั้นถือว่าพิเศษที่สุดในบรรดาสิ่งก่อสร้าง รูปร่างภายนอกนั้นคล้ายกับเตาหลอมสีดำอันใหญ่ ดูแล้วพิเศษมาก หน้าทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตวางประดับอยู่สองตัว ดวงตาสีแดงคือหยกแกะสลัก ราวกับจ้องลึกเข้าไปในใจคนได้ มองแค่แวบเดียวก็ไม่กล้ามองอีก
้าอาคารนั้นมีแผ่นป้ายสีแดงแขวนอยู่ บนแผ่นป้ายแกะสลักตัวอักษรเรียวงาม ‘หอประชุมแขนงโอสถ’ เส้นตัวอักษรมีน้ำหนัก ดูออกว่าทำจากฝีมือช่างใหญ่
ขงเหวินพูดคุยกับคนเฝ้าหอประชุมด้านนอกสองสามคำ จากนั้นพาทุกคนเข้าไปยังอาคาร
โหยวเสี่ยวโม่เดินรั้งท้าย แหงนหน้ามองแผ่นป้าย รู้สึกถึงความกดดัน จากนั้นสอดส่องรอบด้าน ไม่เห็นคนของทัพ์หรือทัพวิหค คงยังไม่มาหรืออาจอยู่ด้านในแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปแล้ว ทันใดก็มีกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ โชยมา พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
โถงประชุมด้านในกว้างขวาง คงจุคนได้ราวห้าร้อยคนขึ้นไป จากด้านนอกมองแทบไม่ออกว่าด้านในจะโอ่อ่าเพียงนี้ รู้สึกว่าจู่ๆ ก็ช่องเล็กๆ ถูกเปิดออกกว้าง ด้านในมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ กำลังยืนคุยกัน ส่วนใหญ่เป็พวกหนุ่มสาว บ้างดูแล้วยังไม่ถึงสิบห้าปีด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า คนกลุ่มนั้นก็หันมาตามต้นเสียง
เมื่อเห็นคนเดินนำคือขงเหวิน สายตาสงสัยพลันเปลี่ยนเป็เคารพเลื่อมใส
ขงเหวินแม้จะเป็คนของขงเหวิน แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นักหลอมโอสถขั้นสูง ทั้งยังเป็ผู้าุโ แม้พวกเขาจะไม่เห็นหัวศิษย์ทัพพิภพ แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรต่อหน้าเขา
โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้จักคนด้านใน แต่ศิษย์รอบๆ เขาต่างรู้จัก
เมื่อเห็นพวกเขา จากที่คุยได้อรรถรสก็พลันเงียบเสียงลง สีหน้าดูไม่จืดเท่าไร โหยวเสี่ยวโม่เดาได้ทันทีว่าศิษย์พวกนั้นคงเป็ศิษย์จากทัพ์
ในกลุ่มนั้นมีชายวัยกลางคนไว้หนวดเคราเดินฝ่ากลุ่มออกมา ขงเหวินหันกลับมาให้ศิษย์ไปยืนรออีกด้านหนึ่ง จากนั้นตนก็เดินไปหาคนนั้น
โหยวเสี่ยวโม่จำคนนี้ได้ เขาคือโม่กู่ อาจารย์ทัพ์ที่พาพวกเขาลงเขาครั้งแรก เป็นักหลอมโอสถขั้นห้า
“ศิษย์พี่ขง ทำไมครั้งนี้ถึงพาศิษย์มาเอง ศิษย์พี่เซียวล่ะ?” โม่กู่ยกมือคำนับเป็พิธี สถานะของเขาต่ำกว่าขงเหวิน คำนับเขานั้นเป็เื่สมควร
ขงเหวินเพียงพยักหน้าเบาๆ “เขามีธุระพอดี ดังนั้นข้าจึงพามาแทน เวลาใกล้เริ่มแล้ว คนของทัพวิหคยังไม่มาหรือ?”
ศิษย์พี่เซียวก็คืออาจารย์หนึ่งในสองคนที่่ก่อนโหยวเสี่ยวโม่เจอตอน ‘ประชุมสามเหล่าทัพ’ ที่ผ่านมารับหน้าที่พาคนมาทดสอบ คราวนี้เปลี่ยนเป็ขงเหวิน ดังนั้นโม่กู่ถึงได้เอะใจ
พูดไม่ทันจบ ตรงทางเข้าก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
ขงเหวินกับโม่กู่หันไปพร้อมกัน คนที่เดินนำมาก็คือผู้นำทัพวิหคชื่อ โจวอวี่ เคราขาวยาวเฟื้อย ใบหน้าโอบอ้อมอารี ดูท่าทางใจดี เป็นักหลอมโอสถขั้นสูงเช่นเดียวกับขงเหวิน มีอำนาจชื่อเสียงพอสมควร แต่ไม่ค่อยมีตัวตน นี่ก็เป็อีกเหตุผลหนึ่งที่เวลาทัพ์และทัพพิภพทะเลาะกันทีไร โจวอวี่ถึงต้องเป็คนกลางคอยไกล่เกลี่ยตลอดเวลา
เพราะไม่ค่อยมีตัวตน ดังนั้นบางคราวก็มีคนลืมไปว่ามีเขาอยู่ ไม่เพียงแค่นั้น ศิษย์ทัพวิหคนั้นต่างก็ถ่อมตนกันพอสมควร
สำหรับเื่ที่มาเหยียบเส้นเวลาพอดี โจวอวี่แสดงความขอโทษอย่างมีมารยาท
ขงเหวินไม่ได้ใส่ใจ แต่โม่กู่นั้นยังเอ่ยยกยอเขาไปบ้าง
โจวอวี่ลูบเคราที่รักของเขา ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มใจดี เป็ข้อดีที่ทำให้คนไม่รู้สึกเกลียดไม่ลง กับการทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย เขาก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน
“ถึงเวลาแล้ว ให้ศิษย์มารวมตัวกันเถอะ ต่อไปจะเริ่มการทดสอบ” ขงเหวินกล่าวกับทั้งสองเพียงคำเดียว จากนั้นหันหลังไปหาศิษย์ของตน
โจวอวี่กับโม่กู่ไม่ได้เอ่ยอะไร ต่างก็กลับไปหากลุ่มลูกศิษย์ตัวเองเพื่อวางแผนเื่การทดสอบ
การเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ ล้วนเป็คนที่พึ่งรับเข้ามายังสำนักเทียนซินได้เพียงครึ่งปี บางคนได้รับเลือกเป็ศิษย์หลักแล้ว บางคนยังเป็เพียงศิษย์ฝึกหัดอยู่ แม้การดูแลจะต่างกัน แต่ตอนทดสอบนั้นมีใช้เกณฑ์เดียวกัน ทุกคนต่างเข้าร่วมสำนักเหลื่อมกันไม่กี่วัน
ขงเหวินเรียกศิษย์ทุกคนมารวมตัวใกล้ๆ เขาไม่ได้เรียกโหยวเสี่ยวโม่มาใกล้ตัวเองเพียงเพราะเขาเป็ศิษย์สายตรงของตนเอง กำชับเื่ข้อควรระวังในการทดสอบแล้วก็เริ่มช่วยพวกเขาวางแผนเตรียมการทดสอบ
เพื่อกันความวุ่นวาย ศิษย์ทั้งสามทัพจะได้รับแผ่นป้ายคนละหนึ่งอัน ้าจะแกะสลักตัวเลขไว้ ตอนทดสอบให้ใช้ตัวเลขตามแผ่นป้ายแทนชื่อตัวเอง
ศิษย์ทัพพิภพมีทั้งหมดยี่สิบสี่คน จำนวนตัวเลขนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว แต่เฉลี่ยกันแล้วก็พอกันกับอีกสองทัพที่มีเท่ากัน แต่ศักยภาพของพวกเขาดูออกชัดเจนว่าดีกว่าทัพพิภพ
โหยวเสี่ยวโม่ได้รับป้ายสีเหลืองมา ้ามีเลขเจ็ดสลักไว้
เขามองไปยังฝั่งทัพ์และทัพวิหค ป้ายนั้นเป็สีแดงและสีเขียว เพื่อใช้แยกศิษย์ทั้งสามทัพ
พิธีกรในการทดสอบคือผู้าุโท่านหนึ่งของหอประชุมแขนงโอสถ เมื่อผู้เฒ่าเห็นทุกคนมีป้ายเป็ของตัวเองแล้ว จึงเริ่มกล่าวเริ่มการทดสอบ จบการกล่าวของเขา บนพื้นก็สั่นะเื พริบตาเดียวแท่นหินเก้าอันก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น
