อวิ๋นเจียวเบะปากบ่นพึมพำ “อย่าบอกนะว่าโรงหลอมเหล็กอันหลิงก็เป็ของท่านด้วย”
ฉู่อี้รู้สึกเขินอายขึ้นมาอีก “แค่กๆ... เอ่อ... ทั้งโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงและโรงหลอมเหล็กอันหลิงล้วนเป็สมบัติที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า แม้แต่ท่านพ่อยังไม่รู้เลย คนภายนอกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
เอาล่ะ อวิ๋นเจียวยอมแพ้โดยสิ้นเชิง ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นี้นอกจากจะเป็ถึงท่านโหวแล้วยังเป็ถึงทายาทเศรษฐีอีกด้วย
อวิ๋นเจียวเอ่ยถาม “แล้วท่านอาจารย์ตั่งกับท่านอาจารย์หม่ารู้เื่นี้หรือไม่เ้าคะ?”
ฉู่อี้ตอบ “ไม่รู้หรอก แต่โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงและโรงหลอมเหล็กอันหลิงล้วนเป็โรงงานที่ดีที่สุดในแคว้นต้าเยี่ย อาจารย์ทั้งสองแนะนำให้พวกเ้าก็สมเหตุสมผลแล้ว”
อวิ๋นเจียว: ...ยังจะพูดชมตัวเองอีก
“เจียวเอ๋อร์ พรุ่งนี้ค่อยไปโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงก็ได้ วันนี้พักผ่อนก่อนสักวันเถิด” เมื่อเห็นท่าทีของอวิ๋นเจียวที่ดูเหมือนจะเริ่มถกเถียงกับฉู่อี้ ฟางซื่อจึงรีบเอ่ยขัดขึ้น
แต่ในใจนางก็อดคิดไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางยังคิดจะตีตัวออกหากจากฉู่อี้อยู่เลย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็ว่าครอบครัวของนางมีความเกี่ยวข้องกับฉู่อี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ช่างเถอะ หากเป็โชคก็ย่อมไม่เป็ภัย หากเป็ภัยก็หนีไม่พ้น นางกับสามีทำได้เพียงแค่ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น หากเกิดเื่ไม่ชอบมาพากลขึ้นเมื่อใดก็จะพาเจียวเอ๋อร์ไปอยู่แคว้นสู่เสียเลย
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จอวิ๋นเจียวก็กลับห้องไปพักผ่อน เนื่องจากจองโรงเตี๊ยมไว้ทั้งหลัง พวกนางจึงเลือกห้องพักได้ตามใจชอบ ภายใต้การจัดการของจางหลิง ครอบครัวของอวิ๋นเจียวได้พักที่ห้องพักชั้นบนอย่างดีสองห้อง ฉู่อี้ยังจัดให้สาวใช้มาปรนนิบัติอวิ๋นเจียวและฟางซื่อโดยเฉพาะ
ห้องของฉู่อี้ก็อยู่ติดกับห้องของอวิ๋นเจียว หลังจากที่เขาพักผ่อน่บ่ายแล้วก็พาจางหลิงและเซี่ยโหวออกไปข้างนอก
อวิ๋นเจียวหลับยาวจนถึงมื้ออาหารเย็นถึงได้ตื่นขึ้นมา ภายใต้การปรนนิบัติของโม่ซ่าน สาวใช้วัยสิบสามสิบสี่ปีที่ฉู่อี้จัดมาให้ นางก็ได้รับการดูแลให้ล้างหน้าและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
“คุณหนูเ้าคะ นี่คือสัญญาขายตัวของบ่าว โปรดรับไว้ด้วยเ้าค่ะ นับจากวันนี้เป็ต้นไปชีวิตของบ่าวจะเป็คนของคุณหนู จะปกป้องคุณหนูด้วยชีวิตเ้าค่ะ” เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จโม่ซ่านก็คุกเข่าลงตรงหน้านาง หยิบสัญญาขายตัวออกมาจากอกเสื้อ ยกขึ้นเหนือหัวมอบให้กับอวิ๋นเจียว
“สัญญาขายตัวหรือ?”
“เ้าค่ะ ท่านโหวมอบบ่าวให้เป็ของขวัญตอบแทนคุณหนูเ้าค่ะ”
อวิ๋นเจียวเข้าใจในทันที คงจะเป็เพราะเื่โรคระบาดเป็แน่ เมื่อนึกถึงสินบนที่เขาได้รับมาจากนายอำเภอ อวิ๋นเจียวก็รับสัญญาขายตัวมาด้วยความสบายใจ
“เ้าลุกขึ้นเถิด ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าบ่าวแล้ว เรียกชื่อตัวเองก็พอ” ถึงอย่างไรนางก็เป็คนที่ฉู่อี้มอบให้ การให้เกียรตินาง ก็ถือว่าเป็การให้เกียรติฉู่อี้ไปด้วย
“เ้าค่ะ คุณหนู โม่ซ่านขอให้คุณหนูประทานชื่อใหม่เ้าค่ะ!” สาวใช้ในยุคนี้ไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อเดิมของตนเอง ทุกครั้งที่เปลี่ยนเ้านายก็ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่
“ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว โม่ซ่านเป็ชื่อที่เพราะอยู่แล้ว”
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ คุณหนู!”
“เ้ามีครอบครัวหรือไม่? เชี่ยวชาญด้านใดบ้าง?” ต่อไปนางต้องใช้งานสาวใช้ผู้นี้ ดังนั้นจึงจำเป็ต้องรู้จักนางให้มากขึ้น
“เรียนคุณหนู โม่ซ่านเป็เด็กกำพร้า ถูกท่านอาจารย์ช่วยชีวิตไว้ ต่อมาท่านอาจารย์ก็มอบตัวบ่าวให้ท่านโหว ตอนที่อยู่กับท่านอาจารย์ ชีวิตของโม่ซ่านเป็ของท่านอาจารย์ พอติดตามท่านโหว ชีวิตของโม่ซ่านก็เป็ของท่านโหว ตอนนี้ติดตามคุณหนู ชีวิตของโม่ซ่านก็เป็ของคุณหนูเ้าค่ะ โม่ซ่านร่ำเรียนวิทยายุทธ์และอาวุธลับมาบ้าง แต่ทำอาหารไม่เป็เ้าค่ะ”
จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าทำไม่เป็ เพียงแต่นางทุ่มเทให้กับการฝึกฝนวิทยายุทธ์มาโดยตลอด จึงไม่มีเวลาฝึกฝนด้านการทำอาหาร อาหารที่นางทำจึงทำได้แค่อุ่นให้สุกและกินได้เท่านั้น
บังเอิญจริงๆ นางกำลังอยากได้สาวใช้ที่เก่งกาจด้านวิทยายุทธ์พอดี ครั้งที่แล้วที่เกือบถูกฆ่านั้น ทำให้อวิ๋นเจียวยังคงหวาดผวาอยู่จนถึงตอนนี้ หากมีสาวใช้ที่เก่งกาจด้านวิทยายุทธ์อยู่เคียงข้าง ต่อไปเวลานางออกไปข้างนอกก็จะปลอดภัยมากขึ้น
อวิ๋นเจียวอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย “สำนักของเ้าอยู่ที่ใด?”
โม่ซ่านตอบ “เรียนคุณหนู โม่ซ่านเป็ศิษย์สำนักโม่เ้าค่ะ”
สำนักโม่ ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่ดี
“ในสำนักของเ้าคงมียอดฝีมือมากมายสินะ พวกเขาเหาะได้หรือไม่?” อวิ๋นเจียวอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น ถึงอย่างไรนางในชาติก่อนก็เคยอ่านนิยายกำลังภายในและดูละครกำลังภายในมาไม่น้อย
โม่ซ่านตอบ “เ้าค่ะ สำนักโม่มียอดฝีมืออยู่มากมาย แต่ผู้าุโของพวกเราล้วนใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เร้นกายอยู่ตามที่ต่างๆ ไม่มีใครเหาะได้หรอกเ้าค่ะ เพียงแต่ฝึกวิชาตัวเบาจนสามารถะโขึ้นหลังคาและเดินบนกำแพงได้ โม่ซ่านก็ฝึกวิชาตัวเบามาบ้าง แต่เทียบกับผู้าุโในสำนักแล้ว ยังห่างไกลนัก โม่ซ่านเพียงแค่ปีนกำแพงได้เร็วกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเ้าค่ะ”
สาวใช้คนนี้ช่างซื่อตรงเสียจริง อวิ๋นเจียวก็ไม่ได้คิดเลยว่าตอนนี้นางถือสัญญาขายตัวของโม่ซ่านอยู่ โม่ซ่านจึงไม่มีทางปิดบังนางอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือนางไม่มีทางล่วงรู้ความลับของสำนัก และไม่มีอะไรที่จะเปิดเผยให้คนนอกได้ยิน
พูดจบโม่ซ่านก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางนอบน้อม “คุณหนู อาหารที่ฮูหยินใหญ่ลงมือทำเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราลงไปกันเถิดเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นเจียวจึงลุกขึ้นยืน เดินตามโม่ซ่านไปที่ห้องอาหาร พอไปถึงก็พบว่าทุกคนรอนางอยู่ที่นั่นแล้วจริงๆ
“เจียวเอ๋อร์ หลับสบายหรือไม่?” อวิ๋นโส่วจงเอ่ยถาม
อวิ๋นเจียวพยักหน้า “หลับสบายมากเ้าค่ะ แต่แบบนี้กลางคืนคงนอนไม่หลับแน่ๆ”
ฉู่อี้รีบพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นคืนนี้พวกเราไปล่องเรือกันเถิด ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองจิ่วเจียงงดงามมาก พวกเรายังปล่อยโคมลอยแม่น้ำเล่นกันได้อีกด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตากลมโตของอวิ๋นเจียวก็เป็ประกาย นางรีบหันไปมองฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจง “ท่านพ่อ ท่านแม่ คืนนี้พวกเราไปล่องเรือกันเถอะนะเ้าคะ”
ฟางซื่อกับอวิ๋นโส่วจงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม ฟางซื่อกล่าว “ตกลงๆ บ่ายนี้ข้ากับท่านพ่อของเ้าก็นอนพักผ่อนมาแล้ว ่ค่ำคงนอนไม่หลับเช่นกัน”
ฉู่อี้ตักน้ำแกงให้อวิ๋นเจียวหนึ่งถ้วย จากนั้นก็คีบกับข้าวให้ ทำให้อวิ๋นเจียวรู้สึกเหมือนกับว่าอวิ๋นฉี่เยว่อยู่ข้างๆ แต่มันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างกัน อวิ๋นเจียวคิดว่านี่คงเป็เพราะนางสนิทกับอวิ๋นฉี่เยว่มากกว่าฉู่อี้
อวิ๋นเจียวดื่มน้ำแกงและกินข้าวอย่างว่าง่าย ระหว่างนั้นฉู่อี้ก็เล่าเื่ราวของเมืองจิ่วเจียงให้ฟังเป็ระยะ และยังเล่าเื่ตลกให้นางฟังเป็ครั้งคราว เรียกเสียงหัวเราะจากนางได้ตลอดเวลา
จางหลิงที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก มุมปากกระตุกจนแทบจะเป็ตะคริว ข้างในนั้น ต้องเป็เจิ้นหย่วนโหวตัวปลอมแน่ๆ
โอ้พระเ้า ท่านโหวที่แสนเ็าและเคร่งขรึมของพวกเขา ทำไมพออยู่ต่อหน้าคนตระกูลอวิ๋นถึงได้เหมือนก้อนน้ำแข็งที่ถูกแสงแดดส่องสว่าง จนละลายในพริบตา
โรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกลจากริมแม่น้ำนัก เพื่อเป็การย่อยอาหารทุกคนจึงเดินไปที่ริมแม่น้ำตามคำชวนของอวิ๋นเจียว บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองจิ่วเจียง นอกจากร้านอาหารที่ยังคงเปิดอยู่ ร้านค้าอื่นๆ ปิดทำการหมดแล้ว บนถนนจึงค่อนข้างเงียบสงบ
ฉู่อี้จูงมืออวิ๋นเจียวเดินนำหน้า ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงเดินตามหลังพวกเขามาติดๆ จากนั้นก็เป็องครักษ์และคนรับใช้ ตามมาด้วยรถม้าอีกสองคัน
ขบวนเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างจ้องมองด้วยความตกตะลึง แต่ทุกคนรู้ดีว่าผู้ที่สามารถแสดงอำนาจเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาจึงรีบหลบทางด้วยความเกรงกลัวว่าจะไปชนเข้ากับท่านผู้สูงศักดิ์เข้า
พอมาถึงริมแม่น้ำบรรยากาศก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สองฝั่งของท่าเรือประดับประดาไปด้วยโคมไฟที่แขวนเรียงรายเป็แถวยาว ใต้โคมไฟพ่อค้าแม่ขายต่างพากันตั้งแผงขายของอย่างคึกคัก
ฉู่อี้หันไปถามอวิ๋นเจียว “อยากเดินเล่นหรือไม่?”
อวิ๋นเจียวรีบพยักหน้า “เ้าค่ะ อยากเดินเล่น”
นางยังไม่เคยเห็นตลาดกลางคืนในยุคโบราณมาก่อน ความทรงจำของเ้าของร่างเดิมมีเพียงภาพตลาดกลางคืนในเมืองหลวง ตลาดกลางคืนในเมืองหลวงมีเพียงถนนเส้นเดียวส่วนใหญ่เป็แผงขายอาหาร
แต่ตลาดกลางคืนริมแม่น้ำในเมืองจิ่วเจียงนั้นแตกต่างออกไป นอกจากแผงขายอาหารแล้ว ยังมีแผงขายของกระจุกกระจิกมากมาย อาทิเช่น ตุ๊กตาแป้ง ตุ๊กตาน้ำตาล เครื่องหอม ปิ่นปักผมและเครื่องประดับต่างๆ ก็มีให้เลือกสรร
บนแผงขายของแต่ละร้านล้วนประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงสองดวง เมื่อมองจากระยะไกลส่องแสงสีแดงสว่างไสวดูงดงามยิ่งนัก พ่อค้าแม่ขายต่างะโขายสินค้าอย่างแข็งขัน ผู้คนที่ออกมาเดินเที่ยวชมตลาดกลางคืนมีทั้งหญิงชาย เด็กเล็กและผู้สูงอายุ