ซุนเฟยมองการกระทำของโอเลเกร์ก็รู้แล้วว่า คราวนี้เ้าอ้วนนี้เข้าใจความหมายของตัวเองแล้วจริงๆ จึงพยักหน้าอย่างยินดี
เขาไม่จำเป็ต้องพูดอะไรมากอีก
ความคิดหนึ่งก็แล่นขึ้นมา ก่อนจะวางก้อนหินเวทมนตร์สีแดงก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะพลางถามว่า “มาดูสิ เ้ารู้จักมันหรือไหม?”
“นี่มันก้อนหินเวทมนตร์ธาตุไฟระดับต่ำ”
ใบหน้าของโอเลเกร์เผยสีหน้าตื่นใก่อนจะตอบกลับมาตามตรง
“อืม ในเมื่อเ้ารู้จักมัน งั้นมาพูดเกี่ยวกับก้อนหินเวทมนตร์เถอะ เ้ารู้อะไรมากน้อยแค่ไหน”
โอเลเกร์ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ องค์าาถึงถามเื่ก้อนหินเวทมนตร์ แต่เขาไม่กล้าละเลย หลังจากเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วจึงตอบกลับมาอย่างจริงจังว่า “ก้อนหินเวทมนตร์เป็อัญมณีมหัศจรรย์ที่มีพลังธาตุแฝงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม สามารถแบ่งสูงต่ำได้ห้าระดับคือ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับหายากและระดับตำนาน บนแผ่นดินอาเซรอท ก้อนหินเวทมนตร์เรียกได้ว่าเป็สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่งคั่งเหนือชั้นกว่าเหรียญทอง โดยเฉพาะสำหรับนักรบและนักเวทจำนวนมาก คุณค่าของก้อนหินเวทมนตร์เหนือกว่าเหรียญทองเสียอีก เพราะนักเวทสามารถใช้ประโยชน์จากพลังธาตุที่แฝงอยู่ในนั้นมาเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังเวทตัวเอง สร้างวงจรเวทมนตร์ สร้างม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ สร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ ส่วนพวกนักรบก็สามารถดูดซับพลังธาตุในนั้นมาเพิ่มคลื่นพลังของตัวเองเพื่อเพิ่มความเร็วในการก่อตัวคลื่นพลังจนกลายเป็ระดับดาวได้...”
“อ้อ?” ซุนเฟยตะลึง “งั้นตามที่เ้าพูด นักรบสามารถใช้ก้อนหินเวทมนตร์เพิ่มคลื่นพลังได้?”
“ใช่แล้ว ฝ่าา”
“อืม...ดี เ้าอธิบายข้อแตกต่างของก้อนหินเวทมนตร์ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับหายากและระดับตำนานได้ไหม? ว่าระหว่างพวกมันมีอัตราส่วนแลกเปลี่ยนอย่างไร?”
นี่เป็ปัญหาที่ซุนเฟยกังวล
“ได้ขอรับ ฝ่าา ระดับความสูงต่ำของก้อนหินเวทมนตร์ขึ้นอยู่กับพลังธาตุที่แฝงอยู่ โดยปกติแล้ว พลังธาตุที่แฝงอยู่ก้อนหินเวทมนตร์ระดับกลางหนึ่งก้อนจะมีพลังหนึ่งร้อยเท่าของก้อนหินเวทมนตร์ระดับต่ำหนึ่งก้อน ก้อนหินเวทมนตร์ระดับสูงหนึ่งก้อนจะมีพลังหนึ่งร้อยเท่าของก้อนหินเวทมนตร์ระดับกลางหนึ่งก้อน และก้อนหินเวทมนตร์ระดับตำนานหนึ่งก้อนจะมีพลังหนึ่งร้อยเท่าของก้อนหินเวทมนตร์ระดับสูงหนึ่งก้อน นี่เป็เพียงการประมาณโดยทั่วไปเท่านั้น”
โอเลเกร์พูดอย่างช้าๆ พยายามอธิบายคำตอบของตัวเองอย่างละเอียด
“...อัตราส่วนแลกเปลี่ยนระหว่างก้อนหินเวทมนตร์แต่ละระดับไม่เหมือนกัน เดิมทีตามอัตราส่วนนี้ก็ควรเป็หนึ่งต่อหนึ่งร้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วปริมาณพลังธาตุของก้อนหินเวทมนตร์ค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงไม่สามารถวัดได้ด้วยปริมาณพลังธาตุ บ่อยครั้งที่เกิดความผันผวนของราคาซื้อขาย เช่น ก้อนหินเวทย์มนตร์ระดับกลางหนึ่งก้อนสามารถแลกเปลี่ยนก้อนหินเวทมนตร์ระดับต่ำได้มากกว่าหนึ่งร้อยก้อน แต่ถ้าอยู่ใน่เวลาพิเศษ เช่น เกิดา นักเวทระดับสูงต้องผลิตม้วนคัมภีร์เวทมนตร์จำนวนมาก ปริมาณความ้าก็จะมากเพิ่มไปด้วย ในตอนนั้นอัตราส่วนในการแลกเปลี่ยนก็จะแตกต่างกัน ก้อนหินเวทมนตร์ระดับกลางอาจแลกเปลี่ยนได้ที่หนึ่งต่อหนึ่งร้อยห้าสิบถึงหนึ่งต่อสองร้อยขึ้นไป”
ในใจของซุนเฟยก็รู้สึกยินดี
การคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาได้รับการยืนยันแล้ว ความหมายนี้ก็คือ แผนการต่อไปของตัวเองก็สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นแล้ว
เห็นได้ชัดว่าการแบ่งระดับก้อนหินเวทมนตร์เป็ห้าระดับ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับหายากและระดับตำนาน เหมือนการแบ่งระดับของอัญมณีในโลก Diablo ทั้งห้าระดับคือ ‘เกล็ดอัญมณี’ ‘อัญมณีตำหนิ’ ‘อัญมณีทั่วไป’ ‘อัญมณีล้ำค่า’ และ ‘อัญมณีสมบูรณ์’ แต่ในโลก Diablo ทุกอัญมณีในแต่ะละระดับ อัตราส่วนในการอัปเกรดคือสามต่อหนึ่ง หลังจากนี้ แค่ไปนำ ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ ในห้องโถงแห่งความตายที่ ‘ลุกค์ โกลไลน์’ มา ซุนเฟยก็สามารถทำการอัปเกรดให้อัญมณีกลายเป็อัญมณีสมบูรณ์ได้ จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากอัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างโลกแห่งความเป็จริงกับโลกของ Diablo คว้าผลกำไรมหาศาล
“ในเมืองแซมบอร์ดของพวกเรา มีลู่ทางอะไรในการแลกเปลี่ยนก้อนหินเวทมนตร์ไหม?”
ซุนเฟยพยายามควบคุมอาการดีใจของตัวเองแล้วถามต่อ
“รายงานฝ่าา การแลกเปลี่ยนก้อนหินเวทมนตร์นั้น แน่นอนว่าสามารถดำเนินการได้กับกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่บางแห่ง แต่เมืองแซมบอร์ดของพวกเราค่อนข้างอยู่ไกลมาก ดังนั้นจึงมีคาราวานพ่อค้าและกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่มาหาพวกเราที่นี่น้อยมาก หาก้าแลกเปลี่ยนก้อนหินเวทมนตร์ก็จำเป็ต้องส่งคาราวานพ่อค้าของเราออกไปติดต่อกับคนข้างนอก”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าเมืองแซมบอร์ดตอนนี้ไม่มีลู่ทางในการแลกเปลี่ยนก้อนหินเวทมนตร์เลยหรือ?” ซุนเฟยหมดหวัง
“ข้าคิดๆ แล้ว...จริงสิ ยังพอมีอีกลู่ทางหนึ่ง โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์สามารถทำได้ แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะไม่ค่อยเปิดให้คนภายนอกสักเท่าไร” โอเลเกร์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบกลับ
โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์?
ทันใดนั้นซุนเฟยพลันตาเป็ประกาย
ในใจก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“เอาล่ะ เ้าไปทำงานต่อเถอะ...อ้อ จริงสิ ควรเร่งการปรับเปลี่ยนเรือนจำให้เร็วอีกนิด แต่เราไม่อาจให้พวกทหารกับพวกช่างตีเหล็กเหนื่อยกว่านี้แล้ว จำไว้ ด้านอาหารและค่าตอบแทนของช่างตีเหล็กจะต้องไม่ละเลยพวกเขาอย่างเด็ดขาด สิ่งใดที่ควรจัดการ ข้าคิดว่าเ้าคงรู้แน่ชัดแล้ว หากมีปัญหามาถึงข้า ข้าจะลงโทษเ้า” ซุนเฟยพูดเสียงเข้ม
โอเลเกร์เป็คนฉลาด เขารู้ว่าที่องค์าาพูดเช่นนี้แสดงถึงความพึงพอใจในการกระทำของเขาในครั้งนี้ เขาได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าแล้วโค้งกายทำความเคารพก่อนจะหมุนตัวจากไป
ซุนเฟยนั่งคิดบางอย่างอยู่เงียบๆ อย่างไรก็ตามไม่จำเป็ที่เขาจะต้องจัดการกับเื่นี้อีก เมื่อได้เวลาแล้ว เขาก็กำชับทหารรักษาการณ์ตรงหน้าประตูห้องโถงว่าอย่าให้ใครเข้ามา จากนั้นก็เปิดประตูมิติในห้องโถงแล้วเข้าสู่โลก Diablo
……
ในโลก Diablo
ในส่วนที่ลึกเข้าไปใน ‘เนินเขาแห้งแล้ง’ นอกเมือง ‘ลุกค์ โกลไลน์’
ชั้นที่สามของชั้นใต้ดิน ‘ห้องโถงแห่งความตาย’
ซุนเฟยพาทหารรับจ้างสาวเอเลน่ามาที่นี่อีกครั้ง
‘ห้องโถงแห่งความตาย’ เป็สุสานใต้ดิน รูปแบบคล้ายกับเขาวงกตใต้ดินด้านหลังูเาเมืองแซมบอร์ด และยังเป็เขาวงกตที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับความโอ่อ่าสวยงามแล้ว มันดีกว่าเขาวงกตใต้ดินเมืองแซมบอร์ดมาก ในนี้มีระเบียงทางเดินที่ยาวเหยียด บนกำแพงหินระเบียงทางเดินก็เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่เลือนรางบางส่วน บอกเล่าถึงความรุ่งเรืองของยุคโบราณ นอกจากจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ทุกที่ยังสามารถมองเห็นเสาหินขนาดใหญ่ บนบานประตูห้องลับเต็มไปด้วยอักขระเวทมนตร์แปลกๆ พลังธาตุเวทมนตร์ถูกซ่อนเอาไว้ เพียงััเบาๆ ก็เกิดะเิเสียงดังตูมก่อนจะค่อยๆ จมลงไปใต้พื้น เผยให้เห็นพื้นที่ภายในห้องลับหลังประตูหิน
ซุนเฟยดื่มน้ำยาพลางใช้ตัวเองเป็โล่เนื้อยืนขวางหน้าประตูห้องลับ ไม่ให้พวกมอนสเตอร์ที่อยู่ด้านในวิ่งออกมา เขาสะบัดขวานั์ในมือ ตัดทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ลูกธนูเย็นะเืในมือของเอเลน่าเหนี่ยวยิงออกมาลอยข้ามหัวของซุนเฟยดังฟิ้วๆๆ แล้วคร่าชีวิตเหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่ด้านหน้าอย่างแม่นยำ
ทั้งสองคนต่างร่วมมือกันในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่แบบนี้หลายต่อหลายครั้ง ไม่ช้าก็คุ้นเคยกัน หนึ่งมอง หนึ่งขยับ ก็สามารถสังหารเหล่ามอนสเตอร์จนวอดวาย เรียกได้ว่าเป็คู่หูที่รู้ใจที่สุด
ภายใต้การร่วมมือกัน ในที่สุดบอสใหญ่อย่าง ‘บลัดวิช ไวน์ด’ ของ ‘ห้องโถงแห่งความตาย’ ก็รับมือไม่ไหว สุดท้ายได้แต่กรีดร้องอย่างเ็ปแล้วกระอักเืออกมา ก่อนจะล้มลงนอนบนกองเื
และเมื่อบอสตายไป ก็มีเสียงดัง ‘ติ๊งต่อง’ ขึ้น แสงสีทองเป็ประกายสว่างขึ้นมา พร้อมกับมีกล่องสีทองที่เต็มไปด้วยลวดลายเวทมนตร์ลึกลับปรากกฎขึ้นบนพื้น โดยมีแสงสีเทากะพริบอยู่ มองดูแล้วน่าปวดหัว
“เป็ ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’!”
ซุนเฟยร้องออกมาอย่างดีใจ เขาไม่สนใจเมจิคไอเทมทั้งสามชิ้นและแรร์ไอเทมอีกชิ้นหนึ่งที่ตกบนพื้น เขารีบคว้า ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ ขึ้นมา ราวกับหยิบสมบัติอันล้ำค่าที่สุดในโลก ก่อนจะตรวจสอบอย่างระมัดระวังหลายรอบ อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง
รูปลักษณ์ภายนอกของ ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ เป็กล่องที่สร้างขึ้นด้วยเหล็ก ความยาวและความกว้างประมาณยี่สิบเิเ บนตัวกล่องมีแถบโละสีเหลืองและมีลวดลายโบราณเหมือนเถาวัลย์พันรอบกล่อง ดูเหมือนจะหนักราวๆ สามสิบสี่สิบจิน แต่พอถือจริงๆ กลับเบามาก ไม่ต่างอะไรกับขนนก
ซุนเฟยรีบเปิด ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ ดู ด้านในเหมือนช่องเก็บของ มีพื้นที่กว้างสามสูงสี่ รวมๆ แล้วมีพื้นที่ทั้งหมดสิบสองช่อง เหมือนในเกมคอมพิวเตอร์ในโลกเก่า
เขาอดใจไม่ไหว หยิบ ‘เกล็ดอัญมณี’ ออกมาสามก้อนที่เตรียมมาในกระเป๋าแล้วใส่เข้าไป จากนั้นก็ปิดกล่อง และกอฝ่ามือไป้าที่เป็รูปตัว S แล้วใส่พลังเวทแบบอ่อนๆ เข้าไป
ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
เมื่อเปิดกล่องดูก็พบว่า ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ ได้อัปเกรดเรียบร้อยแล้ว เขาพบว่า ‘เกล็ดอัญมณี’ สามก้อนที่ใส่ไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป็ ‘อัญมณีตำหนิ’ หนึ่งก้อน เห็นได้ชัดว่ามันดูสวยกว่า ‘เกล็ดอัญมณี’ เมื่อครู่ พลังธาตุไฟที่แฝงอยู่ด้านในก็เพิ่มขึ้นมากว่าเดิมไม่ต่ำกว่าร้อยเท่า... ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ เป็ไอเทมในตำนานที่เหมาะแก่การอัปเกรด ไม่อย่างนั้นคงไม่อัปเกรดได้ง่ายขนาดนี้
ซุนเฟยเริ่มมั่นใจ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแผนการทำเงินของเขา มันใกล้จะสมบูรณ์กว่าครึ่งแล้ว
เมื่อได้ ‘ลูกบาศก์ฮอราดริก’ มา ซุนเฟยควรเร่งรีบทำเควสต่อไปให้เสร็จ แต่เขาคิดปรับปรุงแผนการอัพเลเวลในอนาคต ดังนั้นจึงตัดสินใจพาเอเลน่ากลับไปที่ ‘ค่ายโร้ก’ จากนั้นก็ไปที่เต็นท์ชั่วคราวของตัวเองแล้วเริ่ม ‘แผนอัปเกรดอัญมณี’
ในระหว่างนั้น ซุนเฟยเปิดประตูมิตินับครั้งไม่ถ้วนอย่างเงียบๆ เดินเข้าเดินออกระหว่างโลก Diablo และโลกแห่งความจริงสามสิบสี่สิบครั้ง ใช้เข็มขัดมิติคนเถื่อนใส่ก้อนหินเวทมนตร์ที่แมซโซลาให้ไว้ก่อนหน้านี้นำเข้ามาในโลก Diablo เลือกส่วนหนึ่งทำการอัปเกรด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซุนเฟยอัปเกรดได้ ‘อัญมณีตำหนิ’ สิบก้อน ‘อัญมณีทั่วไป’ สิบก้อน ‘อัญมณีล้ำค่า’ ห้าก้อน และ ‘อัญมณีสมบูรณ์’ สองก้อน ส่วน ‘เกล็ดอัญมณี’ ที่เหลือกอีกหกสิบกว่าก้อนขายให้กับแม่ชีอาคาร่าทั้งหมด ได้รับเงินประมาณห้าหมื่นเหรียญทอง บวกกับเงินที่สะสมมาอีกสามหมื่นกว่าเหรียญทอง ทำให้ตัวละครคนเถื่อนมีเงินมากกว่าแปดหมื่นเหรียญทองแล้ว
“วะฮะฮ่า เฮงๆๆ!”
ซุนเฟยะโโลกเต้นอย่างปลื้มปีติ ด้วยเหรียญทองเหล่านี้ เขาสามารถซื้อชุดเกราะและอาวุธที่ทรงพลังจาก NPC ของ ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ได้ แบบนี้ความแข็งแกร่งของตัวละครคนเถื่อนก็จะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหนึ่งถึงสองเท่าเลยทีเดียว
เมื่อคิดแบบนี้ ซุนเฟยก็ไม่รอช้า เขารีบออกจากเต็นท์ แล้วตรงเข้าไปหาวอร์ริฟในค่าย กำลังจะเลือก ‘ไปทางทิศตะวันออก’ เพื่อไปที่ ‘ลุกค์ โกลไลน์’
ตอนนี้เอง เขาก็พลันได้ยินเสียงใสๆ ลอยเข้ามา
“นายท่านซุนเฟย รอก่อน!”
“นายท่าน พวกข้าอยากไปเยือน ‘ลุกค์ โกลไลน์’ สักหน่อย ท่านสามารถพาพวกข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
“ใช่แล้ว นายท่าน ได้โปรดพาพวกเราไปด้วยเถอะ พวกข้ารับปากว่าจะไม่ก่อเื่ เพียงเยี่ยมชมเมือง ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ดูบรรยากาศของเมืองใหญ่เท่านั้น...”
เหล่าโร้กสาวแสนสวยวัยขบเผาะตาเป็ประกายเข้ามารอบล้อมซุนเฟย กะพริบตาปริบๆ เมื่อครั้งที่แล้ว เหล่าสาวๆ ได้ค้นพบเื่ที่น่ามหัศจรรย์ที่วอร์ริฟสามารถพาคนไปที่ ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ไข่มุกทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไปถึงหนึ่งพันลี้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหลายเดือน พวกเขาก็พลันรู้สึกดีใจมาก แต่ละคนอยากไปเห็นเห็นเมืองใหญ่กับตา แต่ใครจะรู้ว่า พลังวิเศษของวอร์ริฟไม่อาจใช้ได้ผลกับพวกนาง เมื่อไม่มีทางเลือก พวกนางจึงพากันมาขอร้องให้ซุนเฟยช่วยพาพวกนางไปด้วย
ซุนเฟยถูกสายตาออดอ้อนของเหล่าสาวๆ ก็แทบระทวย
“ไม่มีปัญหา ข้าพาพวกเ้าไปได้ ฮ่าๆๆ...”
เมื่อซุนเฟยยอมรับกับคำขอร้องของเหล่าโร้กสาว จากนั้นก็ไปพูดคุยกับวอร์ริฟแล้วเลือก ‘ไปทางทิศตะวันออก’ แสงสว่างสีขาวสว่างจ้า ก่อนซุนเฟยจะหายไปจากสายตาของเหล่าโร้กสาว แต่...พวกโร้กสาวต่างมองหน้ากัน ข้าเห็นเ้า เ้าเห็นข้า เอ๊ะ ทำไมพวกเรายังอยู่ที่เดิมเล่า
‘ลุกค์ โกลไลน์’
“ฮ่าๆๆๆ ถึงแล้วๆ พวกเ้าสามารถไปเดินเล่นในเมืองได้ แต่จำไว้นะ ห้ามไปที่ท่อระบายน้ำ ห้ามออกนอกเมืองเพราะที่นั่นมีแต่มอนสเตอร์น่ากลัวๆ และดุร้ายมาก พวกเ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ...เอ๋? คนล่ะ?”
ซุนเฟยที่กำลังพล่ามไม่หยุกก็ชะงัก ก่อนจะหมุนตัวดูรอบๆ ก็พบว่าไม่มีใครสักคน
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไม...หรือว่าพวกโร้กสาวเปลี่ยนใจกะทันหันเลยไม่ตามมาด้วย?
---------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้