“เงียบเดี๋ยวนี้”
กงอี่โม่พลันขมวดคิ้วพร้อมกล่าวตัดบทอย่างทันควันนางไม่ได้เหลือบมองกงเจวี๋ยแม้แต่น้อย แต่กลับเดินตรงไปหาฮ่องเต้ด้วยท่าทางโกรธจัด
“เสด็จพ่ออย่าโกรธนะเพคะ ใครทำให้ท่านโกรธจัดเช่นนี้เดี๋ยวลูกจะช่วยจัดการให้เพคะ” เวลานี้สีหน้าของฮ่องเต้ดูแย่มากส่วนนางก็แอบระวังตัวอยู่ในใจ มือน้อยๆ ของนางตบบนหน้าอกของเขานางกล่าวด้วยสีหน้าโกรธจัด
“จะมีใครได้อีก?” กงเซิ่งหรี่ตาเล็กน้อยเขากวาดตามองบุตรสาวเบื้องหน้า แต่แล้วเขาพลันคิดถึงเื่บางอย่างน้ำเสียงจึงอ่อนลงเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงถลึงตาใส่กงเจวี๋ยอย่างเกรี้ยวกราดทำไมก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าเด็กน้อยคนนี้ปกติเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแต่เวลาเอ่ยปากขึ้นมามันช่างน่าโมโหนัก
กงอี่โม่คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวปลอบใจฮ่องเต้อยู่ชั่วครู่เมื่อทำให้อีกฝ่ายสงบลงจนยอมนั่งลงแล้ว นางจึงหันไปทางผู้คนทั้งหลายพร้อมเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใครสักคนช่วยเล่าเื่ราวทั้งหมดซิ”
ผู้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นต่างมองหน้าซึ่งกันและกันสุดท้ายมีขันทีในชุดสีเขียวจึงลดตัวคำนับลงกับพื้น “ทูลองค์หญิงกระหม่อมเป็ผู้ติดตามองค์ชายสิบสี่ องค์หญิงโปรดช่วยองค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กงอี่โม่มองกงเจวี๋ยที่ยืนตัวตรงสบถอย่างเงียบๆ นางกัดฟันเอ่ยขึ้น“เ้าว่ามา”
“องค์ชายสิบสี่ยังเล็กนักจึงไม่รู้ความเมื่อเห็นตุ๊กตาไม้แกะสลักในมือขององค์ชายเก้าจึงตรัสล้อเล่นสองสามประโยคแต่คาดไม่ถึงว่าองค์ชายเก้าพลันกริ้วจัดลงมือทำร้ายองค์ชายสิบสี่จนาเ็สาหัสพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นก้มศีรษะพร้อมกล่าวขึ้น
“อ้อ? ไม่รู้ว่าองค์ชายสิบสี่กล่าวอะไรหรือ?” กงอี่โม่เหลือบมองกงเจวี๋ยที่ตอนนี้มีไข้อย่างเห็นได้ชัด คำพูดของนางทำให้ผู้คนในที่แห่งนี้ต่างเงียบสนิทเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ฝ่าาต้องกริ้วจัดเพราะเื่นี้อย่างแน่นอน
“องค์ชายเก้าแกะสลักตุ๊กตาไม้ชิ้นหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับองค์หญิงดังนั้นองค์ชายสิบจึงตรัสล้อเล่นอย่างไม่ได้ใส่พระทัยนัก” ขันทีในชุดสีเขียวผู้นั้นพลันสั่นสะท้าน เขากล่าวเสียงต่ำ
“องค์หญิงโปรดอภัยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะองค์ชายสิบสี่ว่าร้ายต่อองค์หญิงองค์ชายเก้าจึงโกรธจัดพ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้ขันทีน้อยที่ติดตามกงเจวี๋ยมาตลอดจึงคลานเข่าเข้าหากงอี่โม่พร้อมคำนับตัวลงอย่างรวดเร็วตรงเบื้องหน้าของนาง
“โกรธจัดก็สามารถลงมือทำร้ายองค์ชายสิบสี่หรือ? โลหิตไหลออกมามากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็พระอนุชาแท้ๆช่างลงมือโเี้ยิ่งนัก”
“หากไม่ได้เป็เพราะองค์ชายสิบสี่ตรัสว่าองค์ชายเก้าของข้าชื่นชอบองค์หญิงจาวหยางประพฤติไม่งาม อีกทั้งยังตรัสว่าองค์หญิงประพฤติผิดทำนองคลองธรรมในพระราชวังองค์ชายเก้าไม่มีทางลงมือเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวของเขาทำให้ผู้คนในที่แห่งนี้ต่างเงียบสนิท กงอี่โม่คาดไม่ถึงเช่นกันว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะสามารถกล่าววาจาร้ายกาจเช่นนี้
ไม่ นี่ต้องไม่ใช่ความคิดของเด็กคนหนึ่ง แต่ต้องเป็แผนร้ายอีกทั้งยังเป็แผนร้ายที่จงใจเล่นงานนางโดยเฉพาะ
นางและฮ่องเต้ต่างรู้อยู่แก่ใจว่านางไม่ใช่พระธิดาที่แท้จริงของฮ่องเต้ดังนั้นคำกล่าวหาว่ากระทำผิดทำนองคลองธรรมในพระราชวังของอีกฝ่ายหากนางเป็องค์หญิงที่เป็พระธิดาแท้ๆ ของฮ่องเต้แล้วประเด็นสำคัญย่อมไม่ได้อยู่ที่ตัวของนางบางทีฮ่องเต้อาจลงโทษผู้ที่กล่าวคำพูดนี้อย่างหนักมากกว่า
ทว่าเป้าหมายครั้งนี้คือนาง ฮ่องเต้จึงจำเป็ต้องพิจารณาให้มากกว่าเดิมมิน่าเมื่อสักครู่ตอนที่นางเข้ามานั้น ฮ่องเต้จึงโกรธจัดถึงเพียงนั้นเมื่อเห็นตุ๊กตาไม้แกะสลักที่ตกอยู่บนพื้นแล้ว กงอี่โม่จึงลอบถอนหายใจเล็กน้อยภายในพระราชวังแห่งนี้ ผู้ที่รู้เื่นี้มีไม่ถึงห้าคน ไม่รู้ว่าใครที่คิดแผนร้ายเช่นนี้ออกมาอีกทั้งยังใช้องค์ชายสิบสี่เป็เครื่องมืออย่างไม่เสียดาย
“ช่างเป็คำพูดไร้สาระยิ่งนัก”
กงอี่โม่พยายามทำเหมือนกำลังโกรธจนถึงที่สุดนางชี้มือไปทางผู้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างเ่าั้ นิ้วมือของนางกำลังสั่นน้อยๆ“ยังมีอะไรอีก รีบพูดออกมาให้หมดข้าอยากรู้ว่าพวกเ้ายังสามารถกล่าวหาอย่างร้ายกาจเช่นไรได้อีก”
เมื่อเห็นนางโกรธจัด ทุกๆคนต่างคำนับอยู่ใต้เท้าของนางพร้อมกล่าวอย่างหวาดกลัว “องค์หญิงโปรดใจเย็นองค์หญิงโปรดใจเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้กงอี่โม่พลันหันไปสบตากับดวงตาโกรธจัดของฮ่องเต้นางชี้ไปยังตุ๊กตาไม้แกะสลักบนพื้นพร้อมกล่าวขึ้น “เสด็จพ่อเมื่อสักครู่ท่านใช้ท่อนไม้โยนใส่ลูกก็เพราะรับฟังการใส่ร้ายเหล่านี้จนสงสัยในตัวลูกหรือเพคะ?”
สายตาของนางสะท้อนความผิดหวังจนถึงที่สุดใบหน้าของนางกลายเป็สีแดงก่ำเพราะความโกรธ ฮ่องเต้ถูกนางมองจนรู้สึกผิดทว่าอันที่จริงเขาก็รู้สึกสงสัยจริงๆ เดิมทีกงอี่โม่ก็ไม่ใช่บุตรของเขาอยู่แล้วไม่มีใครรู้ว่าก่อนเสวี่ยเฟยสิ้นใจ นางได้บอกเื่นี้กับกงอี่โม่หรือเปล่า
สายตาของเขาราวกับกำลังทิ่มแทงกงอี่โม่เวลานี้นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่างกาย นางส่งยิ้มอย่างเ็าพร้อมกล่าวขึ้น“ช่างน่าขันนัก ช่างน่าขันจริงๆ ข้ากับกงเจวี๋ย? ช่างน่าขันเสียจริง”
นางกล่าวคำว่าน่าขันซ้ำหลายครั้ง สีหน้าท่าทางของนางพลันเคร่งขรึม“เสด็จพ่อทราบหรือไม่ว่าตำหนักเย็นคือสถานที่เช่นไร?”
กงเซิ่งนิ่งไปชั่วขณะ เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงกล่าวถึงเื่นี้ในเวลาเช่นนี้
“ความจริงแล้วตำหนักเย็นก็คือที่คุมขังตลอดชีวิตตอนที่ข้าอายุสามขวบ ข้าถูกส่งเข้าตำหนักเย็นอย่างงุนงงต่อมาข้าก็ล้มป่วยอยู่ในตำหนักเย็นยาวนานสี่ปีแต่ละวันข้าต้องคอยตั้งคำถามว่าข้าทำผิดอะไร ข้าไม่เคยไม่คิดถึงเื่นี้เลยสักวันเพราะเหตุใดเสด็จพ่อที่เคยรักข้าจึงส่งข้าเข้าตำหนักเย็น? มีอยู่หลายครั้งข้าคิดว่าข้าต้องใกล้ขาดใจตายเป็แน่แท้แต่กลับไม่มีใครเข้ามาดูแลข้าเลย”
เมื่อเผชิญหน้ากับการย้อนถามโดยตรงจากกงอี่โม่น้ำเสียงของนางเรียบเย็น แต่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าไม่รู้ว่าเด็กคนหนึ่งจะเอาตัวรอดจาก่เวลาสี่ปีนั้นได้อย่างไร เมื่อคิดเช่นนี้กงเซิ่งจึงเบือนหน้าหนีอย่างอดไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าควรอธิบายถึงการตัดสินใจในตอนนั้นอย่างไรดี
กงอี่โม่ส่งยิ้มอย่างเ็าอีกครั้งสายตาเย็นเฉียบของนางกวาดตามองไปทั่วตำหนัก เมื่อทุกคนต่างก้มหน้านางจึงหันไปมองกงเจวี๋ยที่ดูเหมือนมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นเพราะคำพูดของนางจากนั้นนางจึงกล่าวอย่างช้าๆ
“เสด็จพ่อ ท่านคิดว่ากงเจวี๋ย มีบทบาทอย่างไรในชีวิตข้า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงมองมาด้วยสายตาเป็ประกายทว่ากงอี่โม่กลับยิ้มเย้ยหยัน
“ตอนนั้น ข้าถูกลือว่าป่วยเป็โรคปอดกงเจวี๋ยวัยหกขวบรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอาหารหนึ่งมื้อของข้าเขาเข้ามาหาข้าโดยไม่กลัวว่าจะติดโรคนี้จากข้า ภายหลังตอนที่ข้าเกือบตายเพราะความหิวนั้นก็เป็กงเจวี๋ยที่ไปขโมยอาหารมาให้ข้าทาน และเพราะอาหารเล็กน้อยเท่านี้เขากลับถูกผู้คนดูิ่ดูแคลน ถูกตบตีทำร้ายจนเกือบตายตำหนักเย็นกว้างใหญ่และเดียวดายขนาดนั้นแต่หลายปีมานี้มีเขาเพียงคนเดียวที่ดีกับข้าเช่นนี้”
เวลานี้สายตาของนางมีแต่ความอ่อนโยนทำให้กงเจวี๋ยเงยหน้าสบตากับนางอย่างอดไม่ได้ ทว่าเขากลับหลับตาลงอย่างรวดเร็วกงอี่โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“หลังจากข้าหายดีแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าเจอคัมภีร์สายลมและธรรมชาติบริเวณบ่อร้างในตำหนักเย็นโดยบังเอิญคัมภีร์เล่มนี้มีวิธีฝึกพลังภายในและวิชากระบี่ ข้ากับกงเจวี๋ยค่อยๆคลำหาวิธีฝึกฝนกันเองอย่างช้าๆพวกข้าจึงสามารถอยู่ในตำหนักเย็นโดยไม่ถูกคนอื่นรังแก”
“ดังนั้นสำหรับข้าแล้ว กงเจวี๋ยไม่ได้เป็เพียงน้องชายหรือญาติสนิทแต่เขาเป็สหาย เป็คนรู้ใจ เพราะตำหนักเย็นมันช่างโดดเดี่ยวว้าเหว่เขาจึงจำเป็ต้องสวมทุกบทบาทอยู่ข้างกายข้า ในตำหนักเย็น พวกเราเคยอาบน้ำด้วยกันตอนฝนตก เรือนที่เขาพักมีรอยรั่ว เตียงเปียกชื้นไปหมดพวกเราต้องนอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกัน พวกเราเคยทานอาหารเย็นชืดอาหารเหลือด้วยกันเคยใช้ผ้าผืนเดียวกันเช็ดหน้า ทำไมหรือ? พวกท่านคิดจะลงโทษจับข้าใส่กรงหมูหรือ?”
“เสด็จพี่” กงเจวี๋ยร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างกะทันหันที่แท้แล้วความผูกพันระหว่างพวกเขามันลึกซึ้งมากมายอย่างไม่รู้ตัว
ทว่ากงอี่โม่ไม่ได้สนใจเขาแต่กลับมองฮ่องเต้ที่ใและเสียใจด้วยสายตาเ็า นางกล่าวเสียงดัง“ข้าเป็คนสอนหลักการต่างๆ ให้กงเจวี๋ย ข้าเป็คนควบคุมให้เขาฝึกวรยุทธ์ตอนที่เขาเจ็บป่วยก็เป็ข้าที่คอยดูแลอยู่ข้างกายเขา สำหรับเขาแล้วข้าเป็ทั้งพี่สาว เป็ทั้งอาจารย์ และก็เป็มารดาด้วยเช่นกัน ตอนนี้ใกล้จะถึงวันเกิดของข้าแล้ว เขาถามข้าว่าข้า้าอะไรข้าบอกเขาว่า ขอแค่เขาตั้งใจ ข้าก็ชอบทั้งนั้น”
“ทว่าความผูกพันลึกซึ้งเช่นนี้กลับถูกคนอื่นใส่ร้ายจนเสียหายเสด็จพ่อ ข้าอยากขอทูลถามท่านบ้าง ใครกันที่โยนข้าเข้าในตำหนักเย็น? ใครกันที่ทำให้ข้าไม่มีเสด็จแม่? ข้าไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีอาจารย์ทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่ข้า้าหรือ? ข้าให้ความสำคัญกับเขามันผิดตรงไหน?”
ขณะที่กล่าวนั้น นางหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากงเจวี๋ยอย่างกะทันหันชุดยาวของนางพลันขยับขึ้น ลายปักดิ้นทองตรงชายชุดสะท้อนประกายสู่สายตาผู้คนนางหันหน้าเข้าหาฮ่องเต้พร้อมกล่าวเสียงดัง “วันนี้ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่กงเจวี๋ยลงมือทำร้ายองค์ชายสิบสี่เพราะถึงเขาลงมือสังหารองค์ชายสิบสี่ ข้าก็ยังเลือกยืนเคียงข้างเขา”