เพียงแต่เล่อเทียนไม่คิดเลยว่า ลำพังเพียงแค่มู่จื่อหลิงจะทำให้ฮองเฮาทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ ไม่เลือกวิธีการ ทุ่มเทความคิดจะเผยข้อได้เปรียบทั้งสองอันออกมาจนสิ้น
เขาควรชื่นชมความสามารถของมู่จื่อหลิงหรือหัวเราะความโง่เขลาของฮองเฮาดี
แต่ มู่จื่อหลิงแต่งเข้าจวนฉีอ๋องไม่นาน ก็มีคนใช้เป็ร้อยเป็พันแผนการ คิดจนสมองแทบแตกเพื่อกำจัดนาง
ในตอนนี้ฮองเฮาใช้ทั้งการฆ่าต่อหน้าและการลอบสังหารแล้ว ดูท่าวันเวลาข้างหน้าของมู่จื่อหลิงคงไม่มีทางสงบสุขแล้ว
เพียงแต่ ฉีอ๋องจะโต้ตอบครั้งนี้อย่างไร?
จู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็หยัดกายลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลังในอากาศ อาภรณ์สีดำมืดก็ยิ่งสูงศักดิ์แวววาว ทว่ากายกลับมีท่วงท่าสง่างามที่น่าเกรงขาม ดุจาาแห่งสรรพชีวิตผู้หยิ่งยโส
ดวงตาแวววาวสีดำขลับอันเ็าราวน้ำแข็งของเขา ทอดมองไปไกลด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ครู่ใหญ่ๆ ริมฝีปากบางจึงขยับเล็กน้อย “หลายปีมานี้ฮองเฮาใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี กลับสะสมไขมันไว้ไม่น้อยเลย”
“สตรีในวังหลังผู้หนึ่ง สามารถติดต่อกับสองสำนักที่ร้ายกาจอย่างยิ่งได้ ช่างเป็ผู้ที่ร้ายกาจจริงๆ” เล่อเทียนโค้งมุมปากเป็รอยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าชมเชยหรือเสียดสี
เล่อเทียนลอบเหลือบมองหลงเซี่ยวอวี่ ลูบคางเกลี้ยงเกลา มุมปากโค้งเป็รอยยิ้มที่แฝงความนัย น้ำเสียงผ่อนคลาย “เพียงแต่ ฮองเฮาเชิญสำนักชางฉยงมาขายชีวิตหวางเฟย มีครั้งที่หนึ่งย่อมมีครั้งที่สอง คาดว่ากับหวางเฟยแล้วไม่ตายคงไม่เลิกรา วันคืนข้างหน้าของหวางเฟยคงไม่ราบรื่นเสียแล้ว”
วันนั้นหลงเซี่ยวอวี่ยังคงมีท่าทางสูงสง่าไม่ข้องเกี่ยว พูดกับเขาอะไรนะ หลุมที่นางขุดต้องถมเอง
หลุมที่มู่จื่อหลิงขุดตอนนั้นยังไม่ลึกเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลับยิ่งขุดยิ่งลึก หากขุดลงต่อไปอีก ชีวิตอาจจะหล่นหายไปจริงๆ
เล่อเทียนไม่เชื่อว่า จวบจนบัดนี้แล้ว หลงเซี่ยวอวี่จะยังยืนเก็บไม้เก็บมืออยู่ด้านข้าง
จริงดังคาด
“ขายชีวิตฉีหวางเฟย? เปิ่นหวางเองอยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตของมู่จื่อหลิง ใต้หล้านี้จะมีใครซื้อได้” หลงเซี่ยวอวี่พูดออกมาทีละคำ ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ แต่คำพูดกลับเจือไปด้วยแววอำมหิตอันกระหายเื
ดูเหมือนในคำพูดหลงเซี่ยวอวี่จะมีคำพูดซ่อนอยู่
เล่อเทียนและกุ่ยหยิ่งต่างก็ไม่คาดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะพูดเช่นนี้ พวกเขาตกตะลึงไปกับคำพูดในเวลาเดียวกัน หัวใจพวกเขาแทบจะรับเอาไว้ไม่ไหว
คำพูดหนักแน่น วาจาเฉียบคม! ช่างทรงอำนาจนัก!
ใครจะซื้อชีวิตของฉีหวางเฟยได้กับใต้หล้านี้ใครจะซื้อชีวิตของฉีหวางเฟยได้ ต่างกันเพียงสามคำแต่ความหมายกลับไม่เหมือนกันอย่างใหญ่หลวง
ใต้หล้านี้ใครจะซื้อได้? เกี่ยวพันไปถึงใต้หล้า เช่นนั้นมู่จื่อหลิงก็เป็สตรีเพียงคนเดียวที่ฉีอ๋องยอมรับแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่กำลังพูดว่า สตรีของเขา ชีวิตย่อมมิอาจประเมินค่าได้
ใต้หล้านี้ใครเล่าจะซื้อชีวิตที่มิอาจประเมินค่าได้?
วันหน้าใครแตะต้องมู่จื่อหลิง ก็เท่ากับแตะเกล็ดัของหลงเซี่ยวอวี่ด้วย เช่นนั้น...
โชคดีนะ!
เล่อเทียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ท่าทางขึ้นๆ ลงๆ ในฉับพลันนี้ ทำให้เหลือเชื่ออยู่บ้าง
เดิมเขาคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่คงสนใจมู่จื่อหลิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้สนใจ อย่างไรก็คงเป็ไปทีละขั้น อย่างไรก็คงหล่อเลี้ยงขึ้นอย่างช้าๆ
หลงเซี่ยวอวี่ประกาศออกมาอย่างหนักแน่นเช่นนี้ในทันที ดวงใจเล็กๆ ของเขาจะรับไหวได้อย่างไร
ฉีอ๋องพูดแล้วว่าให้สังเกตการณ์ไปก่อนนี่? เปลี่ยนไปมากนักในครู่เดียวเท่านั้น
คิดไปแล้วก็ถูก
ถ้าหลงเซี่ยวอวี่จะคอยรับชมอยู่ด้านข้าง คงไม่สอดมือเข้าไปสืบเื่นี้
จริงดังคาด แผนการเปลี่ยนไปจนตามไม่ทัน ฉีอ๋องเตรียมจะสอดมือเข้าไปแล้ว หรือว่านี่เดินไปตามใจคิด? ทำไปตามใจปรารถนา?
“เซี่ยวอวี่ เช่นนั้นยามนี้เตรียมทำอย่างไร?” หลังจากที่ปลอบโยนใจดวงน้อยตามลำพัง เล่อเทียนก็ถามอย่างงงงันไม่เข้าใจ
เขาสงสัยนักว่าหลงเซี่ยวอวี่จะใช้วิธีใดโค่นล้มฮองเฮา
อย่างไรเสียก็เป็มารดาแห่งแผ่นดิน มิใช่นางสนมส่งๆ อันใด เพียงแค่นักฆ่าจากสำนักชางฉยงก็ไม่นับว่าประหลาดพอ สั่นคลอนฮองเฮาไม่ได้แม้แต่น้อย
แม้นิกายกู่ตู๋อาจจะสั่นคลอนฮองเฮาได้ แต่นิกายกู่ตู๋เร้นกายไปหลายปี ไร้ร่องรอย ้าหาที่ตั้งของนิกายกู่ตู๋ในเวลาอันรวดเร็วมิใช่เื่ที่ง่ายดาย
เล่อเทียนรอคำตอบจากหลงเซี่ยวอวี่ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ใครจะรู้
หลงเซี่ยวอวี่ชำเลืองมองเล่อเทียนอย่างเ็า สีหน้าสงบเยือกเย็น เอ่ยออกมา “สังเกตการณ์ไปก่อน”
เป็สังเกตการณ์ไปก่อน...อีกแล้ว?
“เอ่อ...” เล่อเทียนสำลักขึ้นมาโดยพลัน เขาคิดว่า หากคนตรงหน้ามิใช่หลงเซี่ยวอวี่ เขาจะต้องะเิโทสะตรงนั้น พุ่งเข้าไปทุบตีซึ่งๆ หน้าสักรอบแล้ว
เหตุใดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็กลับไปที่จุดก่อนยอมรับแล้วเล่า ไหนเลยจะมีคนที่ปั่นหัวผู้อื่นเช่นนี้?
หรือเขาเข้าใจผิดไป?
ไม่มีทาง!
ต่อให้หูเขาไม่ดี ที่สวนจิ้งซินดวงตาเขาก็เห็นจริงๆ จะเข้าใจผิดได้อย่างไร?
แต่ว่า
ใจของฉีอ๋องนั้น ก็เป็ดั่งงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ คาดเดาเจตนาที่แท้จริงไม่ออก!
กุ่ยหยิ่งสับสนมึนงงไปหมด อย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ
“ฟูเหรินทางนั้นไปจับตามองให้มาก” หลงเซี่ยวอวี่ทิ้งท้ายอย่างเ็า
จากนั้น ก็ทะยานจากไป
กุ่ยหยิ่งสบสายตากับเล่อเทียนอย่างไม่เข้าใจ และจากไปตาม
-
มู่จื่อหลิงพาทหารเข้าไปในป่าลึก
ในป่านั้นเงียบสงัดเป็อย่างยิ่ง นอกจากได้ยินเสียงสวบสาบของฝีเท้าพวกเขาบนพื้นแล้ว ก็มิได้ยินเสียงอื่นใดอีก
เพราะทางข้างหน้านั้น นอกจากหมอกทึบสีขาวแล้วก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก
พวกเขายังต้องเตรียมรับมือสัตว์ร้ายที่พร้อมปรากฏกายขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นฝีเท้าพวกเขาจึงรักษาจังหวะปกติไว้ตลอด ไม่เร่งรีบไม่ชักช้า
ทหารทั้งห้าเดินล้อมมู่จื่อหลิงเอาไว้ ระแวดระวังรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
“รอเดี๋ยว” จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ยกมือขึ้นหยุดชะงักฝีเท้าของคนทั้งหมด
“หวางเฟย เกิดอันใดขึ้น” เฮยชีถามอย่างไม่เข้าใจ
“ชู่!” มู่จื่อหลิงทำท่าทาง จากนั้นเอียงหูฟัง
หลังจากนั้น คิ้วนางก็ขมวดน้อยๆ สีหน้าเคร่งขรึม ลดเสียงลง “พวกเ้าไม่ได้ยินเสียง?”
“เสียง? ไม่มีนี่!” เฮยชีสีหน้าเหลอหลา เขาเอียงหูฟังอย่างละเอียด “มีเสียง คล้ายกับเสียงร้องไห้ของคน?”
“ข้าก็ได้ยิน ไม่เพียงแค่เสียงร้องไห้ คล้ายว่าจะยังมีเสียงขู่ต่ำๆ ของสัตว์ด้วย” เฮยลิ่วสีหน้าใ
มู่จื่อหลิงเพิ่มความระแวดระวัง กระซิบสังเกตการณ์ “เหมือนเสียงจะอยู่ข้างหน้านี้ไม่ไกล มีสัตว์ร้ายก็อาจจะมีเบาะแส พวกเราเข้าไปดู ทุกคนระวังตัวด้วย”
คนทั้งหมดพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน เพิ่มระดับความระมัดระวังขึ้น ก้าวไปบริเวณต้นตอของเสียงช้าๆ
เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งฟังยิ่งชัดเจน
เมื่อใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มู่จื่อหลิงก็ให้คนทั้งหมดหมอบลง ใช้ใบไม้อำพรางตัว
ตามมาด้วย
“โฮก!”
เสียงคำรามดุร้ายของพยัคฆ์
“ฮือๆ...ช่วยด้วย...”
“หวางเฟย เป็เสือหนึ่งตัว บนต้นไม้เตี้ยยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งร้องขอความช่วยเหลือ” เฮยชีส่งเสียงอย่างใ กระซิบกระซาบ
มู่จื่อหลิงก็ได้ยินชัดเจนเช่นกัน ถัดจากหมอกที่บังสายตาก็พอจะมองเห็นเด็กน้อยบนต้นไม้กับเสือได้อย่างเลือนราง
เสือเรียกได้ว่าเป็สัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในป่า ยามนี้ปล่อยให้พวกเขาพบได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่นางคิดไม่ออกว่า ป่าสายหมอกที่อันตรายเช่นนี้จะมีคนได้อย่างไร? แล้วยังเป็เด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่ปกติอย่างยิ่ง
‘ซ่าๆๆ’
เสียงใบไม้ที่สั่นไหวอย่างรุนแรง
“ไม่ดีแล้ว เสือกำลังกระแทกต้นไม้ เด็กน้อยผู้นั้นจับไม่อยู่ใกล้จะตกลงมาแล้วหล่นลงปากเสือได้ทุกเมื่อ” เฮยลิ่วอุทาน ท่าทางวิตกกังวล
มู่จื่อหลิงไม่คิดมากไปชั่วขณะ ล้วงขวดยาออกมาจากแขนเสื้อ เอ่ยปากเสียงแ่เบา “นำผงพิษนี้ไปทาบนกระบี่พวกเ้า”
นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เฮยชี เ้าลอบไปอีกด้านหนึ่ง รอพวกข้าส่งเสียงดึงดูดความสนใจของเสือ เ้าก็ไปข้างหลังมันและแทงไปทางมัน ไม่ต้องกังวลว่ามันจะโจมตีกลับ มันไม่มีแรงจะโจมตีแล้ว”
ร่างกายเสือตัวนี้ใหญ่ยิ่งนักหากใช้ไม้แข็งกับมัน ต้องมีความเสียหายเป็แน่ ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุด รัดกุมที่สุด
และวรยุทธ์ของเฮยชีก็ไม่กระจอก ความเร็วว่องไว ไม่มีทางที่จะแทงกระบี่พลาด
“ขอรับ” เฮยชีตอบรับเสียงเบา ยามนี้เขามีความมั่นใจต่อหวางเฟยถึงร้อยส่วน
สถานการณ์เร่งด่วน คนทั้งหมดจึงมิได้ถามคำถามไร้สาระให้มาก ใช้ผงพิษทาบนกระบี่ของตนเองทีละคน
และเฮยชีก็ย้ายไปซ่อนอีกที่หนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
“ดึงดูดเสือมาก่อน” มู่จื่อหลิงทำเป็พูดเสียงดัง
สิ้นเสียงพูด นางก็ลุกขึ้นโดยทันที ส่งเสียงดังออกไป
จากนั้น ทหารไม่กี่คนก็ลุกตามนางพร้อมกัน การเคลื่อนไหวใหญ่โต เบี่ยงเบนความสนใจของเสือตัวนั้นได้ในทันที
“โฮก!” เสือส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายราวกับเห็นของโอชะกองหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
สายตามู่จื่อหลิงจับจ้องเสือที่กำลังก้าวมาทางพวกเขาอย่างช้าๆ
กระทั่งเสือตัวนั้นห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่ก้าว มู่จื่อหลิงจึงได้ขยับปากแบบไม่มีเสียงถามเฮยชีที่ซุ่มอยู่ด้านหลังเสืออย่างเงียบเชียบ ‘พร้อมหรือไม่?’
เฮยชีพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ลงมือ!” มู่จื่อหลิงออกคำสั่ง
ฉับไวจนมิอาจตามทัน!
เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น เฮยชียกกระบี่ในมือขึ้นแทงไปที่ท้องเสืออย่างดุดัน
“โฮก!” เสือร้องเสียงแหลมขึ้นมาอย่างกะทันหัน
มู่จื่อหลิงโค้งริมฝีปากเป็รอยยิ้มพึงพอใจ เฮยชีไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ แทงถูกเสือในทันที
ในชั่วขณะนั้น หลังจากเสียงร้องอันน่าเวทนา เสือก็ล้มลงกระแทกพื้น ส่งเสียงคร่ำครวญต่ำๆ
เฮยชีแทงซ้ำเข้าไปยังลำตัวเสือที่หายใจแ่เบาด้วยความลิงโลด ทำให้มันสิ้นใจในทันที
“หวางเฟย สำเร็จแล้ว” เฮยชีพลันตื่นเต้นขึ้นมา ไม่คิดว่าจะมีวันที่ล้มเสือตัวใหญ่เพียงนี้ได้อย่างง่ายดาย ช่างสะใจเหลือเกิน
ทหารไม่กี่คนนั้นก็พูดไม่ออกกับผงพิษที่มู่จื่อหลิงมอบให้ พิษร้ายแรงเพียงนี้ สามารถล้มเสือตัวหนึ่งได้ในชั่วพริบตา
“ฮือๆ...” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยบนต้นไม้เตี้ยยังดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
เฮยลิ่วรีบวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยบนต้นไม้เตี้ยมาเบื้องหน้ามู่จื่อหลิง “หวางเฟย เด็กคนนี้...”
เด็กน้อยที่ถูกเฮยลิ่วอุ้มมาส่งเสียงสะอึกสะอื้นอยู่นานราวกับใจนขวัญเสีย สีหน้าตื่นตระหนก
สายตามู่จื่อหลิงตกไปที่ร่างของเด็กน้อย
เป็เด็กน้อยคนหนึ่ง อายุก็ประมาณเจ็ดแปดขวบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง คราบน้ำตาเต็มหน้า เสื้อผ้าเก่าเป็อย่างยิ่ง ปะชุนอยู่หลายแห่ง ดูเหมือนจะยากจนข้นแค้น น่าสงสารจนทำให้ผู้อื่นเวทนาเป็พิเศษ
ทว่า ก่อนเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน มู่จื่อหลิงไม่มีทางเมตตาเด็กน้อยที่มีประวัติไม่ชัดเจนในป่าสายหมอกที่มีหมอกหนาทึบเช่นนี้แน่
ยิ่งไปกว่านั้นใน่เวลาพิเศษเช่นนี้ นางต้องไม่ประมาทโดยเด็ดขาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้